Martial Peak ตอนที่ 2172 เขตแดนฤดูหนาว
“เป็นเกียรติของพวกเจ้าจริงๆที่จะได้เป็นอาหารของข้าผู้นี้ ใครจะอาสาก่อนเป็นคนแรก?” ฉงฉีมองลงมาและถามด้วยเสียงหนักแน่น
ไม่มีใครกล้าตอบในขณะที่จักรพรรดิแต่ละคนต่างมีใบหน้าซีดเซียวและเนื้อตัวสั่นเทา ความรู้สึกหดหู่เกาะกุมจิตใจทุกส่วน
“ไม่มีใครอยากอาสาเลย…” ฉงฉีเย้ย “หากไม่มีใครก้าวออกมาข้างหน้า ข้าผู้นี้จะสุ่มเลือกเอง ไม่มีทางหนีรอดไปได้อยู่แล้ว ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือใครจะเป็นคนแรกและใครจะเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น ไม่ต้องกลัวไป…”
“ผู้อาวุโสเซียว!” รองประธานโหลฉีแห่งหอการค้าจื่อหยวนอดไม่ได้ที่จะเรียกเซียวหยูหยางและฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา
สีหน้าของเซียวหยูหยางดูมืดมนลงและตระหนักว่าหากไม่ทำอะไรตอนนี้ก็จะสายเกินแก้ เซียวหยูหยางเรียกวัตถุคล้ายกระจกเล็กๆมาถือไว้ในมือก่อนจะหักมันจนแตกออกเป็นแสงระยิบระยับ
เมื่อแสงระยิบระยับเหล่านี้พุ่งออกไป แรงกดดันที่นุ่มนวลแต่เคร่งขรึมก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้าและร่างอันแข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
ทุกคนหันไปมองร่างๆนี้ทันที สีหน้าของพวกเขาล้วนแต่แสดงความนอบน้อมและเทิดทูน
ชายผู้นี้สวมมงกุฎที่ทำจากทองคำและหยก ร่างสูงใหญ่และมั่นคงดุจดั่งภูเขาขณะปล่อยกระแสพลังอันล้ำลึกออกมา
แต่ทว่า… นี่เป็นเพียงร่างมายาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กายหยาบแต่อยู่ในลักษณะของร่างจำแลง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สายตาของร่างดังกล่าวดูเหมือนจะทะลุไปได้ทั่วทุกแห่งหนขณะกำลังจ้องไปที่ฉงฉีโดยตรง
แม้แต่สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างฉงฉีก็อดไม่ได้ที่จะทำท่าจริงจังขึ้นเล็กน้อยขณะแค่นเสียงเย็นชา “ร่างวิญญาณของจอมจักรพรรดิงั้นรึ?”
จากร่างเงานี้ มันสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่มีเพียงจอมจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถใช้ออกมาได้ มันจึงเข้าใจทันทีว่าคนยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นใคร
แน่นอนว่านี่คือภาพของนายเหนือหัวแห่งเขตแดนใต้ จอมจักรพรรดิหมิงเยว่!
ดุจดั่งไฟส่องสว่างสองดวงที่ส่องประกายอยู่ในความมืด ขณะที่ฉงฉีเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่จอมจักรพรรดิ จอมจักรพรรดิเองก็เพ่งมองฉงฉีอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
“ราชันผู้นี้ไม่รู้มาก่อนเลยว่ายังมีฉงฉีหลงเหลืออยู่ในภพนี้ด้วย!” หมิงเยว่พูดขึ้น
“หึ” ฉงฉีแค่นเสียงเย็นชา ไม่แสดงที่ท่าอ่อนแอแม้แต่น้อย “ข้าผู้นี้ท่องไปทั่วโลกอย่างอิสระก่อนที่เจ้าจะเกิดเสียอีก กล้าดีอย่างไรถึงมาวางท่าต่อหน้าข้าผู้นี้!” ฉงฉีหรี่ตาคู่ยักษ์และเย้ยหยันอย่างดูถูก “อะไรกัน คิดว่าร่างวิญญาณเล็กน้อยนี่เพียงพอที่จะกำราบข้าผู้นี้ได้รึ?”
ชายและสัตว์อสูรกำลังเผชิญหน้ากันจากคนละสถานที่ นั่นทำให้โลกรอบด้านสั่นสะเทือนไปหมด แค่การมีอยู่ของทั้งสองก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มิติบิดเบี้ยวและถึงขั้นเกิดรอยแยกมิติไปทั่ว ทันใดนั้นหุบเขานิรนามดูเหมือนจะสั่นคลอนจนใกล้พังทลายขึ้นมาจริงๆ
เซียวหยูหยางและคนอื่นๆไม่กล้าปริปาก ทุกคนยืนนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะหมุนเวียนปราณอย่างเงียบๆเพื่อต้านทานแรงกดดันอันน่าสะพรึงที่วนเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา
“ท่านฉงฉีคงล้อเล่นอยู่กระมัง” ในฐานะหนึ่งในยอดฝีมือที่ยืนอยู่จุดสูงของโลก หมิงเยว่ไม่สนใจท่าทีหยิ่งผยองของฉงฉีแต่กลับยิ้มให้แทน “หมิงเยว่แค่อยากแสดงความยินดีเพราะในที่สุดท่านก็ได้รับอิสรภาพซึ่งรอคอยมานาน!”
ดวงตาของฉงฉีมืดลงขณะที่มันตะโกนเสียงดัง “นี่เจ้าไปรู้อะไรมา?”
หมิงเยว่ตอบกลับ “เมื่อข้ายังเยาว์วัยอยู่นั้น เคยได้ยินว่าท่านกาลเวลามีคู่หูที่เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ฉงฉี แต่หลังจากที่ท่านกาลเวลาหายตัวไป คู่หูของท่านก็หายไปด้วยเช่นกัน นั่นมันก็หลายหมื่นปีมาแล้ว แต่ข้าสงสัยว่าท่านฉงฉียังจำช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นได้รึไม่?”
“กาลเวลา…” ฉงฉีเหมือนจะถูกกระตุ้นจากคำพูดของหมิงเยว่ กระแสพลังที่เย่อหยิ่งและรุนแรงรอบตัวค่อยๆจางลง ดวงตาของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันอบอุ่น
ข้าจะกระซิบให้เจ้าฟังถึงความลับของหยางไค มาที่ mynovel.co สิ
หมิงเยว่ยืนอยู่เงียบๆโดยไม่คิดจะขัดจังหวะ แน่นอนว่าเซียวหยูหยางและจักรพรรดิคนอื่นๆเองก็ไม่กล้าขยับเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งหมิงเยว่ก็กล่าวต่อ “ข้าสงสัยว่าท่านฉงฉีต้องการมาที่วังซิงเฉียนในฐานะแขกรึไม่? ราชันผู้นี้มีสมบัติตกทอดของท่านกาลเวลาอยู่ในครอบครอง สมควรแล้วที่จะยกมันให้กับท่าน!”
“หึ คิดจะติดสินบนข้าผู้นี้ไปก็เปล่าประโยชน์!” ฉงฉีส่ายหน้าและแค่นเสียง “ข้าผู้นี้หิวเหลือเกิน”
หมิงเยว่ยิ้มและตอบกลับ “เช่นนั้นแล้วข้าจะเตรียมงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับท่านเป็นอย่างดี!”
“งั้นก็ได้!” ฉงฉีพูดเสียงดัง “ในเมื่อเจ้าเชิญข้าผู้นี้ด้วยความจริงใจ ข้าผู้นี้ก็จะไว้หน้าเจ้าและตอบรับคำเชิญ!”
“หมิงเยว่จะรอคอยการมาถึงของท่านอย่างใจจดใจจ่อ นี่คือที่ตั้งของวังซิงเฉียน!” หมิงเยว่กล่าวขณะดีดนิ้วและส่งลูกบอลแสงสีขาวออกไปทางฉงฉี
ฉงฉีหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเพลิงและหายลับไปในเส้นขอบฟ้า
หลังจากที่ฉงฉีจากไปแล้ว เซียวหยูหยางและคนอื่นๆก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกราวกับมีสายลมพัดผ่านพวกเขาไป เหลือไว้แต่เพียงความเย็นยะเยือกที่สะท้านถึงกระดูก
ร่างจำแลงของจอมจักรพรรดิหมิงเยว่หันกลับมามองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสั่นไหวและสลายหายไปโดยไม่พูดอะไรเลย
“ขอบคุณจอมจักรพรรดิเป็นอย่างยิ่ง!” ยอดฝีมือเขตแดนจักรพรรดิทั้งหมดโค้งคำนับพร้อมกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิทั้งหกก็ค่อยๆยืดตัวขึ้นและเริ่มสบตากัน ทุกคนต่างมองเห็นความกลัวในแววตาของกันและกัน พวกเขาแต่ละคนเป็นยอดฝีมือที่ทรงอำนาจซึ่งตั้งแต่มาถึงเขตแดนจักรพรรดิก็ไม่เคยเข้าใกล้ความตายขนาดนี้มาก่อนเลย!
“ขอบคุณผู้อาวุโสเซียวที่ยื่นมือเข้าช่วยได้ทันการ ไม่เช่นนั้นแล้ววันนี้…” เฉิ่งเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าที่ยังหลงเหลือความหวาดกลัวให้เห็นอยู่
“ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสเซียว ข้าเกรงว่าในวันนี้เราคงถูกฝังที่นี่” โหลฉีพยักหน้าเห็นด้วย
ใบหน้าของเซียวหยูหยางกระตุกเล็กน้อยขณะที่เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “เป็นเพราะท่านจอมจักรพรรดิที่ช่วยเราไว้ต่างหาก… ไม่เกี่ยวอะไรกับเซียวคนนี้เลย อย่างไรก็ตาม… การปรากฏตัวของฉงฉีนั้นถือเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับความมั่นคงของเขตแดนใต้ในอนาคต”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิตใจของทุกคนก็ทรุดลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ฉงฉีเป็นสัตว์อสูรที่ชั่วร้ายและเป็นภัยพิบัติเดินได้อย่างแท้จริง แค่การปรากฏตัวของมันก็อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายและคาดเดาไม่ได้ขึ้น จักรพรรดิทุกคนจึงตัดสินใจได้ในทันทีว่าจำเป็นต้องเตือนสำนักของตัวเองทันทีที่กลับไปเพื่อที่จะได้เตรียมมาตรการป้องกันล่วงหน้า
…
ภายในทวีปสี่ฤดู หยางไคกำลังบินไปข้างหน้าเพียงลำพัง เขากำลังข้ามเทือกเขาสองฤดูเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเขตแดนฤดูหนาว
ไม่นานมานี้ เมื่อเขาและมู่หรงเสียวเสี่ยวกำลังยืนรออยู่ภายในเทือกเขาสองฤดู มู่หรงเสียวเสี่ยวนั้นได้ติดต่อเซียวไป๋อีผ่านทางสมบัติลับประเภทสื่อสารที่ศิษย์จากวัดชิงหยางเฉียนนำติดตัวมาด้วยและนัดสถานที่พบเจอ หลังจากพบกันแล้ว เซียวไป๋ก็ทักทายหยางไคด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
---------------
สนับสนุนผลงานอย่างถูกต้องได้ที่ MyNovel และ Thai-Novel
---------------
เพราะอย่างไรซะ แม้หยางไคจะเอาชนะเซียวไป๋อีอย่างตรงไปตรงมาในสนามประลอง แต่มันก็เป็นการตัดโอกาสที่เซียวไป๋อีจะได้รับประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน!
หากไม่ใช่เพราะความพ่ายแพ้ครั้งนั้น เซียวไป๋อีคงจะมีสิทธิ์ไปต่อสู้แย่งชิงสมบัติล้ำค่าในรอบสุดท้ายด้วย
หยางไครู้ว่าเซียวไป๋อีรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เต็มอก เขาจึงไม่รอช้าและพูดเพียงไม่กี่คำกับทั้งสองก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเขตแดนแห่งฤดูหนาวเพียงลำพัง
พอมาได้ครึ่งทาง หยางไคจึงหยิบลูกปัดสีแดงเพลิงออกมาศึกษา แต่ไม่ว่าจะเป็นปราณจิตสัมผัสหรือปราณต้นกำเนิดที่เทลงไป ทุกอย่างล้วนไม่ได้รับการตอบสนอง
หยางไคได้แต่เก็บมันลงในแหวนมิติดั่งเดิม
เทือกเขาสองฤดูในตอนนี้ดูสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นอาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของวิหารกาลเวลาเมื่อไม่นานมานี้ หรืออาจเกิดจากการปรากฏตัวของฉงฉีก็เป็นได้ เพราะตอนที่หยางไคเดินไปตามทางนั้นเขาไม่พบสัตว์อสูรเลยแม้แต่ตัวเดียว
สองวันต่อมา เขาก็ข้ามเทือกเขาสองฤดูได้สำเร็จ
เบื้องหน้าเป็นโลกที่แตกต่างจากเขตแดนฤดูร้อนอย่างสิ้นเชิง
ไม่มีอะไรนอกจากหิมะสีขาวเงินที่ไกลจนสุดลูกหูลูกตา หิมะตกหนักอยู่เสมอ พื้นดินก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาทึบ
แค่ก้าวเดียวในสถานที่แห่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะรู้ซึ้งถึงความหนาวเย็นซึ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ พลังงานน้ำแข็งไหลทะลักเข้าสู่ทุกรูขุมขน แช่แข็งได้แม้กระทั่งเลือดเนื้อและดวงวิญญาณ
หยางไคเดินท้าลมและความหนาวเย็นเมื่อเขาเข้ามาสำรวจโลกสีขาวแห่งนี้
ในทวีปสี่ฤดู สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของแต่ละเขตแดนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเขตแดนฤดูร้อน ดวงอาทิตย์จะแผดเผาและมีสภาพอากาศร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา ทว่าในเขตแดนฤดูหนาวนั้นมันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ผลทัณฑ์ฟ้าดินจะเติบโตได้เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่หนาวจัดเท่านั้น ดังนั้นเขตแดนแห่งฤดูหนาวจึงเป็นสถานที่เดียวที่จะพบผลวิญญาณชนิดนี้
ความหวังของหยางไคเพิ่มสูงขึ้น แต่เขาก็ตระหนักว่าการสำรวจดินแดนแห่งนี้นั้นยากเย็นเพียงใด
เขาเดินไปตามทาง ข้ามภูเขาหิมะและแม่น้ำเยือกแข็งในเขตแดนฤดูหนาว แม้จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้บ้างเป็นครั้งคราว สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงสมุนไพรและผลไม้ที่ค่อนข้างหายากนิดหน่อย ส่วนผลทัณฑ์ฟ้าดินนั้นยังไม่เห็นแม้แต่เงา
ความหนาวเย็นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทำให้ปราณต้นกำเนิดในร่างกายไหลช้ากว่าปกติอย่างน้อยสองส่วน
เมื่อไม่มีหนทางอื่นแล้ว หยางไคจึงทำได้เพียงเรียกหลิวเหยียนให้ออกมาเดินด้วยกัน
หลิวเหยียนเป็นวิญญาณสมบัติลับธาตุไฟที่กลืนเปลวเพลิงแปลกประหลาดเข้าไปหลายชนิด ดังนั้นนางจึงไม่กลัวเรื่องความหนาวเย็นเลยและสามารถปัดเป่าอากาศหนาวที่อยู่รอบบริเวณได้อย่างง่ายดาย
หลิวเหยียนต้องเดินใกล้หยางไคตลอดและใช้ความอบอุ่นจากตัวเองเพื่อคลายความหนาวเย็นที่พยายามลุกล้ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
เขตแดนฤดูหนาวนั้นต่างจากเขตแดนอื่นๆอยู่มาก มันไม่ค่อยได้ถูกสำรวจนัก และแม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะถูกส่งเข้ามายังสถานที่แห่งนี้เมื่อเข้าสู่ทวีปสี่ฤดูครั้งแรก ความคิดแรกของพวกเขามักจะเป็นการหาทางออกจากเขตแดนฤดูหนาวอย่างรวดเร็วทุกครั้งไป
เว้นแต่ว่าจะมีจุดประสงค์พิเศษเช่นหยางไค คงไม่มีใครอยากสำรวจเขตแดนฤดูหนาวนี้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานหรือสั้นแค่ไหนก็ตาม
เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าหยางไคจะเดินไปมาอยู่หลายวัน เขาก็ไม่เห็นร่องรอยของผู้ฝึกยุทธคนอื่นเลย ราวกับตัวเองเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่จากทั้งเขตแดนฤดูหนาว
สามวันต่อมา ณ ที่แห่งหนึ่งในเขตแดนแห่งฤดูหนาว หยางไคมองไปรอบๆด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เขาหลงทางอยู่ในโลกสีเงินแห่งนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเดินไปทางไหนต่อ
โดยทั่วไปแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธอย่างเขาจะได้เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่สภาพแวดล้อมของเขตแดนฤดูหนาวนั้นทรหดและไม่เหมือนใครจริงๆ แม้แต่หยางไคเองยังจำไม่ได้เลยว่าตัวเองเดินมาจากทางไหนและกำลังเดินไปทางไหนต่อ
เมื่อมองย้อนกลับไป เขาก็พบว่ารอยเท้าของตัวเองถูกหิมะกลบทับอย่างรวดเร็ว
"นายท่าน เกิดอะไรขึ้นรึ?" หลิวเหยียนถามด้วยความเป็นห่วง
“อืม ดูเหมือนข้าจะหลงทางเสียแล้ว” หยางไคตอบอย่างใจเย็น
หลิวเหยียนยิ้มให้ “งั้นรึ แม้แต่ท่านเองก็ยังเจอกับเรื่องเช่นนี้ได้…”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างเลวที่สุด ข้าก็แค่เลือกสักทิศทางและบินตรงออกไปจากที่นี่เท่านั้น” หยางไคถอนหายใจ “แต่การค้นหาอย่างไร้จุดหมายต่อไปคงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก!”
“น่าเสียดาย…ที่ข้าช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย” หลิวเหยียนตอบอย่างเศร้าใจ
หยางไคยิ้มกริ่ม “แค่มีเจ้าอยู่ข้างๆก็ช่วยข้าได้มากแล้ว”
หลิวเหยียนยิ้มเล็กน้อย แต่ต่อมานางก็แสดงท่าทางประหลาดใจ
หยางไคสังเกตเห็นพอดีและมองไปทางนางอย่างรวดเร็ว
หลิวเหยียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตากำลังจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่ง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปตลอดเวลา “นายท่าน ดูเหมือนว่าข้าจะพบบางอย่างที่น่าสนใจยิ่ง!”
"โอ้? พบอะไรรึ?" หยางไคถาม
“โปรดรอตรงนี้ เดี๋ยวข้ากลับมา!” พูดเช่นนั้นแล้ว หลิวเหยียนก็เปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงและพุ่งออกไปข้างหน้า ไม่นานก็พุ่งเข้าสู่ยอดเขาหิมะข้างหน้าและหายลับไป
---------------
อัพเดทข่าวสารล่าสุดและติดตามแฟนเพจนักแปลได้ที่: EP:IC Translation
ฝากผลงานเรื่องอื่นด้วยครับ : คลิกที่รูปโปรไฟล์ด้านล่าง