Martial Peak ตอนที่ 2171 ในที่สุดก็เป็นอิสระ
หยางไคไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพอ หลังจากคว้าสมบัติที่เล็งไว้แล้วและช่วยมู่หรงเสียวเสี่ยวให้ได้วารีศักดิ์สิทธิ์สูงสุดไป ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการถอยร่นแทนที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงเพิ่ม
เมื่อมู่หรงเสียวเสี่ยวได้ยินเช่นนั้นนางก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ หญิงสาวคว้าขวดหยก เก็บแหวนขนนกสวรรค์กลับไป ตามหยางไคไปที่ประตูแสง และหายตัวไปในทันที
หลังจากที่ทั้งคู่จากไปแล้ว บนแท่นสูงได้เกิดเสียงคำรามก้องของหลัวหยวนพร้อมกับที่ปราณต้นกำเนิดของเขาปะทุออกมา สีหน้าของข่งฉีเปลี่ยนไปอย่างมากขณะอุทานขึ้น “นี่เจ้า…”
พูดจบ เขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากและบินออกไป
หลังจากร่อนลงที่พื้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความตกใจ
เขาไม่คาดคิดเลยว่าว่าหลัวหยวนจะเก่งกาจยิ่งกว่าตัวเอง แม้จะมีเขตแดนย่อยมากกว่าหลัวหยวนอยู่ขั้นหนึ่ง แต่อีกฝ่ายก็สามารถบังคับให้เขาถอยร่นออกมาจากการขับเคี่ยวในช่วงสุดท้ายได้สำเร็จ
ข่งฉีเองก็เป็นผู้ที่สวรรค์โปรดปรานและเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของหอการค้าฉีเหยา เมื่อเทียบกับหลัวหยวนแล้ว ช่องว่างระหว่างทั้งสองไม่น่าจะเล็กน้อยและควรเป็นข่งฉีที่ได้เปรียบอย่างชัดเจน
“ฮึ่ม เจ้ามั่นใจตัวเองมากเกินไปแล้ว!” หลังจากที่หลัวหยวนทำให้ข่งฉีถอยร่นกลับไป เขาก็ไม่ได้พยายามตามไปเผด็จศึกแต่กลับยื่นมือเข้าหาม่านแสง ทุบมันจนสลายออกเป็นชิ้นๆ และได้รับลูกปัดอาญาสิทธิ์จักรพรรดิมาครอง!
ต่อมา เขาก็จ้องมองไปยังกลุ่มหมอกก่อนจะคำรามต่ำและพุ่งออกไปข้างหน้า
แต่ในขณะนั้นเอง หมอกดังกล่าวก็ระเบิดขึ้น และเมื่อหลัวหยวนเข้ามาใกล้ก็พบว่าหมอกหนาได้สลายหายไปแล้ว ราวกับทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
มีเพียงเปี้ยนหยูจิงที่ยืนอยู่คนเดียว นางมองไปรอบๆอย่างเหม่อลอยพลางกัดฟันแน่น!
ร่างๆหนึ่งพุ่งออกมาในตอนนั้นและรีบหนีไปทางประตูแสงและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“กระแสพลังจักรพรรดิ…” แม้จะคาดเดาได้บ้าง แต่หลัวหยวนก็ยังหันไปถามเสียงเข้มกับเปี้ยนหยูจิง
เปี้ยนหยูจิงทำหน้าสลดและแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่รู้แล้ว…ข้าติดอยู่ในควันนั่นและมองไม่เห็นอะไรเลย…”
"ไร้ประโยชน์!" หลัวหยวนสาปแช่งก่อนจะหันหลังกลับและพุ่งไปที่ประตูแสง ร่างที่เพิ่งหนีหายไปนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นกงเหวินชาน ดังนั้นกระแสพลังจักรพรรดิก็ต้องอยู่กับเขาอย่างแน่นอน
“นี่ข้าผิดอะไรล่ะ!?” เปี้ยนหยูจิงคำราม
ภายในชั่วพริบตา จากแปดคนในห้องโถงนั้นตอนนี้เหลืออยู่เพียงสองคน เป็นข่งฉีที่มีใบหน้าซีดและปากมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง กับเปี้ยนหยูจิงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ไม่นานเปี้ยนหยูจิงก็หันไปเรียกข่งฉีพลางส่งยิ้มให้ “น้องชาย…”
ข่งฉีเหลือบมองนางและยิ้มตอบด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่แพ้กัน “ไม่ต้องเรียกข้าเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่ได้อะไรเลย พูดกับข้าไปก็เปล่าประโยชน์!”
เปี้ยนหยูจิงหน้าบึ้งด้วยความโมโหและโวยวายลั่น “พวกสารเลวชอบมารังแกนายหญิงผู้นี้ น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
จากสมบัติที่เคยอยู่ที่นี่ ชิ้นหนึ่งอยู่ที่หลานซุนและเซียวเฉินซึ่งออกไปก่อนการต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้น ส่วนที่เหลือถูกแบ่งระหว่างคนอื่นๆ ในขณะที่นางกับข่งฉีไม่ได้อะไรเลย เรื่องนี้ทำให้เปี้ยนหยูจิงขุ่นเคืองมาก
ในแง่ของเขตแดนนั้นนางไม่ได้อยู่ต่ำสุด ส่วนความแข็งแกร่งเองก็ไม่ได้อ่อนแอที่สุดเช่นกัน ทว่าสุดท้ายมันก็เปล่าประโยชน์ นางสูญเสียโอกาสอันน่าเหลือเชื่อไปแล้ว เป็นใครก็คงยอมรับเรื่องนี้ได้ยาก
…
ที่ไหนสักแห่งภายนอกวิหารกาลเวลา หยางไคและมู่หรงเสียวเสี่ยวปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแสงสว่างวาบ
หยางไคปล่อยปราณจิตสัมผัสออกไปทันที หลังตรวจสอบและยืนยันได้ว่าไม่มีอันตรายรอบข้าง เขาก็ผ่อนคลายลง
ไม่มีวี่แววของคนอื่นปรากฏขึ้นใกล้ๆ เป็นไปได้ว่าพวกเขาถูกเคลื่อนย้ายไปที่ตำแหน่งอื่นแล้ว แต่ดูเหมือนประตูแสงจะเป็นเส้นทางออกจากวิหารกาลเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะรอต่ออีกสักพักก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนอื่นเลย
หยางไคเข้าใจทันทีว่าหากพวกเขาไม่ผ่านประตูออกไปพร้อมกัน สถานที่ปรากฏตัวก็จะคลาดเคลื่อนกันออกไป
อึดใจต่อมา หยางไคจึงหันไปหามู่หรงเสียวเสี่ยวที่กำลังมองเขาอย่างซาบซึ้ง เพราะเขาช่วยเหลือนางให้ได้รับวารีศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในช่วงสุดท้ายและไม่ได้คิดฉกฉวยไป
ในเสี้ยววินาทีนั้น หากหยางไคจะคว้าหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์สูงสุดมาเก็บไว้เองนั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
มู่หรงเสียวเสี่ยวเผยอปากและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น
---------------
สนับสนุนผลงานอย่างถูกต้องได้ที่ MyNovel และ Thai-Novel
---------------
บนท้องฟ้าได้เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง เสียงดังไปทั่วจนเหล่าผู้ฝึกยุทธภายในระยะหลายร้อยลี้ต่างได้ยินอย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกับที่เสียงดังกล่าวดังออกมา วิหารกาลเวลาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ปล่อยแสงระยิบระยับที่ทำให้ผู้มองตาพร่าไปชั่วขณะ
แรงกดดันอันแปลกประหลาดจู่ๆก็ตกลงมาในชั่วพริบตาและแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว…
*ครืนนนนนนนนน…*
เสียงฝ้าร้องยิ่งดังขึ้นอีก
“ศิษย์น้องหยาง…” มู่หรงเสียวเสี่ยวร้องออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หยางไคไม่ตอบและเพียงหรี่ตาเพื่อสังเกตสถานการณ์ตรงหน้า ในเวลาต่อมา เขาก็ถอนหายใจขณะพูดพึมพำ “ดูเหมือนวิหารจะปกปิดตัวเองอีกครั้ง ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าโอกาสแบบไหนที่จะทำให้มันปรากฏตัวในครั้งถัดไป จะปรากฏขึ้นอีกทีเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เช่นกัน”
หลังจากแสงระยิบระยับจางลว วิหารกาลเวลาบนท้องฟ้าก็หายไปเช่นกัน ราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน
แต่ทว่า
ในตำแหน่งที่วิหารเคยตั้งอยู่นั้น ปรากฏเป็นร่างสีดำเล็กๆขึ้นมาแทน
“นั่นมัน…” หยางไคจ้องเขม็งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตาลงอีกครั้ง
บนท้องฟ้า สัตว์ร้ายตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น ร่างกายปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงและเกล็ดหนา มันดูเหมือนเสือโคร่งหรือวัวที่มีปีกขนาดยักษ์ นับสิ่งมีชีวิตที่แสนสะพรึงและน่าเกรงขาม
รูจมูกของมันมีไฟปะทุออกมาซึ่งดูราวกับจะสามารถละลายมิติได้ พอมันกระทืบเท้า โลกเป็นอันต้องสั่นคลอนตาม
“ฉงฉี!” หยางไคอุทานด้วยความตกใจ
มู่หรงเสียวเสี่ยวยกมือเล็กๆขึ้นมาปิดปากตัวเอง ดวงตาคู่งามสั่นอย่างรุนแรง
เพราะเติบโตขึ้นที่วัดชิงหยางเฉียนและอยู่ในกลุ่มศิษย์เอกของสำนัก แน่นอนว่านางเคยได้ยินชื่อของสัตว์อสูร 'ฉงฉี' มาก่อน
ความหมายโดยตรงของมันก็คือความชั่วร้าย การเข่นฆ่า และความสิ้นหวัง!
แม้แต่ในสมัยโบราณ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ฉงฉีนั้นเป็นสัตว์อสูรที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนต้องตายเพราะเปลวเพลิงของมัน มียอดฝีมือเพียงไม่กี่คนที่สามารถต้านทานพลังอันมหัศจรรย์ของมันได้
ณ เวลานี้เอง แค่มันยืนเงียบๆกลางอากาศ กระแสพลังที่ดุร้ายและแข็งกร้าวก็ถูกปล่อยออกมาจนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระยะร้อยลี้รู้สึกอึดอัดและสั่นไหวด้วยความกลัว
ภายในระยะร้อยลี้นั่น เหล่าผู้ฝึกยุทธทุกคนรู้สึกเหมือนโดนแรงกดดันมหาศาลจนตัวทรุด เหมือนว่ามีภูเขาหมื่นตันมากดทับไหล่เอาไว้ ราวกับความตายกำลังคืบคลานเข้ามาและเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…
*โฮกกกก!…*
ฉงฉีคำรามขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เสียงของมันอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนมากมาย ทั้งความสุข ความตื่นเต้น และความทุกข์
ไม่นานหลังจากนั้นมันก็หรี่ตาและเหลือบมองไปรอบๆ สายตาอันแผดเผาของมันดูเหมือนจะมองทะลุไปยังอีกมิติหนึ่ง ก่อนที่มันจะกางกรงเล็บออกและเจาะช่องว่างมิติโดยตรง เกิดรอยร้าวในมิติขึ้นพร้อมกับที่มันหายเข้าไปในนั้น
ณ หุบเขานิรนามที่อยู่ภายนอกทวีปสี่ฤดู
สถานที่แห่งนี้ไม่มีพลังฟ้าดินหลงเหลืออยู่อีกแล้ว มันกลายเป็นดินแดนแห้งแล้งอย่างที่สุด สิ่งเดียวที่ดูเป็นจุดสังเกตก็คือประตูไฟรูปวงรีขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินอย่างนุ่มนวล
จากเหล่าผู้ฝึกยุทธมากมากที่มารวมตัวกันนั้น ส่วนใหญ่ได้เข้าสู่ทวีปสี่ฤดูเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้ที่ยังอยู่ก็มีเพียงยอดฝีมือเขตแดนจักรพรรดิเพียงไม่กี่คนซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบลูกศิษย์เหล่านั้น
ทูตดาราเงินเซียวหยูหยางจากวังซิงเฉียน เกาเสี่ยถิงจากวัดชิงหยางเฉียน เฉินเหวินห้าวจากแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหวู่ เฟิงหมิงจากวัดอู๋ฝา เฉิ่งเหยียนจากหอการค้าฉีเหยา และโหลฉีจากหอการค้าจื่อหยวน...
จอมยุทธเหล่านี้ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ทางเข้าทวีปสี่ฤดู เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่ไม่อาจแก้ไขได้ และในขณะเดียวกันก็กำลังรอคอยการกลับมาของเหล่าศิษย์เอกประจำสำนัก
เนื่องจากผู้เยาว์เขตแดนต้นกำเนิดวิถีเข้าไปในทวีปสี่ฤดูหมดแล้ว จักรพรรดิเหล่านี้จึงไปหามุมสงบเพื่อนั่งสมาธิ
สำหรับยอดฝีมืออย่างพวกเขา การนั่งรอเป็นเวลาสามสิบสามวันนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มันอาจเพียงพอที่จะทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาปราณลับที่พวกเขาใช้ฝึกอยู่เล็กน้อย หรืออาจหมดไปกับการปรับแต่งสมบัติจักรพรรดิที่แต่ละคนมีไว้ในครอบครอง ดังนั้นเวลาสามสิบสามวันนี้จึงไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกเบื่อแต่อย่างใด
ทว่าจู่ๆเซียวหยูหยางก็ลืมตาขึ้นขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง ไม่นานความรู้สึกที่คลุมเครือนั่นก็กลับกลายเป็นความตกใจและหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ในเวลาต่อมา ยอดฝีมือเขตแดนจักรพรรดิทั้งหมดก็ยืนขึ้นและหันไปมองทิศทางเดียวกัน
ทันใดนั้นรอยแยกมิติก็ปรากฏขึ้น ไม่นานก็เกิดการระเบิดออกที่น่าสะพรึงกลัว
เบื้องหน้าสายของทุกคนนั้น สัตว์อสูรสีแดงเพลิงได้โผล่ออกมาจากช่องว่างมิติ
เจ้าช่วยหยางไคได้ด้วยการบริจาคที่ mynovel.co
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ในที่สุดข้าผู้นี้ก็เป็นอิสระแล้ว!” ทันทีที่สัตว์อสูรปรากฏตัว มันก็ส่งเสียงคำรามและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ราวกับนักโทษที่ถูกกักขังมานานนับปีซึ่งในที่สุดก็แหกคุกหนีออกมาได้
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์… ฉงฉี!” หลังจากที่เซียวหยูหยางสังเกตสัตว์ร้ายอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานและเริ่มบีบอัดปราณของตัวเอง
จักรพรรดิคนอื่นๆต่างสั่นสะท้านขณะบินเข้าไปหาเซียวหยูหยางอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก
เหล่าจักรพรรดิล้วนตระหนักดีถึงความน่าสะพรึงกลัวของฉงฉี แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นในหุบเขาไร้ชื่อแห่งนี้ แถมยังเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและชั่วร้ายอีกด้วย…
รองประธานเฉิ่งเหยียนแห่งหอการค้าฉีเหยาขาสั่นไม่หยุดขณะที่ใบหน้าแลดูซีดเผือด
“โอ้…” ฉงฉีกวาดตามองขณะพึมพำด้วยเสียงที่ดังชัดเจน “ดูเหมือนว่าจะมีของว่างมารอข้าผู้นี้อยู่เต็มไปหมดเลยนะ…”
ขณะพูด น้ำลายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ราวกับว่ามันรู้สึกหิวโหยมาเป็นเวลานานและในที่สุดก็ได้เห็นอาหารอันโอชะมาวางอยู่ตรงหน้า
*อึก…*
เสียงกลืนน้ำลายระลอกแรกที่สะท้อนออกมานั้นไม่ได้มาจากฉงฉี แต่มาจากเหล่ายอดฝีมือเขตแดนจักรพรรดิที่รวมตัวกันอยู่ด้านล่างนั่น
ทุกคนต่างตกใจกับคำพูดของฉงฉี เพราะเป็นไปได้สูงว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ไม่ได้พูดออกมาเล่นๆ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่โตเต็มวัยแล้วจะไม่อ่อนแอไปกว่าจอมจักรพรรดิมากนัก หากมันเห็นว่ายอดฝีมือเขตแดนจักรพรรดิทั้งหลายดูไม่ต่างไปจากของว่าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงไม่อาจหนีรอดไปได้ การเข้าต่อกรนี่ยิ่งไม่ต้องพูดให้เสียเวลาเลย
ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ เซียวหยูหยางฟื้นสติขึ้นมาเป็นคนแรก เขาประสานมือคารวะและตะโกนขึ้น “เซียวหยูหยาง ทูตดาราเงินแห่งวังซิงเฉียนคารวะนายท่านฉงฉี ข้าขออนุญาตถามท่านได้ไหมว่า…”
“วังซิงเฉียนรึ?” ฉงฉีได้ยินแล้วก็ฉายแววดูหมิ่นผ่านดวงตาขณะแค่นเสียงใส่ “ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน”
มันไม่รู้จักแม้แต่สำนักที่ปกครองเขตแดนใต้!
เซียวหยูหยางรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที เขาตระหนักแล้วว่าสถานการณ์นั้นเลวร้ายแค่ไหน นี่คงเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่หลับใหลมานานนับปี ไม่แปลกที่มันไม่เคยได้ยินชื่อวังซิงเฉียนมาก่อน นั่นหมายความว่าการใช้ชื่อของจอมจักรพรรดิหมิงเยว่เพื่อสะกดข่มอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
---------------
อัพเดทข่าวสารล่าสุดและติดตามแฟนเพจนักแปลได้ที่: EP:IC Translation
ฝากผลงานเรื่องอื่นด้วยครับ : คลิกที่รูปโปรไฟล์ด้านล่าง