ตอนที่ 100 ยาเสริมพลัง (ฟรี)
(ตอนเดียวนะครับ แปลไม่ทัน อย่างที่แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ช่วงนี้งานที่ทำประจำเยอะมากครับ)
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ก่อนที่จะถึงเมืองสิบขั้น
และยิ่งใกล้ถึงมากเท่าไร เมืองเต่าทมิฬเองก็เริ่มวุ่นวายมากขึ้น
เวลานี้มู่เหลียงกำลังวาดลวดลายธงประจำเมืองของเขาอยู่ ซึ่งต่อไปมันจะเป็นสัญลักษณ์เมืองของเขา
ในห้องโถงมีผ้าสีดำขนาดใหญ่ปูอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับมู่เหลียงที่กำลังลงมือขีดเขียนลงบนผ้า
“นายไม่คิดจะวาดรูปงั้นหรอ?”
หยู่ฉินหลานมองไปยังตัวอักษรสองตัวที่เธอไม่รู้จักบนผืนผ้าสีดำนี้
เธอคิดว่าการใช้รูปภาพจะจดจำได้ง่ายกว่า และเช่นเดียวกันหากวาดออกมาน่าเกรงขามมันก็ยิ่งส่งผลกับชื่อเสียงเมือง
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
มู่เหลียงส่ายหัว ตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปคือคำว่า ซวนหวู่ (เต่าทมิฬ)
ธงสีดำก็จะยิ่งสื่อถึงเต่าทมิฬมากขึ้น
ในอนาคตเมืองเต่าทมิฬจะเติบโตยิ่งกว่านี้ และทรงอำนาจขึ้นเมื่อวันนั้นมาถึงธงผืนนี้จะโบกสะบัดอยู่ทั่วเมือง
“เดี๋ยว ฉันสั่งให้คนไปติดธงนี้ให้”
หยู่ฉินหลานนั้นลุกขึ้นพร้อมกับพับผืนธงก่อนที่จะเดินออกไป
ระหว่างนั้นเว่ยหยูหลันก็พุ่งเข้ามาในห้องจนเกือบจะชนกับหยู่ฉินหลาน
เด็กน้อยรีบก้มหัวขอโทษด้วยท่าทางหวาดกลัว
“ระวังตัวหน่อยเด็กน้อย วันหน้าวันหลังก็อย่าได้วิ่งพร้วดๆ ในจุดอับสายตาเข้าใจไหม”
หยู่ฉินหลานตบลงไปบนหัวของเว่ยหยูหลันเบาๆ
“เจ้าค่ะ”
เด็กน้อยขานรับ ก่อนที่จะมองดูหยูฉินหลานเดินจากไป
“เกิดอะไรขึ้นทำไมดูรีบร้อน”
มู่เหลียงถามขึ้นอย่างใจเย็น
“คุณโหย่วเฟ่ยได้ฝากให้หยูหลันมาบอกกับนายท่านว่าตอนนี้ยาเสริมพลังชุดแรกทำสำเร็จแล้ว”
“ยอดเยี่ยม ในที่สุดยาเสริมกำลังก็เสร็จสมบูรณ์สักที”
มู่เหลียงแสยะยิ้ม ก่อนที่จะลุกขึ้น มุ่งหน้าไปห้องวิจัยของโหย่วเฟ่ย
เขายังขาดกำลังคน และมีเพียง 20 คนเท่านั้นที่พอจะเรียกว่าเป็นกองกำลังของเขาได้
หากว่ายาพวกนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับคนในเมืองของเขาได้จะเป็นเรื่องดี เพราะจะพึ่งพาแต่ทีมนักล่าไม่ได้
ยังต้องมีหน่วยงานและกองกำลังอื่นอีก ในอนาคตหากเมืองใหญ่ขึ้น มู่เหลียงคงไม่สามารถส่งกิ้งก่าสามสีของเขาเข้ามาจับกุมใครในเมืองได้
สุดท้ายแล้ว การให้มนุษย์ปกครองกันเองจะดีที่สุด และให้สัตว์อสูรเป็นแนวหน้าสำหรับป้องกันเมือง
“กลิ่นอะไรเนี้ย?!”
มู่เหลียงเมื่อมาถึงห้องวิจัยจมูกของเขาก็ได้กลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์เท่าไร และยากที่จะอธิบาย
เขาผลักประตูเข้าไปในห้องวิจัยก็เห็นว่า ห้องวิจัยนั้นรกเอามากๆ เต็มไปด้วยภาชนะรูปร่างต่างๆ ที่ทำมาจากดินเผาเต็มไปหมด
“มาแล้วงั้นหรอ!”
โหย่วเฟ่ยมุดโผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะ เผยให้เห็นผมสีทองของเธอเท่านั้น
“เธอไปทำอะไรใต้โต๊ะ? แล้วนี้ได้อาบน้ำบ้างไหม?”
มู่เหลียงถามพร้อมกับมองดูชุดของโหย่วเฟ่ยที่ยังเหมือนเดิมกับเมื่อสองสามวันที่แล้ว
ที่เนินสูงไม่ได้ขาดแคลนน้ำแม้แต่นิดเดียว และสามารถอาบน้ำได้วันละสองสามรอบด้วยซ้ำ
“ทำไมต้องอาบน้ำ มันเสียเวลาวิจัย”
โหย่วเฟ่ยโบกมือปฎิเสธ พร้อมกับมืออีกข้างที่ถือหม้อดินเผาเอาไว้
“พักบ้างก็ดีนะ”
มู่เหลียงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับช่วยโหย่วเฟ่ยถือหม้อดินเผา และดึงตัวเธอขึ้นมาจากใต้โต๊ะ
“อ้ะ!”
โหย่วเฟ่ยนั้นหน้าแดงขึ้นมาทันที
แววตาของเธอดูไร้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนที่มู่เหลียงคว้าแขนของเธอเอาไว้
“นี่คือยาเสริมพลังงั้นหรอ?”
มู่เหลียงพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังของเหลวสีเขียวที่อยู่ในหม้อดินเผา
“ใช่ มันเป็นยาเสริมพลังขั้นสูงระดับหนึ่ง หลังจากเอาสมุนไพร และพืชผักในสวนมาทำตามสูตร ปรากฏว่าผลของยานี้แรงกว่ายาปกติถึงสองเท่า!”
เมื่อถึงเวลาอธิบายตัวยาโหย่วเฟ่ยนั้นพูดได้คล่องแคล่วดูเป็นธรรมชาติมาก
“หม้อยานี้สามารถแบ่งให้ได้กี่คน”
มู่เหลียงถามต่อ พร้อมกับลองชั่งน้ำหนักหม้อในมือ
“ก็น่าจะได้สักสิบคน”
โหย่วเฟ่ยตอบทันที
“สิบคนงั้นหรอ ก็ไม่เลวเลย”
มู่เหลียงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และตอบอย่างอารมณ์ดี
“การทำยาเสริมพลังพวกนี้ยากไหม”
ในจำนวนเท่านี้การจะเสริมรากฐานให้เมืองเต่าทมิฬนั้นถือว่าน้อยอยู่
“ก็ไม่ได้ยากอะไร ขอเพียงแค่มีของครบ”
โหย่วเฟ่ยเอียงหัวเล็กน้อยราวกับคิดอะไรอยู่ และพูดต่อ
“หากมีของพอ น่าจะทำยาได้ร้อยชุดต่อวัน”
สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร สูตรยาก็มีอยู่แล้ว การสร้างเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“งั้นฉันจะขยายแปลงเพราะปลูกให้ใหญ่ขึ้น”
มู่เหลียงแสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะถามอย่างสนใจ
“แล้วยาเสริมพลังระดับสองสามารถทำได้รึยัง?”
หากว่าวันหนึ่งสามารถผลิตยาเสริมพลังระดับ 1 ได้ร้อยชุด มันก็พอที่จะปรับเปลี่ยนพื้นฐานความแข็งแกร่งของคนทั้งเมืองได้ แต่นั้นก็แค่ในเวลาสั้นๆ เท่านั้น
“ระดับสอง….อาจจะต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน ฉันเจอจุดที่เหมือนๆ กันในการทำยาพวกนี้แล้ว ไม่นานก็คงทำสำเร็จ”
“งั้นก็ดีแล้ว แต่ฉันว่าโหย่วเฟ่ยควรพักบ้างนะ ไม่เหนือยบ้างหรอ”
มู่เหลียงสังเกตเห็นว่าโหย่วเฟ่ยนั้นเหมือนกำลังฝืนตัวเองอยู่ และคงทนได้อีกไม่นาน
“ไม่…ตั้งแต่ได้รับน้ำตานางฟ้า อาการของฉันก็ดีขึ้นมากเลย”
โหย่วเฟ่ยกำหมัดแน่น เธอรู้สึกว่าตัวเองยังสามารถทนอยู่แบบนี้ได้อีกสิบวัน
โหย่วเฟ่ยได้รับน้ำตานางฟ้าเมื่อสี่วันก่อน เมื่อเธอได้ดื่มน้ำตานางฟ้าแล้ว โหย่วเฟ่ยรู้สึกราวกับเกิดใหม่ และไม่รู้สึกง่วงนอนอีกเลย
“พักก่อนพรุ่งนี้ค่อยทำงานวิจัยต่อก็ได้”
มู่เหลียงยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมให้หญิงสาวพัก
“มะ…ม่าย….ห้าววว”
โหย่วเฟ่ยตอบปฏิเสธแต่ร่างกายของเธอกลับแสดงออกถึงความง่วงนอน และต้องการพัก ก่อนที่เธอจะไม่ทนอีกต่อไป และฟุบลงไปนอนกับโต๊ะทำงานของเธอ
ตอนนี้งานชิ้นแรกของเธอเสร็จสิ้นแล้ว และความตื่นเต้นจากการสร้างยาเสริมพลังสำเร็จก็ได้หายไป ทำให้ความเหนื่อยล้าและความง่วงนอนเข้าถาโถมเธอทันที
“ฉันว่า…ฉันนอนสักแป๊บแล้วกัน….”
โหย่วเฟ่ยพูดขึ้นก่อนจะนิ่งเงียบไป
“คงจะถึงขีดจำกัดแล้วสินะ”
มู่เหลียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และมองไปยังรอยคล้ำใต้ดวงตาของโหย่วเฟ่ย
เขาวางหม้อยา และเข้าไปอุ้มโหย่วเฟ่ยด้วยท่าองค์หญิง และพาไปยังเตียงนอนของเธอ
“ดูเหมือนว่าเธอไม่ค่อยจะใช้เตียงนอนเลยด้วยซ้ำ”
มู่เหลียงมองไปยังเตียงนอนที่ดูสะอาดมาก
ต่างจากห้องวิจัยของโหย่วเฟ่ยที่รกรุงรังไปหมด จากการคาดเดาของเขา มองว่าโหย่วเฟ่ยนั้นมานอนที่เตียงไม่ถึงสามครั้งด้วยซ้ำ
“งื้มม… . .”
โหย่วเฟ่ยแจ็บปากสองสามครั้ง
พร้อมกับกอดผ้านวมและถูไปมากับหน้าของเธอ
ราวกับกำลังฝันดีอยู่
“ดูจากท่าทางแล้วคงจะฝันดี”
มู่เหลียงพูดขึ้น พร้อมกับห่มผ้านวมให้โหย่วเฟ่ย และเดินจากไป
เขามาหยิบหม้อยาและมองไปยังสภาพห้องวิจัย แม้จะดูรกมากก็จริง แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาทำความสะอาด เพราะมันอาจจะไปวุ่นวายกับของที่โหย่วเฟ่ยวางเตรียมไว้ก็ได้
“สงสัยต้องมองหาผู้ช่วยให้เธอสักคน”
มู่เหลียงเดินถือหม้อยาออกมาพร้อมกับบ่นพึมพำ
สำหรับผู้มีความสามารถแบบโหย่วเฟ่ย ควรปล่อยให้เธอได้คิดค้นและศึกษาตำรายาอย่างเดียว ส่วนงานอื่นๆ ให้ผู้ช่วยจัดการจะดีกว่า
“ช่างมันไปก่อนแล้วกัน เอาไว้ถามโหย่วเฟ่ยอีกทีว่าต้องการผู้ช่วยไหม”
มู่เหลียงไม่กล้าที่จะตัดสินใจแทนโหย่วเฟ่ย เพราะกลัวว่ามันจะทำให้เธออึดอัด
และเขาไม่ลืมว่าโหย่วเฟ่ยนั้นติดเชื้อโรคผีมายา และเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน
ไม่งั้นหากว่าสิ่งที่ปิดบังใบหน้าของเธอหลุดออก มันจะสร้างความลำบากให้กับเธอได้
มู่เหลียงเดินกลับมายังบ้านพร้อมกับหม้อยาในมือ เมื่อมาถึงเขาเห็นว่ามินโฮกับเว่ยหยูหลันกำลังคัดลายมือกันอยู่
หลายวันที่ผ่านมา มีเพียงมินโฮกับเว่ยหยูหลันเท่านั้นที่ได้เรียนรู้จนอ่านออกได้
“มู่เหลียงถืออะไรอยู่?”
มินโฮได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็เลยเงยหน้าขึ้นเห็นว่ามู่เหลียงกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับหม้อในมือ
“นี้คือยาเสริมพลัง พวกเธอสองคนลองดูสิ”
มู่เหลียงเอาหม้อดินเผาวางตรงหน้าเด็กสาวทั้งสอง
“กินได้เลยงั้นหรอ?”
แววตาของมินโฮดูเป็นประกายและสนใจอย่างมาก และมองไปยังของเหลวที่อยู่ภายในหม้อ
“เอาสิ กินเลยมันแบ่งกินได้สิบครั้ง”
มู่เหลียงอยากรู้อยู่แล้วว่าผลของยาเสริมพลังนั้นเป็นยังไง และมันจะส่งผลกับเขาด้วยหรือไม่
“ได้เลย”
มินโฮตอบอย่างตื่นเต้น และวิ่งไปเอาถ้วยดินเผามา
เมื่อไม่นานมานี้ สิ่งประดิษฐ์เครื่องดินเผานั้นดีขึ้น เนื่องจากหยู่เฟ่ยหยานนั้นเริ่มพัฒทนาทักษะมากขึ้น จนทำให้มีเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพสูงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ และถูกใช้ในคฤหาสน์เจ้าเมือง