บทที่ 1
บทที่ 1
“ไอ้ตัวไร้ประโยชน์! ตอนนี้สาวกนิกายเซียวเหยาทุกคนไปสู้ในแนวหน้ากันหมดแล้ว แต่เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่?”
จางยู่หลงมองสาวกชั้นเก้าที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยแววตารังเกียจเหยียดหยาม
ฉินห่าวหรี่ตา แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เขามาอยู่ได้ไม่กี่วัน แต่ก็สามารถการปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตในโลกใบนี้ได้แล้ว
ที่นี่คือโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร นิกายที่เขาสังกัดเป็นนิกายนอกกระแสไม่ได้โด่งดังอะไร --นิกายเซียวเหยา
ส่วนชายตรงหน้าผู้นี้เป็นสาวกชั้นเจ็ดของนิกาย สูงกว่าตนสองอันดับ
“เจ้า... สายตาแบบนั้นมันอะไรกัน?” จางยู่หลงเริ่มโกรธ
“ก็ไม่ทำไม ถ้าเจ้าแน่จริง ก็มาทุบตีข้าสิ มาทุบตีข้าเลย!” ฉินห่าวตบหน้าอกตัวเอง ใบหน้ามั่นคงหนักแน่นปราศจากความกลัว นี่ไม่ใช่เพราะเขาเก่ง แต่นิกายเซียวเหยา ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้ระหว่างสาวกโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าอีกฝ่ายกล้าลงมือ ย่อมมีคนเข้าหาห้ามปรามและจับไปลงโทษตามระเบียบ
“ฮึ่ม! ไอ้ลูกหมาไร้ค่า! เจ้าอย่ามาทำเป็นอวดดีไปหน่อยเลย!” จางยู่หลงตะคอกเย็นชา ดวงตาทอประกายดุร้าย สั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความโกรธ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบสาวกอันดับต่ำกว่าที่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับตน อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าลงมือให้เกิดเรื่องวุ่นวาย ทำได้เพียงหันหลังกลับและจากไป
[ติ๊ง]
[ได้รับค่าความเกลียดชัง +18 แต้ม]
[เปิดใช้งานระบบฝืนดวงชะตา]
[ได้รับความสามารถ : ไม่มีวันตาย เมื่อถูกฆ่าจะคืนสภาพร่างกายเป็นปกติดังเดิม ไม่หวั่นกลัวต่อความเจ็บปวดใดๆ ต้านทานค่ายกลต้องห้ามทุกชนิด และเพิ่มความสามารถในการดึงดูดความเกลียดชัง]
[หมายเหตุ : ค่าความเกลียดชังสามารถนำไปสุ่มจับรางวัลหรือยกระดับฐานบำเพ็ญเพียรได้!]
ฉินห่าวฟังเสียงในหัว รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เดิมทีเขากลัวความตาย อันที่จริงทุกคนกลัวความตาย แต่ตอนนี้มีระบบ ไม่เท่ากับว่าเป็นการันตีว่าสามารถรอดชีวิตในสนามรบได้หรอกหรือ?
เมื่อคิดได้ ฉินห่าวหันหลังกลับ มองจางยู่หลงที่กำลังค่อยๆจากไป เขาได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว ว่าชายผู้นี้ชอบรังแกสาวกที่อ่อนแอ นิสัยเสียมาก
คิดถึงเรื่องนี้ เขาหันมาอีกทาง มองผู้อาวุโสที่กำลังจัดแถวสาวกขึ้นเรือเหาะ สมองเริ่มปั่นความคิดอย่างรวดเร็ว
หากขึ้นเรือเหาะ แล้วลงสู่สนามรบ ถึงเวลานั้น เมื่อมีใครซักคนตายไป คงไม่มีใครสนใจถูกไหม?
“ผู้อาวุโส ข้าจะไปสนามรบด้วย”
ฉินห่าวเดินมาหาชายชราในชุดคลุมสีทอง
“เจ้าชื่ออะไร?” ดวงตาของผู้อาวุโสจินเต็มไปด้วยความชื่นชม ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง สาวกชั้นเก้าที่มีฐานบำเพ็ญเพียรเพียงขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 1 นี่คือตัวตนที่ไม่ต่างอะไรกับตัวรับกระสุนในสงคราม กระนั้นเขาก็ยังมีใจคิดปกป้องนิกาย
“เรียนผู้อาวุโส ข้าชื่อฉินห่าว”
“ย่อมได้! ไปขึ้นเรือเหาะเถอะ”
ฉินห่าวพอได้รับอนุญาตก็พยักหน้า จากนั้นเหลียวหลังมองไกลออกไป แหกปากตะโกน “ศิษย์พี่จางยู่หลง! ศิษย์น้องกำลังจะไปแล้วนะ อย่าคิดถึงข้าล่ะ!”
สายตาของผู้อาวุโสจินกวาดไปทางจางยู่หลงทันที เกิดความรู้สึกโกรธเล็กน้อยในหัวใจ เจ้าดูฉินห่าวสิ อ่อนแอเพียงนี้ อยู่แค่ขั้นแรกขอบเขตรวบรวมลมปราณยังรู้จักรับใช้นิกาย แต่เจ้าที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 7 กลับคิดหลีกเลี่ยงไม่ไปหรือ? นี่เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?
“เจ้าก็ไปด้วย!”
ผู้อาวุโสจินเอ่ยน้ำเสียงห้ามปฏิเสธ เขายกมือขึ้น ใช้พลังปราณคว้าจางยู่หลงจากระยะไกล จากนั้นยกอีกฝ่ายตัวลอยขึ้นในอากาศและจับโยนเข้ามาบนเรือเหาะ
จางยู่หลงกลายเป็นโง่งม สนามรบมีแต่คนตาย เขาไม่อยากไปเลยสักนิด แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน ได้แต่เหลือบมองฉินห่าวที่กำลังยิ้มแย้มด้วยสายตาดุร้ายแหลมคม
เรือเหาะคืออุปกรณ์การบินในโลกแห่งผู้บำเพ็ญเพียร มันสามารถลอยในอากาศด้วยความเร็วสูง หลังจากที่สาวกทั้งหมดได้ขึ้นมาแล้ว มันก็กางชั้นม่านแสง และเริ่มออกเดินทาง
“เจ้ากำลังแส่หาที่ตาย! ฮึ ออกจากนิกายไป ข้าจะรอดูว่าใครจะปกป้องเจ้าได้”
บนเรือเหาะ จางยู่หลงกล่าวเสียงอึมครึม เขาคิดไว้แล้ว ถึงสนามรบเมื่อไหร่ ท่ามกลางความชุลมุน เขาจะแอบฆ่าฉินห่าว! ถึงตอนนั้นยังไงก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ข้ามั่นใจว่ามีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าเจ้าแน่นอน” ฉินห่าวกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วกระพริบตาชำเลืองมองใต้ท้องน้อยอีกฝ่าย ก่อนส่ายหัวอย่างน่าสมเพช เอ่ยเสริมสั้นๆว่า “และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ชีวิตข้าที่ยาวกว่าเจ้า”
“เจ้า.........” จางยู่หลงกำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ
[ติ๊ง]
[ได้รับค่าความเกลียดชัง+20]
คนอื่นๆบนเรือเหาะแม้เห็นเหตุการณ์นี้ แต่ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ฐานบำเพ็ญเพียรของพวกเขา ไปที่สนามรบก็เป็นได้แค่ตัวรับกระสุน ดังนั้นไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไรพวกนี้
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ไกลออกไปเริ่มได้ยินเสียงฆ่าฟันที่สั่นสะเทือนขึ้นมาถึงบนฟ้า และยิ่งเข้าใกล้เข้าไป ทุกคนก็ยิ่งตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
มันคือฉากนองเลือด!
เลือดไหลมาบรรจบกันเป็นสายธารเล็กๆ บนพื้นดิน มีศพจำนวนมากและแขนขาขาดวิ่นกระจายเกลื่อน กลิ่นฉุนของเลือดอบอวลไปทั่วพื้นที่ น่าขยะแขยงชวนอ๊วกเป็นที่สุด