บทที่ 309 – พ่อค้าเร่
ตอนที่ผมตื่นขึ้นมา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป หลังจากทำการสำรวจภายในร่างกายของตัวเอง ก็พบว่าพลังทั้งหมดของผมแข็งแกร่งขึ้นอย่างสัมผัสได้ ดวงเวทย์ทั้งสามในร่างกายดูเหมือนว่าจะแข็งแรง และเสถียรมากขึ้น ตอนที่พวกมันช่วยกันดูดซับพลังรอบ ๆ เข้ามาสู่ร่างกาย ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผมฟื้นฟูกลับสู่สภาพสูงสุดเท่านั้น มันยังสามารถเพิ่มพลังให้มากกว่าเดิมได้อีกด้วย นี่ต้องเป็นผลที่ได้รับมาจากผังเวทย์รวบรวมพลังธาตุที่ใช้ออกไปก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน เพราะหลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ฝึกฝนอะไรเพิ่มเติมอีกเลยนี่นา
หลังจากลุกขึ้นยืน ผมก็เริ่มยืดกล้ามเนื้อ พยายามทำให้ร่างกายผ่อนคลายที่สุด ถ้าดูเวลาจากท้องฟ้าแล้ว ตอนนี้น่าจะใกล้เที่ยง ดวงอาทิตย์ลอยสูงอยู่กลางท้องฟ้า แสดงว่าผมนอนพักผ่อนไปนานพอสมควรเหมือนกัน หลังจากที่ยกหมวกของชุดคลุมขึ้นมาปกปิดใบหน้าอีกครั้ง ผมก็หมุนวนพลังงานในร่างกาย ก่อนจะลอยขึ้นกลางอากาศ และเหาะไปยังป้อมปราการเต๋อหลุนทันที
ป้อมปราการยังคงอยู่ในสภาพเดิม ยกเว้นก็แต่ ตอนนี้มีคนงานจำนวนมาก กำลังทำงานซ่อมแซมบริเวณที่ได้รับความเสียหาย จากเวทย์ต้องห้ามที่พวกผมเป็นคนสร้างเอาไว้อยู่ การซ่อมแซมนั้นไม่ง่ายเลย มันคงต้องใช้เวลาอีกนานไม่น้อยเลยทีเดียว กว่าทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมจริง ๆ และในเมื่อผมไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของหุบเขาแบ่งฟ้า จึงได้ตัดสินใจตรงเข้าไปข้างในป้อมปราการก่อน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในป้อม น่าจะรู้จักพื้นที่รอบข้างบริเวณนี้มากกว่า พวกเขาอาจจะมีเบาแสอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับตำแหน่งของหุบเขาแบ่งฟ้าบ้าง มันดีกว่าการที่ผมจะสุ่มค้นหาไปอย่างไร้จุดหมาย เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว ผมก็ร่อนลงกับพื้นก่อนที่จะถึงป้อมปราการเล็กน้อย บางทีอาจจะเป็นเพราะผลของการเจรจาสงบศึก ทำให้พวกเขาผ่อนคลายลงไปไม่น้อย มันคงต้องมีทหารคอยลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยของป้อมอยู่อย่างแน่นอน แต่จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่เห็นพวกเขาเลยแม้แต่หน่วยเดียว มีแต่ขบวนพ่อค้าเร่ ที่เดินทางผ่านเข้าออกป้อมปราการเป็นระยะ ๆ เท่านั้น
ผมตัดสินใจก้าวเท้ายาว ๆ ไปที่ประตูทางเข้า โดยรวมแล้วสถานการณ์นั้นเงียบสงบมาก ผมไม่รู้ว่าหลังจากที่เดินทางออกไปแล้ว ที่นี่อยู่ในการดูแลของใคร หรืออาณาจักรไหน แต่ในเมื่อมันก็ผ่านมานานแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็นเถอะ ไม่ควรที่จะต้องเปลืองความคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกเลย และไม่ใช่หน้าที่ของผม ที่จะเข้าไปยุ่งกับการจัดการของทั้งสามอาณาจักรด้วย แล้วยิ่งถ้าพวกเขารู้ ว่าผมมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ มันคงจะทำให้เรื่องต่าง ๆ ยุ่งยากมากขึ้นไปอีก ผมไม่มีเวลาที่จะให้เสียไปอีกแล้ว
ผมค่อย ๆ เดินไปที่ประตูทางเข้าอย่างไม่รีบร้อนมากนัก เท่าที่เห็นจนถึงตอนนี้ จำนวนคนที่ผ่านเข้าออกเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนมากจริง ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขบวนที่นำวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมาส่ง แล้วผมก็ได้เห็นหน่วยของทหารลาดตระเวนในที่สุด หลังจากผ่านเข้ามาในป้อมปราการได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นหน่วยที่มาจากอาณาจักรต้าลู่ และอาณาจักรซิวต้า แต่ยังไม่เห็นนักเวทย์ของอาณาจักรอ้ายเซี่ยเลย เวลาผ่านมานานไม่น้อยแล้ว ตอนนี้หม่าเคอน่าจะขึ้นครองบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว การที่มีเขาเป็นผู้ปกครองอาณาจักร โดยมีเหล่าอาจารย์เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษา ทำให้ผมรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง เหล่านักเวทย์ของอาณาจักรอ้ายเซี่ยจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมอีกไม่น้อยเลยทีเดียว และยังมีความหวังอีกด้วย ว่าอาจารย์ตี้จะสามารถฝึกฝนนักเวทย์แห่งแสงรุ่นใหม่ออกมาได้เป็นจำนวนมาก มันจะมีส่วนช่วยรับมือกับการฟื้นคืนกลับมาของเผ่ามารได้เป็นอย่างดี
“ท่านนักเวทย์ ต้องการจะซื้อผลึกเวทย์มนต์บ้างหรือไม่?” เสียงแปลกหูดังขึ้นมาจากมุมด้านหนึ่งของถนน ผมหันมองไปตามเสียงนั้น และก็ได้เห็นว่าต้นเสียงเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาว มีส่วนสูงที่ไม่มากนัก น่าจะแค่ประมาณระดับหน้าอกของผมเท่านั้น รูปร่างผอมบาง น่าจะเป็นเพราะตอนอายุยังน้อย ไม่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์มากเพียงพอ และเขากำลังกวักมือมาที่ผมอย่างต่อเนื่อง
ผมต้องการพูดคุยกับผู้คนอยู่แล้ว จึงได้ตัดสินใจเดินตรงเข้าไปตามเสียงเรียกนั้น ชายร่างผอมรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านนักเวทย์ ท่านต้องการซื้อผลึกเวทย์มนต์หรือไม่? มันจะต้องช่วยให้การฝึกฝนของท่านก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วแน่นอน!”
ผมแอบขำอยู่ในใจ พ่อค้าคนนี้น่าจะคิดว่าผมเป็นนักเวทย์ระดับล่าง ๆ เพราะแม้ว่าตอนนี้ผมจะอยู่ในชุดคลุมเวทย์ แต่มันก็ไม่ได้มีสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งอะไรติดเอาไว้เลย ถ้าดูจากภายนอกแล้ว ตอนนี้ผมน่าจะเหมือนกับนักเรียนเวทย์ ที่ยังไม่ได้ทดสอบเพื่อรับรองระดับของตัวเองเลย เขาน่าจะคิดว่าผมไม่มีความรู้อะไร เป็นแค่เด็กใหม่โง่ ๆ คนหนึ่ง และพยายามที่จะล่อหลอกให้ผมซื้อผลึกเวทย์มนต์ระดับต่ำของเขา
ผมส่ายหน้าปฏิเสธออกไป “ข้าไม่สนใจอยากได้ผลึกเวทย์มนต์มากนัก!”
พ่อค้าร่างเล็กคนนั้น เริ่มหันซ้ายหันขวาสังเกตไปรอบตัว ก่อนจะกล่าวออกมาเสียงเบา “เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร? ตามไปดูสินค้าที่ที่พักของข้าก่อน มันไม่ได้มีแค่ผลึกเวทย์มนต์เท่านั้น ยังมีอุปกรณ์เวทย์มนต์อื่น ๆ ให้ท่านเลือกดูอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นของที่มาจากอาณาจักรอ้ายเซี่ย เป็นของที่เคยใช้อยู่ในกองพันนักเวทย์ของพวกเขาเลยล่ะ ข้ารับรองได้เลยว่า พวกมันเป็นของชั้นดี ราคาก็ไม่แพงมาก และท่านสามารถต่อรองได้จนพอใจเลยล่ะ จากที่ข้ามองดูท่านแล้ว ระดับพลังเวทย์ของท่านไม่น่าจะต่ำต้อย ในหมู่อุปกรณ์พวกนั้น มันต้องมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อท่านอย่างแน่นอน ไม่ต้องกังวลไป ข้าสัญญาว่าจะไม่คิดราคาสูงมากนัก เป็นอย่างไร? ต้องการที่จะตามไปดูกับข้าหรือไม่?”
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้า “ก็ได้! ข้าจะไปดูเสียหน่อย ว่ามันมีอะไรดีจริง ๆ หรือไม่”
ประกายตาของพ่อค้าวัยกลางคนวาบขึ้นมาอย่างยินดี เขาบอกให้ผมเดินตามเข้าไปในตรอกที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเดินไปจนถึงตรงกลางตรอกนั่น เขาก็เลี้ยวเข้าไปในทางแยกเล็ก ๆ มุ่งหน้าไปที่บ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ซึ่งมีสภาพธรรมดาเป็นอย่างมาก เขาสังเกตไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แล้ว ก็เปิดประตูบ้าน และชวนให้ผมก้าวเข้าไปด้านใน
ในบ้านนั้นไม่ได้กว้างมากนัก มีสินค้าวางเรียงรายอยู่ไม่น้อย มันหลากหลายอย่างที่เขากล่าวอ้างจริง ๆ ทั้งชุดคลุมเวทย์ คทาเวทย์ และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกหลายอย่าง ผมรู้สึกได้ถึงความผันผวนของเวทย์มนต์ ที่รั่วไหลออกมาจากอุปกรณ์เหล่านั้นบางชิ้น แต่มันก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้เหมือนกัน อุปกรณ์เวทย์มนต์ที่วางอยู่ที่นี่ เกือบทั้งหมดแล้วเป็นของระดับต่ำเท่านั้น แม้ว่าจากภายนอกจะดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ไม่มีชิ้นไหนที่โดดเด่นเข้าตาเลย
พ่อค้าร่างผอม กำลังถูมือของตัวเองไปมาอย่างตื่นเต้น “ท่านนักเวทย์ ได้โปรดเลือกดูก่อนได้เลย อุปกรณ์พวกนี้เป็นของชั้นยอดทั้งสิ้น!”
ผมยิ้มออกมา “เจ้ามีของอย่างอื่นอีกหรือไม่? ของพวกนี้ไม่น่าสนใจเท่าไรนัก”
สีหน้าของพ่อค้าร่างเล็กเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยทีเดียว เขาชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าออกมา “ข้ายังมีของที่ดีกว่านี้อยู่อีก แต่ราคาของมันค่อนข้างจะสูงเลยทีเดียว”
ผมมองหน้าเขา ก่อนจะกล่าวออกไปเรียบ ๆ “นำพวกมันออกมาให้ข้าดูก่อนเถอะ ถ้ามันมีสิ่งไหนที่เข้าตาข้าจริง ๆ ไม่ว่าจะราคาสูงแค่ไหน ข้าก็มีเงินจ่ายอยู่แล้ว”
“ก็ได้ ๆ ได้โปรดรอสักครู่” หลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน และเพียงไม่นานนัก เขาก็กลับออกมาพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่ “ท่านนักเวทย์ ของพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ข้าได้สะสมเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเป็นนักเวทย์ระดับสูง ข้าคงจะไม่นำออกมาให้ชมอย่างแน่นอน แต่ว่า ราคาของมันค่อนข้างที่....”
ผมกล่าวขัดขึ้นมาก่อน “เปิดกล่องให้ข้าดู แล้วพวกเราค่อยคุยกันหลังจากนั้น”
“ได้เลย แล้วท่านก็อย่างตกใจล่ะ ในนี้มีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้นจริง ๆ” ร่างผอมบางของเขา ค่อย ๆ ออกแรงเปิดกล่องขนาดใหญ่นั้นออก แต่ในนั้นบรรจุเอาไว้เพียงแต่ผลึกเวทย์มนต์ไม่กี่ก้อน และคทาเวทย์ขนาดเล็กไม่กี่อัน แต่แน่นอนว่า คุณภาพของมันดีกว่าของที่วางแสดงเอาไว้ข้างนอกนี้ โดยเฉพาะคทาเวทย์เหล่านั้น พลังเวทย์ที่ผันผวนอยู่ในตัวของพวกมัน แสดงให้เห็นว่าเป็นอุปกรณ์เวทย์มนต์ที่ยอดเยี่ยมไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกับของที่ผมเคยเห็นมาก่อนได้หรอก ผมเอื้อมมือออกไปหยิบคทาเวทย์ด้ามหนึ่งมาถือเอาไว้ พ่อค้าร่างเล็กรีบยิ้มชื่นชมออกมา “สายตาของท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก คทาเวทย์ด้ามนี้ เป็นของที่ดีที่สุดที่ข้ามีแล้ว มันสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการร่ายเวทย์ได้ถึง 3 ส่วนเลยทีเดียว”
ผมได้แต่ส่ายหัว 3 ส่วนอย่างนั้นหรือ? ได้สักครึ่งส่วนก็ดีมากแล้ว! ดูแล้วไม่ได้เป็นของดีอะไรมากมาย และผมก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความเร็วในการร่ายเวทย์แม้แต่น้อย ผมวางมันกลับลงไปที่เดิม ก่อนจะกล่าวถามออกมาอีก “ยังมีของอย่างอื่นอีกหรือไม่? หรือว่านี่คือทั้งหมดที่ท่านมีแล้ว?”