ตอนที่ 63 โอสถทะยานเนินเขา
“สมควรแล้ว โจรที่ฆ่าลูกชายเจ้าเป็นคนเลวทราม หากคนเช่นนั้นแฝงตัวอยู่ในกองคาราวานย่อมเกิดหายนะเป็นแน่ ตอนนี้มีโอกาสก็ต้องจับมันตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณ!” ต่งอี้หัวเราะเสียงดัง
“หัวหน้าต่งเกรงใจแล้ว”
สวี่หวังเลี่ยงโบกมืออย่างรวดเร็วและเทสุราให้ต่งอี้ “นี่คือสุราแขกเซียน หัวหน้าต่งโปรดลองชิม”
“ได้เลยได้เลย” ต่งอี้หยิบจอกสุราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลังดื่มไปสามจอก สวี่หวังเลี่ยงอำลาและจากไป ต่งอี้เรียกลูกน้องให้เข้ามาด้วยใบหน้าสงบลง
“หลังจากนี้สามวันสวี่หวังเลี่ยงจะนำคนไปค้นหาคนร้าย เจ้าใช้เงินหนึ่งพันตำลึงนี้จ่ายชดเชยให้ผู้ที่ซื้อป้าย”
“ท่านหัวหน้าเมตตาแล้ว!” ลูกน้องรีบประจบอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่อยากได้ยินเรื่องซุบซิบเมื่อถึงเวลานั้น เอาล่ะ ลงไปเถอะ” ต่งอี้โบกมือให้ ลูกน้องโค้งคำนับและจากไปอย่างรวดเร็ว
สามวันผ่านไปในพริบตา สมาชิกตระกูลสวี่หยุดค้นหาภายในเมืองราวกับยอมแพ้
ช่วงนี้เฉินเฟยทั้งสองไม่ได้ไปไหนและพักอยู่แต่ในลานบ้าน ฉือเต๋อเฟิงใช้โอกาสนี้พักฟื้นร่างกายตัวเอง อย่างไรแล้วเขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บและยังต้องเดินทางไกล
ในระหว่างนี้เฉินเฟยฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา
ความชำนาญของวิชาเคล็ดตระหนกกลืนกินได้เข้าระดับสมบูรณ์ นอกจากพลังภายในจะเพิ่มขึ้นเมื่อฝึกฝน ผลลัพธ์ที่ใหญ่ที่สุดคือโอสถที่กินได้ต่อวันเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ก่อนทะลวงระดับหลอมกระดูก เฉินเฟยกินโอสถเหนือสามัญได้สี่เม็ดต่อวัน หลังทะลวงระดับหลอมกระดูก ความชำนาญวิชายุทธ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่เฉินเฟยกินโอสถเหนือสามัญได้ห้าเม็ด
เมื่อเคล็ดตระหนกกลืนกินถึงระดับสมบูรณ์ ขีดจำกัดในการกินโอสถเหนือสามัญต่อวันเพิ่มเป็นเจ็ดเม็ด
แม้ผลของโอสถเหนือสามัญจะอ่อนลงเล็กน้อยหลังจากทะลวงระดับหลอมกระดูก แต่ด้วยการกินโอสถเหนือสามัญเจ็ดเม็ดต่อวันรวมกับการบ่มเพาะด้วยเคล็ดตระหนกกลืนกิน
จากการคำนวนของเฉินเฟย แถบความคืบหน้าหนึ่งแสนแต้มที่จำเป็นต่อการทะลวงระดับขัดเกลาไขกระดูกนั้นคาดว่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งปีครึ่ง
นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากวิชายุทธ์ดี ใช้เวลาหนึ่งปีครึ่งในการเข้าระดับขัดเกลาไขกระดูก สิ่งนี้เกินกว่าที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจิตนาการได้
จากการสังเกตของเฉินเฟย นักยุทธ์มากมายได้รับผลจากพรสวรรค์และวิชายุทธ์ที่มีจำกัด ในชั่วชีวิตนี้จึงไม่อาจฝึกฝนจนถึงระดับขัดเกลาไขกระดูกได้ และผู้ที่สามารถฝึกฝนถึงระดับนี้ได้ล้วนแก่ตัวแล้วทั้งนั้น
เช่นเดียวกับเหอหยวนฉิวที่เฉินเฟยตัดศีรษะไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เขามีอายุครึ่งร้อยปีและเกือบจะทะลวงระดับขัดเกลาไขกระดูกไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ราคาที่เฉินเฟยต้องจ่ายสำหรับความเร็วในการบ่มเพาะนี้คือโอสถราคาแพง
โอสถเหนือสามัญเจ็ดเม็ดต่อวันมีมูลค่ามากกว่าสองร้อยตำลึง และหนึ่งปีคิดเป็นเงินมากกว่าเจ็ดหมื่นตำลึง สิ่งนี้ห่างไกลจากความมั่งคั่งที่ผู้ฝึกตนทั่วสามารถทำได้
แต่นี่คือเฉินเฟยผู้ที่หลอมโอสถได้ด้วยตัวเอง เขาสามารถเลี้ยงดูตัวเองและทำเงินได้มากมาย
นอกจากการบ่มเพาะ เวลาที่เหลือเฉินเฟยก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาล้วนอ่านตำราเกี่ยวกับโอสถ
ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากคาดเดาสูตรโอสถ0
โอสถทะยานเนินเขาเป็นโอสถที่ทรงพลังที่สุดในห้าระดับปรับแต่งร่างกาย ในเมืองซิ่งเฝินมีขายเพียงไม่กี่ร้าน ไม่ต้องพูดถึงคุณค่าของสูตรโอสถเลย ความยากในการหลอมยากเช่นกัน นักหลอมโอสถมากมายที่สามารถหลอมโอสถเหนือสามัญได้ยังไม่อาจเริ่มต้นโอสถทะยานเนินเขาด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นธรรมดาที่โอสถทะยานเนินเขามีราคาสูงเกินจริง หนึ่งเม็ดหนึ่งร้อยตำลึงเงิน มีราคามากกว่าโอสถเหนือสามัญสามเท่า
ครั้งนี้เฉินเฟยไม่มีสูตรโอสถไม่สมบูรณ์อยู่ในมือ เฉินเฟยจึงเริ่มศึกษาตำราสมุนไพร เรียนรู้เรื่องคุณสมบัติสมุนไพรบางตัว เมื่อถึงเวลาคาดเดาส่วนผสมโอกาสที่จะสำเร็จย่อมมีมากขึ้น
แม้ว่าจะคาดเดาโอสถทะยานเนินเขาไม่ได้ แต่เฉินเฟยยังหลอมโอสถชนิดอื่นได้หากเขาเรียนรู้เรื่องคุณสมบัติสมุนไพร พูดง่ายๆคือการอ่านตำรามากขึ้นไม่มีผลเสีย
ตอนเช้าตรู่ จุดพักกองคาราวานเซียนเมฆาเต็มไปด้วยเสียง ผู้ที่ถือกระเป๋าเล็กใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปที่ซื้อตั๋ว
กองคาราวานเซียนเมฆาไม่ได้จัดหาอาหารให้แต่อย่างน้อยยังจัดหารถม้า แม้ว่าคนจะเยอะไปหน่อยแต่ก็ต้องทนจนไปถึงเมืองเซียนเมฆา
เฉินเฟยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ฟังการสนทนาของผู้คนรอบตัวเขา ทันใดนั้นทุกคนในกองคาราวานเงียบลง เฉินเฟยหันไปมอง เขาเหล่สายตาสบตากับฉือเต๋อเฟิงด้านข้าง
ต่งอี้หัวหน้ากองคาราวานมาถึง ด้านข้างเขาคือสวี่หวังเลี่ยงและอู่จางลี่
“กองคาราวานยินดีอำนวยความสะอวดให้ผู้คนแต่ไม่ใช่สำหรับคนชั่ว มีคนฆ่าทายาทของน้องสวี่ ตอนนี้ข้ามาที่นี่เพื่อตรวจสอบและต้องใช้เวลาเล็กน้อย หวังว่าทุกคนจะให้อภัย”
“นี่...”
ทุกคนมองหน้ากันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่คนใต้ชายคาไม่กล้าพูดออกไป
“มีฆาตกรหรือ?”
“ใช่ การที่ต้องกินนอนฆาตกรแบบนี้เป็นเรื่องลำบากเช่นกัน”
“มีเหตุผล เพียงเสียเวลาเล็กน้อยไม่เป็นไรหรอก”
“ตรวจสอบเลย พอตรวจสอบเสร็จพวกเราจะได้สบายใจขึ้น!”
ทันใดนั้นมีเสียงหลายเสียงมาจากฝูงชน มีคนมากมายประมาณยี่สิบคน หลังจากคนเหล่านี้ตะโกนความรังเกียจในใจคนที่เหลือจึงลดลง
ต่งอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้ม เขาหันมองสวี่หวังเลี่ยง
สวี่หวังลี่ชี้อู่จางลี่ อู่จางลี่ไม่กล้ารอช้าและปล่อยหนอนกู่ออกจากแขน
“หนอนชิมเลือด!”
ดวงตาฉือเต๋อเฟิงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขาควบคุมตัวเองไม่ให้มองเฉินเฟยไม่อย่างนั้นมันจะเด่นชัดเกินไป แต่ในใจยังคงกังวลอยู่เหมือนเดิม
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบของฉือเต๋อเฟิงและการสนทนาของบางคนในฝูงชน เฉินเฟยจึงเข้าใจการทำงานของหนอนกู่ตัวนี้ มันสามารถติดตามกลิ่นเลือดที่ทิ้งไว้บนอาวุธได้
เฉินเฟยเปิดหูเปิดตาเล็กน้อย ในขณะเดียวกันรู้สึกขอบคุณการตัดสินใจของตัวเองในครั้งก่อน เมื่อสัมผัสได้ว่าฉือเต๋อเฟิงทำตัวมีพิรุธ เฉินเฟยจึงขยับนิ้วเล็กน้อยกระแทกแขนเสื้อฉือเต๋อเฟิง
ฉือเต๋อเฟิงผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นสงบลง นี่เป็นสัญญาณลับที่ทั้งสองนัดกันก่อนหน้านี้
หนอนกู่ลอยอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง มันไม่ตั้งใจจะบินเข้าหาฝูงชนแต่ร้องใส่อู่จางลี่แทน
สีหน้าอู่จางลี่เปลี่ยนไป เขาลอบมองสวี่หวังเลี่ยงแล้วกลืนน้ำลายและเริ่มนำหนอนกู่เดินผ่านหน้าผู้ฝึกตน
รูปลักษณ์หนอนชิมเลือดนั้นดูน่าสงสัย ผู้ฝึกตนทั่วไปบางคนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหนอนชิมเลือดเดินผ่านไป ครู่เดียวอู่จางลี่ก็นำหนอนชิมเลือดเดินผ่านผู้ฝึกตนทั่วไปครึ่งหนึ่ง แต่หนอนชิมเลือดยังคงสงบนิ่ง
หน้าผากอู่จางลี่มีเหงื่อท่วม สวี่หวังเลี่ยงที่อยู่ระยะไกลหรี่ตาลงเล็กน้อย
ฉือเต๋อเฟิงแสร้งทำเป็นผ่อนคลายเมื่อเห็นหนอนชิมเลือดเดินผ่านไป แต่ในใจเขาประหม่าอย่างยิ่ง โชคดีที่หนอนชิมเลือดไม่ทำสิ่งใดปกติ มันเดินผ่านหน้าเฉินเฟยไปเช่นกัน
ครู่ต่อมา หนอนชิมเลือดเดินผ่านผู้ฝึกตนทั่วไปจนครบทั้งหมด
อู่จางลี่กลับไปสวี่หวังเลี่ยงแล้วส่ายหน้า สวี่หวังเลี่ยวมองผู้ฝึกตนทั่วไปเหล่านี้ด้วยใบหน้ามืดมน ลึกๆในใจเขารู้สึกว่าคนที่ฆ่าลูกชายอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แต่เขาเพียงหาตัวไม่พบ
สวี่หวังเลี่ยงกำหมัดแน่นและสุดท้ายก็ปล่อยออก
“ออกเดินทางในหนึ่งเค่อ ขอบคุณทุกคน”
ต่งอี้พูดเสียงดังจากนั้นหันไปมองสวี่หวังเลี่ยง นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาช่วยได้
เฉินเฟยมองด้านหลังสวี่หวังเลี่ยงด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หนึ่งเค่อต่อมา กองคาราวานเซียนเมฆาออกเดินทาง เฉินเฟยนั่งอยู่ที่มุมรถม้าและฟังชายชราที่อยู่ข้างพูด
“ดูแล้วพวกเจ้าคงไปสำนักกระบี่เซียนเมฆาใช่ไหม? แต่สำนักกระบี่เซียนเมฆาจะก้าวเข้าได้ง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร!”