ตอนที่ 359 คุณรู้เรื่องพวกเซิร์กมากแค่ไหน?
ตอนที่ 359 คุณรู้เรื่องพวกเซิร์กมากแค่ไหน?
หิมะโปรยที่ได้รับฉายาว่าอาวุธต้องสาปคือมีดสั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากปรมาจารย์เครฟแลนด์ แต่หิมะโปรยเดือนตุลาที่อยู่ตรงนี้คือมีดสั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากช่างตีดาบเครฟล่า ผู้ซึ่งเป็นบิดาของปรมาจารย์เครฟแลนด์
อาวุธเหล่านี้แทบจะไม่มีความแตกต่างใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคในการสร้างหรือวัตถุดิบที่เลือกใช้ต่างก็เหมือนกันทุกประการ
ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ปรมาจารย์เครฟแลนด์สืบทอดวิชาตีดาบมาจากบิดา ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากบ้านเกิดไปสร้างชื่อเสียงในเมืองหลวง และได้รับการยอมรับเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กในที่สุด
น่าเสียดายว่าบิดาของปรมาจารย์เครฟแลนด์อย่างเครฟล่ากลับไม่มีชื่อบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนคิดวิธีการประดิษฐ์หิมะโปรยขึ้นมา
แต่ในคืนวันหนึ่งก่อนที่เครฟแลนด์จะเสียชีวิต เขาก็ได้ระบายความอัดอั้นตันใจนี้ให้กับทนายผู้รับผิดชอบในการบันทึกพินัยกรรมของเขาฟังว่า เขาได้เก็บความลับเรื่องนี้มานานหลายปีและอยากจะบอกความจริงให้กับใครสักคนก่อนตาย แน่นอนว่าทนายย่อมไม่นำเรื่องนี้ไปเปิดเผยในที่สาธารณะแต่เขาได้ทำการบันทึกมันไว้ในไดอารี่ของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้เองความจริงเรื่องที่เครฟล่าคือผู้คิดค้นหิมะโปรยขึ้นมาจึงค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงแต่ชื่อเสียงของเครฟแลนด์ผู้ซึ่งเป็นบุตรชาย
ในสมัยที่เครฟล่ายังมีชีวิตอยู่เขาได้ทำการสร้างหิมะโปรยขึ้นมาทั้งสิ้น 10 เล่ม โดยเขาได้ทำการตั้งชื่อพวกมันตามชื่อเดือนทั้ง 12 ร่ายไปตั้งแต่หิมะโปรยเดือนมกรา, หิมะโปรยเดือนกุมภาไปจนถึงหิมะโปรยเดือนตุลา
อย่างไรก็ตามเทคนิคที่ใช้ในการผลิตหิมะโปรยเดือนมกราจนถึงเดือนมิถุนายังคงเป็นเทคนิคที่ไม่แน่นอน จนกระทั่งเขาได้สร้างหิมะโปรยเดือนกรกฎาขึ้นมา เขาถึงสามารถขัดเกลาเทคนิคในการสร้างมันได้อย่างเต็มที่
ตามแผนเดิมเครฟล่าตั้งใจจะผลิตหิมะโปรยขึ้นมาทั้งหมด 12 เล่ม แต่น่าเสียดายที่หลังจากเขาได้สร้างหิมะโปรยเดือนตุลาขึ้นมาได้เพียงแค่ไม่นาน เขาก็ทะเลาะกับลูกชายก่อนที่เครฟแลนด์จะแยกตัวออกไปฝึกฝนอยู่ในเมืองหลวง
เนื่องมาจากความขัดแย้งกับลูกชายนี่เอง มันจึงทำให้เครฟล่าตรอมใจและไม่สามารถสร้างหิมะโปรยขึ้นมาได้อีกต่อไป ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่เดือนต่อมา
ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างหิมะโปรยที่สร้างขึ้นจากเครฟล่าและเครฟแลนด์คือสัญลักษณ์บริเวณด้ามจับ โดยเครฟแลนด์จะสลักชื่อของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ ขณะที่เครฟล่าจะสลักสัญลักษณ์เป็นตัวเลขไล่ตามเดือนของหิมะโปรย และมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่าหิมะโปรยที่เซี่ยเฟยได้รับมานี้คือหิมะโปรยเดือนตุลา ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเครฟล่าก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลง
“ฉันไม่คิดเลยว่ามันจะมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนแบบนี้ซ่อนอยู่ด้วย แล้วทำไมมีดสั้นของเครฟแลนด์ถึงได้กลายเป็นอาวุธต้องสาปที่โด่งดังทั้ง ๆ ที่เขาก็ใช้วัตถุดิบและวิธีการผลิตแบบเดียวกับพ่อของเขาล่ะ?” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้เรื่องการตีดาบ แต่ฉันก็พอจะอนุมานได้หลังจากที่ฉันเรียนรู้วิธีการปรุงยา” เซี่ยเฟยกล่าว
“อนุมานเรื่องอะไร?”
“นายเป็นคนสอนฉันเองว่าความแตกต่างเพียงแค่เล็กน้อยอาจจะทำให้ผลลัพธ์แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างสิ้นเชิง จำได้ไหมว่าการปรุงยาสูตรของนายมีความเข้มงวดมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ, อัตราความบริสุทธิ์ของสารสกัด หรือแม้กระทั่งระยะเวลาหรือความเร็วในระหว่างการกวนน้ำยาต่างก็ล้วนแล้วแต่นำไปซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน” เซี่ยเฟยกล่าว
“จะว่าไปในมุมนี้ทั้งการปรุงยาและการตีอาวุธก็คงจะมีความคล้ายกันอยู่ละมั้ง บางทีมันก็อาจจะเป็นแบบที่นายพูดและเครฟแลนด์ก็อาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญเทคนิคการตีดาบเหมือนกับบิดา มันจึงทำให้หิมะโปรยของเขากลายเป็นอาวุธต้องสาปที่สังหารแม้กระทั่งผู้ใช้ตัวมันเอง” อันธกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แค่เรารู้ว่าดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบต้องสาปแต่เป็นหิมะโปรยเดือนตุลาของเครฟล่าก็พอแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าว
—
หลังจากไขข้อข้องใจได้สำเร็จ เซี่ยเฟยก็พยายามเดินไปรอบ ๆ ศูนย์การค้าอีกครั้งเพื่อพยายามหาฝักให้กับมีดสั้นเล่มใหม่ของเขา
ท้ายที่สุดใบมีดหิมะโปรยเดือนตุลาก็ปล่อยไอเย็นออกมาตลอดเวลา ซึ่งไม่เพียงแต่มันจะทำให้ร่างกายของเขาตกอยู่ในความหนาวเย็นเท่านั้น แต่การที่อุณหภูมิรอบข้างของเขาต่ำลงยังไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำการซ่อนตัวในระหว่างการลงมือได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะสามารถเก็บอาวุธเอาไว้ในแหวนมิติได้ แต่ในระหว่างการลงมือจริงเขาชอบเก็บมีดสั้นเอาไว้ในรองเท้าบู๊ทหรือแขนเสื้อมากกว่า
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ได้เจอกับฝักที่ทำขึ้นมาจากหนังจระเข้จักรวาล ซึ่งเป็นหนังที่มีความยืดหยุ่นดีเยี่ยม แล้วมันก็สามารถที่จะเก็บอุณหภูมิเอาไว้ภายในนั้นได้ด้วย
ชายหนุ่มตกลงกับผู้ขายจนได้ฝักมีดนี้มาด้วยการแลกเปลี่ยนกับหัวใจจักรวาลสีม่วงชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้เซี่ยเฟยได้ค้นพบว่าหัวใจจักรวาลมีประโยชน์มากกว่าสตาร์คอยน์เสียอีก เพราะเขาสามารถที่จะเอามันไปแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้อย่างง่ายดายไปหมด
หลังจากเดินทั่วทั้งชั้น 2 เซี่ยเฟยก็ไม่พบกับอะไรที่น่าสนใจอีก ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะเดินขึ้นไปในศูนย์การค้าชั้นที่ 3
ศูนย์การค้าชั้น 3 ถือว่าเป็นพื้นที่สำหรับสินค้าคุณภาพสูงอย่างแท้จริง แต่มันก็มีเพียงแต่แขกวีไอพีเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมพื้นที่ชั้นนี้ได้ มันจึงมีแขกอยู่บนพื้นที่ชั้น 3 อยู่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
โดยเฉลี่ยมันมีแขกเพียงแค่ 1 ใน 100 ที่สามารถขึ้นมายังพื้นที่ในชั้นที่ 2 และมีแขกเพียงแค่ 1 ใน 10,000 ที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะขึ้นไปยังพื้นที่ชั้นที่ 3 ได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเซี่ยเฟย เพราะเขามีทั้งบัตรเชิญระดับวีไอพีและมีหัวใจจักรวาลสีม่วงเป็นเครื่องการันตีความมั่งคั่งของตัวเอง
ท้ายที่สุดสถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่สำหรับทำการค้า แล้วมันก็จำเป็นจะต้องมีการแบ่งระดับแขกผู้มาเยือนเป็นเรื่องปกติ เพื่อที่จะได้ให้แขกสามารถเข้าถึงสินค้าในระดับเดียวกันกับตัวเองได้โดยไม่มีใครมาคอยขวางพวกเขามากนัก
แขกในชั้น 3 น้อยกว่าแขกในชั้น 2 อย่างชัดเจน แต่มันกลับมีพนักงานคอยเดินเสิร์ฟอาหารเครื่องดื่มอยู่ตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ชั้นที่ 3 คล้ายกับงานเลี้ยงของชนชั้นสูงมากกว่า
ทันทีที่เซี่ยเฟยขึ้นมายังชั้น 3 เขาก็ได้พบกับจอมพลไทสันที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง และข้าง ๆ เขาก็คือจอมพลวิลเลียมและจอมพลเลย์ตัน
“พวกเขามางานแสดงสินค้าด้วยเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ทันใดนั้นเองวิลเลียมก็สังเกตเห็นเซี่ยเฟย เขาจึงโบกมือทักทายชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปพูดกับจอมพลอีกสองคน
“ฉันว่าฉันมีความคิดดี ๆ แล้ว”
“วิลเลียมนี่นายไม่ได้ตั้งใจจะใช้เซี่ยเฟยใช่ไหม? เขาเพิ่งกลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A เพียงแค่ไม่นานเองนะ” ไทสันกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
วิลเลียมตอบกลับด้วยรอยยิ้มโดยไม่พูดอะไร ซึ่งในเวลานั้นเซี่ยเฟยก็เดินเข้ามาทักทายจอมพลทั้งสามคน
“ไม่ต้องรีบไปไหนหรอกการทำธุรกรรมในพื้นที่ชั้นที่ 3 ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนพื้นที่ชั้นที่ 2 เพราะจุดประสงค์หลักของพื้นที่ชั้นที่ 3 คือการเปิดพื้นที่ให้แขกมานั่งเจรจากัน พวกเรามาคุยเรื่องบริษัทควอนตัมกันก่อนดีไหม?” วิลเลียมกล่าวหลังจากได้เห็นเซี่ยเฟยขอตัวไปเดินดูสินค้าในชั้นที่ 3
“เป็นเกียรติมากครับที่ผมจะได้มีโอกาสนั่งร่วมสนทนากับสามจอมพลแห่งกรมทหารแบบนี้” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สินค้าชุดแรกจากบริษัทคุณถูกส่งมาให้กรมทหารเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากที่แผนกควบคุมคุณภาพได้ทำการตรวจสอบก็ได้พบว่าสินค้ารอบนี้ผ่านมาตรฐานทั้ง 100% ฉันหวังว่าในอนาคตบริษัทจะยังคงรักษามาตรฐานแบบนี้ไปได้ตลอด เพราะไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ทางกรมทหารก็ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพผ่านมาตรฐานอยู่เสมอ” ไทสันกล่าว
“พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดให้สินค้าทุกชิ้นเป็นไปตามมาตรฐานที่ทางกรมทหารได้กำหนดไว้ครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ฉันได้ยินมาว่าคุณมีระบบเรดาร์สื่อสารทางไกลที่สามารถตัดสัญญาณรบกวนได้อย่างนั้นเหรอ?” ไทสันกล่าวถาม
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกไปซะทีเดียวครับ ทางเราได้ผลิตระบบเรดาร์แบบนั้นขึ้นมาได้จริง ๆ แต่เรายังไม่สามารถเอาเข้ากระบวนการผลิตได้อย่างมีเสถียรภาพมากนัก ซึ่งมันก็อาจจะต้องใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาอีกพอสมควร ก่อนที่มันจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถวางขายในตลาดได้”
“ปัจจุบันโรงงานของเรายังไม่มีความสามารถที่จะผลิตชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนของระบบเรดาร์ตัวใหม่ได้ และต้นทุนในการผลิตก็ค่อนข้างอยู่ในระดับที่สูงมาก นอกจากนี้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นระบบเรดาร์สื่อสารระยะไกลที่สามารถตัดสัญญาณรบกวนได้จริง ๆ แต่มันก็ทำได้เพียงแต่ตัดสัญญาณรบกวนส่วนใหญ่ แต่ไม่สามารถที่จะตัดสัญญาณรบกวนทั้งหมดออกไปได้ครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
“แค่นั้นก็ดีมากแล้ว ในปัจจุบันกองทัพต้องอาศัยช่องสัญญาณการทหารเป็นช่องทางในการสื่อสารหลัก แต่ช่องสัญญาณนี้ยังไม่ค่อยเสถียรมากนักและมันก็มักที่จะถูกสัญญาณรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้การสื่อสารระยะไกลถือว่าเป็นปัญหาที่สร้างความปวดหัวให้กับพวกเรามากจริง ๆ” วิลเลียมกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ผมก็อยากจะช่วยพวกคุณในการแก้ปัญหาเรื่องการสื่อสารของกองทัพจริง ๆ แต่การวิจัยพัฒนาไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน และด้วยความสามารถของบริษัทควอนตัมในปัจจุบันเราก็คงจะยังไม่สามารถพัฒนาระบบเรดาร์ขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างหมดหนทาง
“มันจะไปยากอะไร ทางกรมทหารมีศูนย์วิจัยระดับสูงสุดอยู่ตั้ง 113 แห่งและมีศูนย์วิจัยระดับสูงอยู่อีกหลายร้อยแห่ง ถ้าศูนย์วิจัยทั้งหมดช่วยกันวิจัยพัฒนาระบบเรดาร์เดียวกัน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สามารถพัฒนาระบบเรดาร์นี้ขึ้นมาใช้งานได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนั้นเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแล้ว” เลย์ตันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
คำพูดของเลย์ตันทำให้ทั้งเซี่ยเฟย, ไทสันและวิลเลียมต่างก็หัวเราะออกมา แต่เซี่ยเฟยต้องพยายามเก็บท่าทีของตัวเองไว้ เพราะเขายังไม่กล้าที่จะทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าจอมพลทั้งสามคน
“พวกนายหัวเราะอะไร? หรือจะบอกว่ากรมทหารไม่มีกำลังมากพอจะวิจัยเรื่องนี้ขึ้นมาได้” เลย์ตันกล่าวอย่างกังวลเล็กน้อย
“บริษัทควอนตัมวิจัยระบบเรดาร์นี้ขึ้นมาจนใกล้จะเสร็จแล้ว ถ้าหากจู่ ๆ กรมทหารได้เข้ามาเร่งการวิจัยแล้วนายคิดว่าท้ายที่สุดผลงานชิ้นนี้มันจะกลายเป็นผลงานของใคร? นายคิดจะให้กรมทหารไปขโมยความคิดของบริษัทควอนตัมมางั้นเหรอ?” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เลย์ตันทำได้เพียงแต่ส่ายหัวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะโต้เถียงวิลเลียมในเรื่องนี้ได้
“จอมพลเลย์ตันผมรู้ว่าคุณกับกรมทหารไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ผมซาบซึ้งในความเมตตาของคุณมาก แต่ระบบเรดาร์นี้ถูกออกแบบขึ้นมาอย่างซับซ้อนแล้วมันเกิดขึ้นมาจากความอุตสาหะของพนักงานในบริษัท ดังนั้นผมจึงไม่สะดวกใจที่จะเปิดเผยรายละเอียดของมันออกไปจริง ๆ แต่ผมสัญญาว่าทางบริษัทจะเร่งพัฒนาระบบเรดาร์นี้ขึ้นมาโดยเร็วที่สุดครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาอย่างสุภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่เขาจะช่วยกอบกู้คำวิจารณ์ของเลย์ตันได้เท่านั้น แต่เขายังหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลของระบบซุปเปอร์เรดาร์ได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย
ระหว่างนั้นวิลเลียมก็หันไปมองไทสันอย่างเงียบ ๆ ซึ่งจอมพลผมเทาก็ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“เซี่ยเฟยคุณรู้เรื่องเผ่าพันธุ์เพื่อนบ้านอย่างพวกเซิร์กมากแค่ไหน?” จู่ ๆ วิลเลียมก็กล่าวเปลี่ยนเรื่อง
***************