บทที่ 3
บทที่ 3
กรรร!
เสียงคำรามจากสัตว์ประหลาดยักษ์สั่นสะเทือนแผ่นดิน
ทุกคนเงยหน้าขึ้น เกิดแรงกระเพื่อมในหัวใจ เห็นเพียงยักษ์ใหญ่ที่ยืนสูงจากพื้นดิน
ณ ขณะนี้ ในสนามรบเงียบกริบ ภายใต้ร่างของสัตว์ประหลาดยักษ์ สีหน้าของทุกคนหมองคล้ำลง
“นี่คือสัตว์ประหลาดหุ่นเชิดที่หลอมขึ้นใหม่จากสำนักเซี่ยเจี้ยนของข้า ไอ้พวกสวะนิกายเซียวเหยา จะยอมจำนนหรือตาย ลองเลือกเอา!”
ณ จุดนี้ ชายหนุ่มในชุดแดงยืนยิ้มอยู่ใต้สัตว์ประหลาดยักษ์ โดยหน้าผากของชายผู้นี้มีปานคล้ายรอยเปลวไฟ มันเด่นสะดุดตามาก
“จางอี้ฮุ่ย! อย่าเหิมเกริมให้มันมากนัก! กฎของสนามรบ ผู้ที่เหนือกว่าขอบเขตแก่นทองคำไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการต่อสู้ เจ้าคิดละเมิดกฏหรือ?”
ด้านนิกายเซียวเหยา หลิวชิงเดินออกมา สีหน้าเขาตอนนี้มืดมนมาก
“ไม่ใช่แน่นอน เพราะสัตว์ประหลาดหุ่นเชิดตัวนี้ไม่มีฐานบำเพ็ญเพียร ดังนั้นไม่ผิดกฏ” จางอี้ฮุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นโบกมือทันที สั่งการมันเข้าสู่สนามรบ
ฉินห่าวเห็นฉากนี้ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ขอบเขตบำเพ็ญเพียรในโลกใบนี้เรียงจากต่ำไปสูงได้แก่
รวบรวมลมปราณ , เปิดภูมิปัญญา , ขจัดสิ่งโสมม , แก่นทองคำ , ก่อเกิดจิต , รู้แจ้ง , ผันแปรสู่เซียน , ข้ามทัณฑ์สวรรค์ , ผสานกายา , มหายาน ฯลฯ
และสัตว์ประหลาดยักษ์ตนนี้ไม่มีฐานบำเพ็ญเพียรจริงๆ กระนั้น เห็นได้ชัดว่ามันทำจากวัสดุชั้นยอด ซึ่งพลังทำลายอาจสูงกว่าขอบเขตแก่นทองคำเสียอีก
“น่ารังเกียจนัก!” หลิวชิงด่าทอด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาร่ำร้องโวยวาย เขาประกาศเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลาย ฆ่าเจ้าหุ่นเชิดตัวนั้นก่อน”
“ขอรับ!” ทุกคนตอบพร้อมกัน
ฉินห่าวไม่หุนหันพลันแล่น แต่ดึงแผงระบบออกมาดู แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังก็ตาม แต่ก็ยังได้รับค่าความเกลียดชังมามากมาย
[ค่าความเกลียดชัง: 150 แต้ม]
“ ระบบ ยกระดับฐานบำเพ็ญเพียรต้องใช้ค่าความเกลียดชังเท่าไหร่?
[ขั้นละ 20 แต้ม]
“งั้นยกระดับให้ข้า 7 ขั้น”
ฉินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใช้ทั้งหมดที่ใช้ได้ เมื่อประกอบกับร่างกายอมตะที่มี ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
[ติ๊ง]
[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 8]
ฉินห่าวรู้สึกได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกาย และเขาพบว่าพลังนี้มันเหมือนกับพลังที่ได้มาจากการฝึกบำเพ็ญเพียรไม่มีผิดเพี้ยน ไม่เกิดอาการไม่สบายตัวหรือต้องปรับสมดุลใดๆเลย
เจ้าตัวเผยยิ้มเย็น ถือดาบวิ่งปรี่เข้าเข่นฆ่าศัตรูอีกครั้ง สำหรับสัตว์ประหลาดยักษ์ แม้ตัวเขาจะสู้มันตรงๆไม่ได้ แต่เขาสามารถฆ่าจางอี้ฮุ่ยได้!
ทั้งๆอีกฝ่ายมีฐานบำเพ็ญเพียรเพียงขั้น 9 ขอบเขตรวบรวมลมปราณ แต่คาดไม่ถึงว่าจะหยิ่งผยองถึงขนาดนี้
ณ เวลานี้ จางอี้ฮุ่ยไม่รู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึง เขายืนอยู่ในค่ายสำนักเซี่ยเจี้ยน มองหุ่นเชิดอันทรงพลังด้วยรอยยิ้ม
“หืม?”
เพียงแต่ในตอนนนั้นเอง จู่ๆสองคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ข้างหลัง เบี่ยงตัวออกข้างตามสัญชาตญาณ
ฟัฟฟฟฟฟ!
และเป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบเล่มหนึ่งฟันลงพอดี มันเฉียดไหล่ตัวเอง กรีดแขนเสื้อตัดเป็นทางยาว เจ้าตัวหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความตกใจ
“เอ๊ะ?”
ฉินห่าวส่งเสียงประหลาดใจ มือที่กำดาบยังส่งถ่ายแรง ตวัดเปลี่ยนแนวฟันจากแนวตั้งเป็นแนวนอน
“สารเลว!” จางอี้ฮุ่ยโกรธมาก ตบฉินห่าวด้วยฝ่ามือ
พรวดดด!
ฉินห่าวกระอักเลือดออกมาเต็มปาก แต่ใบหน้าเขากลับยังคงยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่แสดงถึงความรู้สึกเสียใจที่พลาดท่าแต่อย่างใด
“ขยะของนิกายเซียวเหยา?” จางอี้ฮุ่ยเห็นชุดของฉินห่าว บวกกับรอยยิ้มบนใบหน้านั้น แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่มันก็ยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นแก่เขา ระเบิดแรงกดดันออกมา พุ่งกายวูบไหวดั่งเส้นสายฟ้า โจมตีผู้มาเยือนสุดกำลัง
ด้านฉินห่าว เขาไม่หลบเลี่ยง แต่ถ้าจะพูดให้ถูก สมควรกล่าวว่าไม่สามารถหลบเลี่ยงได้มากกว่า ทำได้เพียงเฝ้ามองฝ่ามือนี้ประทับลงบนตัว
ในพริบตา อวัยวะภายในแตกสลาย ร่างเขาค่อยๆทรุดลง
สำหรับช่วงเวลาที่ถูกโจมตีถึงตายนี้ ฉินห่าวโชคดีมากที่ระบบมอบความสามารถช่วยไม่ให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดใดๆ มิฉะนั้นคงทรมานน่าดู
“ฮึ่ม ขยะขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 8 กล้าลอบสังหารข้า?” จางอี้ฮุ่ยตะคอกอย่างเย็นชา ไม่สนใจตามดูต่ออีก
สิบวินาทีต่อมา ฉินห่าวที่ล้มหน้าชี้ฟ้าลืมตาขึ้น เงยมองจางอี้ฮุ่ยที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แล้วเผยรอยยิ้มแปลกๆออกมา ลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ เล็งตำแหน่งคออีกฝ่ายอย่างแม่นยำ แล้วตวัดใส่ในดาบเดียว
ฟัฟฟฟ!
หัวกระเด็นขึ้นฟ้า เลือดจำนวนมากพุ่งราวกับน้ำพุ
“เฮ่ะ เฮ่ นึกไม่ถึงล่ะสิ ว่าข้าจะฟื้นคืนชีพได้” ฉินห่าวยิ้มเหมือนโจรคนหนึ่ง แล้วกลับสู่สนามรบ
เมื่อเขามาถึงสนามรบอีกครั้ง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงขึ้นที่นี่
สัตว์ประหลาดหุ่นเชิดไม่พอใจกับการโจมตีธรรมดาอีกต่อไป แต่หันมาใช้อาวุธวิเศษแทน บนไหล่ของมันแต่ละข้าง มีสิ่งที่เหมือนปากกระบอกปืนใหญ่ติดตั้งอยู่ และกระสุนทุกนัดที่ยิงลงไป มันคร่าชีวิตสาวกนิกายเซียวเหยาและเกิดผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ช่วงเวลาหนึ่ง สนามรบกลายเป็นฉากอันน่าสลดใจ