ตอนที่ 361 สถานการณ์สุ่มเสี่ยง
ตอนที่ 361 สถานการณ์สุ่มเสี่ยง
ในช่วงบ่ายของงานแสดงสินค้าเหลือแขกอยู่ไม่มากนัก เพราะพวกเขาได้เดินทางไปเข้าร่วมงานประมูล ซึ่งจะจัดขึ้นวันละ 3 รอบและ 2 รอบสุดท้ายในช่วงบ่ายกับช่วงเย็นจะเป็นช่วงที่มีสินค้าระดับสูงขึ้นมาให้ทำการประมูล มันจึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ
หลังจากเดินจนทั่วเซี่ยเฟยก็ไม่พบกับสิ่งที่เขาสนใจ เขาจึงเดินทางกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
เมื่อเวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงตอนเช้าคิวเลกซ์ก็เข้ามาเคาะประตูห้องของเซี่ยเฟย
“พี่เซี่ยเฟยนี่คือข้อมูลการซื้อขายในวันนี้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านเวลาฉันจึงทำได้เพียงเขียนคำอธิบายประกอบสั้น ๆ ไม่ใช่การจัดการข้อมูลโดยละเอียด”
“ทำไมนายต้องลำบากขนาดนั้นด้วย? ถึงยังไงหลังจากที่ฉันไปที่เกาะพวกนั้นฉันก็จะได้ข้อมูลพวกนี้มาอยู่ดี” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
คิวเลกซ์ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่จะหยิบข้อมูลซื้อขายออกมาจากแหวนมิติอีกหลายชุด
“ถึงยังไงฉันก็ต้องไปเอาข้อมูลมาให้พวกมังกี้อยู่แล้วฉันเลยเอาข้อมูลมาให้พี่ด้วย แต่ข้อมูลของพี่แตกต่างจากคนอื่นอยู่เล็กน้อย เพราะฉันเขียนคำอธิบายประกอบสินค้าแต่ละอย่างเอาไว้ให้สั้น ๆ”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่จะแอบคิดภายในใจ
‘ไอ้เด็กพวกนี้แสบจริง ๆ นี่พวกมันส่งคิวเลกซ์ไปเอาข้อมูลตั้งแต่เช้า ขณะที่ตัวเองนั่งกินอาหารสบายอยู่ในห้องเนี่ยนะ’
ก่อนที่เซี่ยเฟยจะกล่าวขอบคุณคิวเลกซ์ก็วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่ยักไหล่ก่อนที่จะปิดประตูและพลิกดูข้อมูลของรายการสินค้าวันนี้
รายการประมูลมีการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วัน แต่คิวเลกซ์ได้ใช้ปากกาวงรอบรายการสินค้าที่เพิ่มเข้ามาใหม่ทำให้เซี่ยเฟยสามารถสังเกตเห็นสินค้าใหม่ได้อย่างสะดวก
หลังจากอ่านข้อมูลทั้งหมดเซี่ยเฟยก็รู้สึกผิดหวังมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรหายากหรือแหวนมิติความจุสูงที่เขาต้องการต่างก็ไม่ปรากฏในรายการซื้อขายของเทศกาลในวันนี้เลย
“ดูเหมือนว่าเราจะต้องรอจนถึงวันสุดท้ายสินะ” เซี่ยเฟยอุทานพร้อมกับถอนหายใจ
“ของดีก็มักจะออกมาตอนจบนั่นแหละ ตอนนี้เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันสุดท้ายจะมีอะไรออกมาประมูลบ้าง บางทีรายการประมูลในวันนั้นอาจจะทำให้นายประหลาดใจก็ได้” อันธกล่าว
ทางผู้จัดงานยังคงปิดซ่อนรายการสินค้าการประมูลในวันสุดท้ายเอาไว้ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีเพียงแต่เซี่ยเฟยที่กำลังรอคอยด้วยความสนใจเท่านั้น เพราะแขกคนอื่น ๆ ก็กำลังรอการประมูลในวันสุดท้ายเช่นเดียวกัน
สิ่งเดียวที่เซี่ยเฟยรู้นั่นก็คือรายการประมูลในวันสุดท้ายจะต้องมีหัวใจจักรวาลสีม่วงขนาดใหญ่ของเขาอยู่แน่ ๆ แต่นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรเลย ซึ่งเขาก็ต้องยอมรับว่าทางผู้จัดงานสามารถเก็บซ่อนความลับเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ในวันต่อ ๆ มาเซี่ยเฟยก็ยังคงเดินทางไปหมู่เกาะไข่มุกในทุก ๆ วันและถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เจอในสิ่งที่เขาต้องการ แต่เขาก็มักที่จะเดินทางออกมาเพื่อพยายามเปิดหูเปิดตาอยู่เสมอ
ทุก ๆ เช้าคิวเลกซ์จะนำข้อมูลสินค้ามาให้เซี่ยเฟยในเวลาเดิม ๆ ซึ่งมันก็ทำให้ชายหนุ่มแอบรู้สึกสงสารภายในใจ เพราะอีกฝ่ายมีอายุเพียงแค่ประมาณ 13 ปีเท่านั้น แต่เขากลับถูกเพื่อน ๆ รังแกใช้ให้ไปทำธุระนู่นนี่นั่นตลอดเวลา
ในความเป็นจริงภูมิหลังของเด็กทุกคนภายในกลุ่มก็ไม่ถือว่ามีใครด้อยไปกว่าใคร เพียงแต่ด้วยลักษณะนิสัยคิวเลกซ์จึงเต็มใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่คิดที่จะทำตัวมีปัญหา แต่ถ้าหากว่าคิวเลกซ์มีนิสัยเหมือนกับเซี่ยเฟยเขาก็คงจะทะเลาะกับเพื่อน ๆ ไปตั้งนานแล้ว
ขณะเดียวกันนิโคลก็ยังดูเหมือนจะยังโกรธเขาอยู่ เพราะถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะพยายามเข้าใกล้เธอเพื่อพูดคุยเรื่องการซื้อยานรบหลายครั้ง แต่เธอก็ยังพยายามหลีกเลี่ยงเขาอยู่เสมอ
“ทำไมการพยายามขอส่วนลดมันถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้?”
ยานรบของบริษัทบิ๊กโฟร์ต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เช่น ยานรบของบริษัทเอ็มม่าขึ้นชื่อเรื่องเกราะของยานที่หนาและอาวุธเลเซอร์ที่ทรงพลัง นอกจากนี้พวกเขายังมุ่งเน้นการทำวิจัยไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพของเกราะป้องกัน มันจึงทำให้พวกเขามีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตยานรบหุ้มเกราะหนักอันดับ 1 ในพันธมิตร
เมื่อยานรบของบริษัทเอ็มม่าได้มารวมตัวกันตั้งขบวนรบ และค่อย ๆ รุกเข้าหาศัตรูอย่างช้า ๆ พวกเขาก็จะสามารถสร้างกำแพงที่แน่นหนาพร้อมกับการจู่โจมที่หนักหน่วงขึ้นมาได้ในเวลาเดียวกัน
แต่เนื่องมาจากเกราะหนักที่ห่อหุ้มยานรบอยู่นี่เอง มันจึงทำให้ข้อเสียของยานรบบริษัทเอ็มม่าคือมันสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างเชื่องช้ามากเกินไป จนทำให้มันแทบที่จะไม่มีความคล่องแคล่วในสนามรบเลย
ส่วนทางด้านบริษัทคัลดารีเป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องอาวุธนำวิถี ทำให้ยานรบของบริษัทพวกเขาโดดเด่นทางด้านการจู่โจมในระยะไกลนอกระยะการรับรู้ของศัตรู
ลองนึกภาพกองยานรบของบริษัทคัลดารีหลายร้อยลำที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด และระดมยิงขีปนาวุธเข้าใส่ศัตรูจากระยะไกล ในตอนนั้นกว่าที่ศัตรูจะทันได้รู้สึกตัวพวกเขาก็คงจะถูกห้อมล้อมไปด้วยขีปนาวุธเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าศัตรูไม่เปิดใช้งานระบบวาร์ปฉุกเฉิน พวกเขาก็จะต้องจมลงภายใต้ขีปนาวุธเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนข้อเสียของยานรบบริษัทคัลดารีนั้นก็คือเกราะบนยานรบของพวกเขาบอบบางมาก พวกเขาจึงคอยพึ่งพาเกราะพลังงานในการป้องกันมากกว่า
ส่วนบริษัทมิททัลเป็นบริษัทที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาบริษัทบิ๊กโฟร์ ซึ่งยานรบของพวกเขามีความโดดเด่นทางด้านความเร็ว บริษัทของพวกเขาจึงได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าแห่งการรบแบบกองโจร
ขณะเดียวกันระบบอาวุธของบริษัทมิททัลก็มุ่งเน้นไปที่การยิงที่รวดเร็ว และถึงแม้ว่ามันจะสูญเสียอำนาจในการทำลายไปบ้าง แต่อาวุธลักษณะนี้ก็คือฝันร้ายของเหล่าบรรดายานรบขนาดเล็ก
ท้ายที่สุดยานรบขนาดเล็กทุกประเภทต่างก็มีความโดดเด่นทางด้านความเร็วและความคล่องตัวเพื่อต้องคอยหลีกเลี่ยงการโจมตีของศัตรู แต่ถ้าหากยานรบพวกนั้นต้องมาเจอกับปืนกลเล็กของบริษัทมิททัล มันก็จะทำให้พวกเขาหลบหลีกการโจมตีได้อย่างยากลำบากมากยิ่งขึ้น
เมื่อพูดถึงประสิทธิภาพในการป้องกัน ยานรบของบริษัทมิททัลมีการป้องกันด้อยกว่ายานรบของบริษัทคัลดารีด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่พวกเขาคอยพึ่งพาความเร็วและความคล่องตัว พวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การหลบหลีกมากกว่าการอยู่เฉย ๆ เพื่อคอยตั้งรับ
สำหรับบริษัทไกอาของนิโคลขึ้นชื่อเรื่องนักฆ่าในระยะประชิด เพราะไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเกราะหนักหรือปืนใหญ่นิวตรอนต่างก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ยานรบของบริษัทนี้กลายเป็นฝันร้ายในการต่อสู้ในระยะประชิดอยู่เสมอ
ในแง่ของการป้องกันยานรบของบริษัทไกอายังมีการป้องกันด้อยกว่ายานรบของบริษัทเอ็มม่า แต่มันก็มีการป้องกันที่ดีกว่ายานรบของบริษัทคัลดารีและมิททัลมาก แต่ข้อเสียของยานรบในบริษัทไกอาคือระยะการจู่โจมที่สั้นมากเกินไป มันจึงทำให้ยานรบของบริษัทนี้เหมาะสมกับการรบแบบทีมมากกว่าการรบโดยลำพัง
ด้วยการที่บริษัทไกอาขึ้นชื่อเรื่องการจู่โจมที่รุนแรงที่สุดในพันธมิตร เซี่ยเฟยจึงต้องการซื้อยานรบจากบริษัทไกอามาเป็นแกนนำของกองยานขนาดเล็ก
ท้ายที่สุดสำหรับกองยานขนาดเล็กก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาทั้งความยืดหยุ่นและอำนาจในการทำลาย นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังชื่นชอบปืนใหญ่นิวตรอนเป็นการส่วนตัว เขาจึงคิดที่จะซื้อยานรบจากบริษัทไกอาเป็นตัวเลือกแรกภายในใจ
เซี่ยเฟยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่นิโคลไม่ให้ความร่วมมือ เขาจึงตัดสินใจที่จะเลิกคุยกับหญิงสาวประหลาดคนนี้แล้วจะไปพูดคุยกับอีกสามบริษัทที่เหลือหลังจากงานเทศกาลสิ้นสุดลง
—
ในวันสุดท้ายของงานแสดงสินค้าเซี่ยเฟยก็เดินทางมายังหมู่เกาะไข่มุกอีกครั้ง แต่ในคราวนี้เขามีจุดประสงค์อื่นนอกจากมาเดินเล่นตามปกติ เพราะจอมพลวิลเลียมได้ติดต่อมาเพื่อที่ต้องการจะพูดคุยอะไรบางอย่างกับเขา
วิลเลียมกำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้ชายหาดและเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มและวิวทะเลที่ให้ความสดชื่น
“วันนี้จอมพลไทสันกับจอมพลเลย์ตันไม่ได้มาด้วยกันเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าพวกนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องการประมูลเท่าไหร่หรอก ในหัวของพวกเขามีแต่เรื่องกองทัพและสงคราม พวกเขาจึงกลับไปทันทีหลังจากจัดการธุระของตัวเองเสร็จ แต่ฉันยังรอเข้าร่วมงานประมูลในวันสุดท้ายฉันเลยยังอยู่ที่นี่ต่อ”
“ดูเหมือนว่าข่าวลือที่จอมพลวิลเลียมชอบเพลิดเพลินไปกับการหาความสุขในชีวิตจะเป็นเรื่องจริงสินะครับ แต่ที่จอมพลไทสันกับจอมพลเลย์ตันเดินทางมาที่นี่มันเป็นเพราะเรื่องของทางกรมทหารงั้นเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว การพูดคุยกับคุณในวันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องของกรมทหารด้วยเหมือนกัน” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงอยู่เล็กน้อย และถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกมานานแล้วว่าการสนทนากับสามจอมพลในวันนั้นมีบางอย่างแปลก ๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นหนึ่งในเรื่องของทางกรมทหาร
เห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องของกรมทหารในคราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ไม่อย่างนั้นสามจอมพลคงจะไม่ได้เดินทางมารวมตัวกันแบบนี้
“คุณจำวันที่เราพูดถึงเรื่องเซิร์กได้ไหม?” วิลเลียมถามด้วยรอยยิ้ม
“จำได้ครับ”
“สมมุตินะว่าถ้าหากคุณเป็นผู้นำของเซิร์กและไม่พอใจพันธมิตรมาโดยตลอด แล้วคุณจะเลือกทำสงครามเมื่อไหร่?”
“น่าจะประมาณ 6 เดือนหลังจากนี้ครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
“โอ้ ทำไมล่ะ?”
“สงครามในเขตทุ่งดาวแห่งความตายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นและกองยานชั้นยอดของพันธมิตรเป็นจำนวนมากก็กำลังถูกส่งไปร่วมรบในระยะไกล ผมคิดว่ากองยานพวกนั้นคงจะไม่กลับมาง่าย ๆ ในช่วง 1-2 ปีนี้ และเนื่องมาจากว่ามันไม่มีสภาวะสงครามในพันธมิตรมานานหลายปีแล้วจำนวนของทหารที่ประจำการจึงถูกลดน้อยลง”
“ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าในปัจจุบันมีทหารประจำการอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันคงมีจำนวนไม่มากเกินไป เพราะการคงทหารเอาไว้อย่างไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก และพวกนักการเมืองในพันธมิตรก็คงจะไม่เห็นด้วย”
“สถานการณ์ในปัจจุบันกรมทหารถือว่าอยู่ในช่วงที่เปราะบางมาก และสถานการณ์ยังบีบบังคับให้ทางกรมทหารต้องส่งกองยานฝ่ายควบคุมสถานการณ์ในเขตทุ่งดาวแห่งความตาย ที่สำคัญคือหลังจากที่สงครามในเขตทุ่งดาวแห่งความตายจบลง ทางพันธมิตรยังต้องใช้เงินทุนในการฟื้นฟูเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นถ้าหากว่าผมเป็นผู้นำของเซิร์กผมก็จะเลือกประกาศสงครามในช่วงที่กองทัพพันธมิตรอยู่ในช่วงที่กำลังอ่อนแอมากที่สุดครับ”
“คุณวิเคราะห์ได้ดี แต่ทำไมคุณถึงบอกว่าคุณจะเริ่มสงครามในอีก 6 เดือนหลังจากนี้ล่ะ?” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ผมคิดว่าในอีก 6 เดือนหลังจากนี้สงครามในเขตทุ่งดาวแห่งความตายน่าจะถึงจุดเดือดมากที่สุด และถ้าหากว่าเซิร์กต้องการจะเซอร์ไพรส์พันธมิตรจริง ๆ ช่วงเวลานี้ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
วิลเลียมทำได้เพียงแต่ถอนหายใจและมองดูเกลียวคลื่นของท้องทะเลที่กำลังซัดสาดเข้าหาฝั่ง
“น่าเสียดายที่ทุกคนไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ได้เหมือนคุณ”
คำพูดลอย ๆ ของวิลเลียมทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงในทันที
“พวกเซิร์กกำลังจะประกาศสงครามกับเราจริง ๆ งั้นเหรอครับ?”
“ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันฉันก็สามารถบอกได้เพียงว่ามันมีโอกาสความเป็นไปได้สูงมาก” วิลเลียมกล่าว
เซี่ยเฟยเลือกที่จะเงียบเสียงไป เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่ใช่คนของกองทัพ ดังนั้นการที่วิลเลียมพูดมากขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่เกินสมควรไปมากแล้ว
“พวกเซิร์กเจ้าเล่ห์มาก การที่คุณเลือกประกาศสงคราม 6 เดือนหลังจากนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากพออยู่แล้ว แต่กลยุทธ์ของพวกมันเลวร้ายมากยิ่งกว่าของคุณเสียอีก” วิลเลียมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
***************
เตรียมตัวรับสงครามเลย!!