ตอนที่ 64 สวมมงกุฎฟีนิกซ์ห้อยสายสะพาย
“ท่านลุงเคยไปเมืองเซียนเมฆามาก่อนหรือ?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายชราพูดรถม้าก็เงียบลง สำนักกระบี่เซียนเมฆาผู้นำของสำนักนิกายในรัศมีพันลี้ ความแข็งแกร่งนั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้
ด้วยการมีอยู่ของสำนักกระบี่เซียนเมฆา เมืองเซียนเมฆาจึงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมีรูปลักษณ์เหมือนสัตว์ร้ายในวันนี้ คนหนุ่มสาวในรถม้าที่ไม่ได้เติบโตมากับการฟังตำนานของสำนักกระบี่เซียนเมฆาย่อมโหยหาตำนานของสำนักนิกาย
“แต่ก่อนข้าอยู่ในเมืองเซียนเมฆา แต่การอยู่ในสถานที่ใหญ่โตเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจึงออกไปข้างนอกอยู่หลายปี แต่ในเวลานี้เกิดสงครามไปทั่ว เมื่อคิดเรื่องนี้แล้วข้าจึงย้อนกลับมาใช้ชีวิตวัยเกษียณที่เมืองเซียนเมฆา”
“ท่างลุง สำนักกระบี่เซียนเมฆาเข้มงวดในการรับศิษย์หรือไม่?” มีคนถามอย่างกระวนกระวายใจ
“สำหรับนักยุทธ์มีพรสวรรค์ย่อมไม่เข้มงวด แต่สำหรับคนธรรมดามันไกลเกินเอื้อม”
ชายชราส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “หากต้องการเข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆาต้องดูที่อายุฐานกระดูกความเข้าใจ แต่ละคนมีข้อจำกัดต่างกัน ต้องมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดหรือไม่ก็พรสวรรค์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนมองข้ามได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจก้าวเข้าประตูสำนักกระบี่เซียนเมฆา”
“ท่านลุงช่วยบอกให้ละเอียดได้หรือไม่?”
เฉินเฟยหยิบเหยือกสุราที่อยุ่ข้างหลังส่งให้ชายชรา ชายชราชำเลืองมองเฉินเฟย รับเหยือกสุรามาดมกลิ่นแล้วตาเป็นประกาย
“พ่อหนุ่มคนนี้มีมารยาท”
ชายชราหัวเราะ ดื่มเครื่องสุรา มองฝูงชนแล้วพูด “อันที่จริงพวกเจ้าสามารถถามข้อกำหนดเหล่านี้ได้เมื่อไปถึงเมืองเซียนเมฆา แต่ในเมื่อเจ้ายินดีฟัง เช่นนั้นข้าจะบอกอีกสองสามคำ”
ทุกคนเงียบลงและจ้องมองชายชราอย่างเงียบๆ
ชายชราชอบความรู้สึกนี้เช่นกัน “ประการแรก อายุต้องต่ำกว่าสิบห้า ถ้าอายุเกินนี้อย่างมากต้องไม่เกินยี่สิบปีและการบ่มเพาะต้องอยู่ในระดับขัดเกลาไขกระดูก”
“ระดับขัดเกลาไขกระดูก?”
ทุกคนในรถม้าอุทาน ระดับขัดเกลาไขกระดูกอายุต่ำกว่ายี่สิบ?
แม้แต่นักยุทธ์ขัดเกลาไขกระดูกในเมืองเมืองซิ่งเฝินยังถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่หาได้ยาก เขาสามารถเป็นแขกผู้มีเกียรติได้ทุกที่
และนักยุทธ์ขัดเกลาไขกระดูกส่วนใหญ่ในเมืองซิ่งเฝินมีอายุมากกว่าสี่สิบ ผู้ที่อยู่ในอายุสามสิบถือว่ามีพรสวรรค์และคาดหวังได้ว่าในวันข้างหน้าจะเข้าสู่ขัดเกลาอวัยวะภายใน
แต่การเข้าสำนักกระบี่เซียนเมฆาจำเป็นต้องอยู่ในระดับขัดเกลาไขกระดูกตอนอายุยี่สิบปี แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้คนเวียนหัวแล้ว
ใบหน้าเฉินเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างกายเขาอายุยี่สิบสามปี ก่อนเข้าศูนย์การแพทย์เป็นเพียงชาวบ้านในชนบท ในเวลาต่อมาเขาไม่อาจอยู่รอดได้จึงไปหาเลี้ยงชีพที่อำเภอผิงหยิน
“ถูกต้อง ระดับขัดเกลาไขกระดูก” เมื่อเห็นการตอบสนองของทุกคน ชายชราสงบมากราวกับคิดไว้แล้ว
สำหรับคนที่มาจากที่อื่น ความต้องการนี้สูงเกินไปจริงๆ สูงจนทำให้ผู้คนล้มเลิกความคิดทั้งหมด
“ท่านลุง ท่านบอกว่าหากฐานกระดูกกับความเข้าใจถึงระดับหนึ่งจะลบข้อจำกัดอายุได้?” มีคนถามอย่างไม่เต็มใจ
“ใช่ หากฐานกระดูกและความเข้าใจสูงพอ เรื่องอายุย่อมไม่ใช่ปัญหา”
ชายชราพยักหน้า แต่จู่ๆชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเปลี่ยนไป “ถ้าหากฐานกระดูกและความเข้าใจสูงพอ ระดับไขกระดูกตอนอายุยี่สิบปีย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนเหล่านั้นไม่ใช่หรือ?”
“นี่...” คนอื่นถึงกับพูดไม่ออก
“แน่นอนว่ามีบางคนฝึกการวรยุทธ์ช้าทำให้ระดับไม่ดีพอ นั่นจึงสมเหตุสมผล ดังนั้นสำนักกระบี่เซียนเมฆาจึงให้โอกาสคนเหล่านี้ ตราบใดที่ผ่านการทดสอบพวกเขาจะได้เข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆา”
“ทดสอบอย่างไร?”
“ชายชราไม่มั่นใจเช่นกันเพราะข้าได้ยินมาหลายอย่าง เมื่อพวกเจ้าไปที่ประตูสำนักกระบี่เซียนเมฆาจะได้รู้เอง” ชายชราเงยหน้าดื่มสุราอีกครั้ง สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความพอใจ
“มีช่วงเวลาที่สำนักกระบี่เซียนเมฆารับศิษย์หรือไม่?” เฉินเฟยถาม
“แน่นอนว่ามีและยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ มีการทดสอบเดือนละครั้ง ท้ายที่สุดแล้วมีคนมากมายที่ต้องการเข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆา เพื่อดึงดูดผู้มาใหม่สำนักกระบี่เซียนจึงให้โอกาสเสมอ” ชายชราพยักหน้า
เฉินเฟยหยุดถาม ปิดตาลงและหลับไป
อายุเกินมาตรฐาน สำหรับฐานกระดูก ไม่ต้องพูดถึงฐานกระดูกของร่างกายนี้เลย เพียงแค่คิดว่าเจ้าของร่างเดิมใช้เวลาสามเดือนแต่ยังเริ่มต้นไม่ได้ก็รู้แล้ว
มีเพียงความเข้าใจเท่านั้น
ด้วยการทำให้เป็นแบบง่ายของระบบ ความเข้าใจของเฉินเฟยในตอนนี้อธิบายได้ว่าน่าเหลือเชื่อ แต่สิ่งนี้จะชนะเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวยอีกสองข้อได้หรือไม่นั้นยังไม่อาจรู้ได้
“อันที่จริงพวกเจ้าไม่ต้องยึดติดกับสำนักกระบี่เซียนเมฆาหรอก รอบเมืองเซียนเมฆามีหลายสำนักนิกายที่เปิดรับศิษย์ แม้จะไม่ดีเท่าสำนักกระบี่เซียนเมฆา แต่วิชาสืบทอดไม่ได้อ่อนด้อยเช่นกัน”
เมื่อเห็นคนหนุ่มสาวในรถม้าอารมณ์ไม่ดีชายชราจึงอดไม่ได้ที่จะปลอบโยนพวกเขา และชายชราไม่ได้โกหก เนื่องจากฝูงชนมาเพื่อเข้าสำนักกระบี่เซียนเมฆา สำนักนิกายทรุดโทรมจากที่อื่นจึงมาหยั่งรากในเมืองเซียนเมฆาด้วยเหตุผลหลายประการ
มรดกของสำนักนิกายเหล่านี้ยังมีชื่อเสียงมากในที่อื่น แต่เมื่อเทียบกับสำนักกระบี่เซียนเมฆาจึงดูอ่อนด้อยกว่ามาก
ภายในรถม้าตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่เคลื่อนตัวออกจากเมืองซิ่งเฝิน ถนนด้านนอกเริ่มขรุขระมากขึ้น รถม้ายังตกหล่นหลุมบ่อเล็กน้อย
ตลอดทั้งวันกองคาราวานเซียนเมฆายังปลอดภัยดี แต่สถานการณ์นี้เป็นเรื่องปกติ ด้วยชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของกองคาราวานเซียนเมฆาย่อมไม่มีโจรคนไหนกล้ามาปล้น
สำหรับสิ่งแปลกประหลาด สิ่งแปลกประหลาดมีอยู่มากมายในถิ่นทุรกันดาร แต่ยังไม่มากพอที่จะได้เห็นทุกที่
และถนนสายนี้เป็นเส้นทางที่กองคาราวานเซียนเมฆามักใช้ผ่านทาง สิ่งแปลกประหลาดที่ขวางทางล้วนถูกกำจัดหรือมองข้ามโดยตรง
เฉินเฟยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านตำราสมุนไพรเพราะเขาไม่สามารถทำอย่างอื่นได้
นอกจากนี้เฉินเฟยยังรู้สึกสนุกกับการอ่านตำราคุณสมบัติสมุนไพร การอ่านในตอนแรกทำเพื่อคาดเดาสูตรโอสถทะยานเนินเขา แต่ตอนนี้จุดประสงค์ได้เลือนลางลง
บางครั้งการเรียนรู้ทำให้ผู้คนมีความสุขจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับความรู้ที่ต้องการจากการเรียนรู้นั้น
“อา ดูนั่นสิ มีคนอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย”
ในตอนเย็นของวันที่เจ็ด จู่ๆคนในรถม้าพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ ทุกคนเกิดสงสัยจึงเปิดม่านรถม้า และได้เห็นกระท่อมมุงเดี่ยวบนภูเขาไกลๆ
รอบด้านไม่มีเมือง มีเพียงกระท่อมมุงหลังเดียวอยู่บนภูเขาทั้งลูก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ค่อนข้างแปลก
“อย่ามอง รีบเข้ามา!” ทันใดนั้นสีหน้าชายชราเปลี่ยนไป เขารีบตะโกนบอ
“มีอะไรหรือท่านลุง?” มีคนถามอย่างสงสัย
“เปิดประตู เปิดประตู มีเจ้าสาว”
ก่อนที่ชายชราจะได้อธิบาย ทันใดนั้นมีใครบางคนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ทุกคนหันไปมองโดยไม่รู้ตัวและเห็นประตูกระท่อมมุงจากเปิดออก คนที่สวมมงกุฎฟีนิกซ์ห้อยสายสะพายเดินออกมาช้าๆ
“สวย...สวยมาก!”
ใครบางคนพึมพำเสียงเบาด้วยสีหน้าเฉื่อยชา จากนั้นเขายื่นมือไปจับแก้มและค่อยๆล้วงเข้าไปที่ลูกตาตัวเองอย่างโหดเหี้ยม