บทที่ 299 – ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมือง
ผมจามออกมาอย่างแรง จนต้องพึมพำออกมา “เพิ่งจะออกมาไม่นานเอง ทำไมมู่จือถึงได้คิดถึงฉันเร็วจัง?”
หลังจากที่ออกมาจากดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพ ผมก็ใช้เวลาไม่นานมากนักในการออกจากเทือกเขาใหญ่นั้นได้ และมุ่งหน้าต่อมาอีกหลายชั่วโมงโดยไม่หยุด เป้าหมายแรกของผมคือการกลับไปที่ป้อมปราการเต๋อหลุน เพราะว่ามีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าหุบเขาแบ่งฟ้า ที่มีพลังสืบทอดของเทพเจ้าอยู่นั้นตั้งอยู่ที่ใด ดังนั้น ผมจึงไม่ได้กลัวว่าจะมีใครสามารถตามหาตัวเองเจอ
ตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว พระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นอยู่เกือบกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆ ผมเลือกที่จะเดินทางด้วยการเหาะไปบนอากาศ ตั้งแต่ที่ออกมาจากเขตเทือกเขาแล้ว ผมอยากจะรีบไปรับสืบทอดพลังให้เสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะได้กลับมาที่ดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพได้เร็วขึ้นอีก เคยคิดแม้แต่กระทั่งการลองใช้เวทย์เคลื่อนย้ายระยะไกลในการเดินทาง ด้วยระดับพลังเวทย์ของผมในตอนนี้ มันน่าจะสามารถรับประกันได้ว่าผมน่าจะไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย และค่อนข้างแม่นยำแล้ว แต่หลังจากที่คิดพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ผมก็ยกเลิกความคิดนั้นไป เพราะแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยมาก แต่มันก็ยังเกิดความผิดพลาดได้อยู่ดี และไม่มีใครรู้ว่า ถ้าผิดพลาดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ผมอาจจะเคลื่อนย้ายห่างจากเป้าหมายออกไปแทนก็ได้ และแม้ว่าความเร็วในการเดินทางตอนนี้ของผม จะช้ากว่าการใช้เวทย์เคลื่อนย้าย แต่มันก็ยังเร็วกว่าคนอื่น ๆ มากอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ ราชาเทพเคยกล่าวเอาไว้ว่า หุบเขาแบ่งฟ้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของชายแดนระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ นั้นหมายว่า มันอยู่อีกด้านหนึ่งของเทือกเขาเทียนตัว ผมเพียงแค่ต้องมุ่งไปที่ทวีปตะวันตกอีกรอบก่อนเท่านั้น แล้วค่อยค้นหาว่าหุบเขาแบ่งฟ้านั้นตั้งอยู่ที่ใด
ผมยังใช้การเดินทางบนอากาศเป็นหลักต่อไปทั้งวัน เมื่อเวลายิ่งผ่านไป พระอาทิตย์ก็ยิ่งเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกมากขึ้น จนในที่สุดมันก็ลับขอบฟ้าลงไป และยามค่ำคืนก็เคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ พลังที่อยู่ในร่างกายของผมเริ่มลดลงเป็นอย่างมาก ผมบินมาเป็นระยะเวลาที่นานมากแล้วจริง ๆ ประกอบกับการที่ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลยตลอดวัน ตอนนี้ผมเริ่มที่จะหมดแรงแล้ว
ผมสอดส่ายสายตาเพื่อหาเป้าหมายสำหรับการพักผ่อนในคืนนี้ และพบว่าที่ด้านหน้าในระยะไกล มีแสงสว่างไสวโด่นเด่นท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืนอยู่ ผมรีบเคลื่อนพลังเวทย์เข้าไปในดวงตา และเพ่งมองไปยังต้นกำเนิดของแสงเหล่านั้นอีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามันเป็นเมือง ๆ หนึ่ง
ป้อมปราการเต๋อหลุนนั้น ถ้าจะให้พูดกันตามความเป็นจริงแล้ว มันตั้งอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรต้าลู่ ดังนั้น นี่น่าจะเป็นเมือง ๆ หนึ่งของอาณาจักรต้าลู่แน่ ๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนัก ผมเพียงแต่ต้องการหาที่พักสำหรับคืนนี้เท่านั้น และที่นั่นก็น่าจะเหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้ว ผมหยิบชุดคลุมเวทย์สีขาวตัวใหม่ออกมาจากกระเป๋ามิติ ก่อนจะร่อนลงเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย หลังจากนั้นก็ใช้การเคลื่อนย้ายระยะสั้นมุ่งไปที่ป่าบริเวณใกล้ประตูเมืองทันที
เมื่อสังเกตว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แล้ว ผมก็ดึงหมวกของชุดคลุมเวทย์ขึ้นมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ ก่อนจะเดินออกจากชายป่านั้นมุ่งตรงไปที่ประตูเมือง
เมื่อผมอยู่ห่างจากทางเข้าไม่ไกลนัก ก็ได้ยินเสียงตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ประตูเมืองปิดแล้ว! ประตูเมืองปิดแล้ว!”
นั่นทำให้ผมตะลึงไปไม่น้อย เงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูทางเข้า และเห็นว่าทหารเฝ้าประตูสองคนกำลังผลักประตูเมืองให้ปิดลงอยู่ บนกำแพงเมืองเหนือประตูนั่นมีชื่อเมืองขนาดใหญ่ติดเอาไว้ว่าเมืองว่านถัง นี่ผมคงจะไม่โชคร้ายอย่างนี้จริง ๆ ใช่มั้ย? ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ผมก็คงเคลื่อนย้ายตัวเองเข้าเมืองไปโดยตรงแล้ว
“รอก่อน! รอก่อน! เจ้าหน้าที่รอก่อน! ได้โปรดรอให้ข้าเข้าไปก่อนเถิด” ผมเร่งฝีเท้าของตัวเองขึ้นอีก
“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่เห็นหรือยังไงว่าประตูเมืองปิดแล้ว?” ทหารเฝ้าประตูหยุดผมเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมผ่านประตูเข้าไปได้
ผมรีบขอร้องพวกเขาทันที “ท่านเจ้าหน้าที่ ข้านั่นเดินทางมาไกลไม่น้อย ตอนนี้เหนื่อยมากเหลือเกิน ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้อีกแล้ว ปล่อยให้ข้าเข้าไปหาที่พักในเมืองคืนนี้ก่อนเถอะ”
ทหารคนนั้นจ้องมาที่ผมเขม็ง “เมืองของพวกเรานั้นมีกฎตั้งเอาไว้ มีอนุญาตให้ใครผ่านเข้าออกหลังจากที่ประตูเมืองปิดลงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์ราชาเสด็จมาเอง พวกเราก็ไม่ยอมอนุญาตให้เข้าเมืองไปในเวลานี้ได้หรอก ไป! ไป! ไปให้พ้นทางเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากจะเข้าไปในเมือง ก็รอให้ประตูเมืองเปิดตอนพรุ่งนี้เช้าก่อน”
ผมขมวดคิ้วแน่น เริ่มรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เสียงของผมเริ่มดังขึ้น “เจ้า! อาณาจักรต้าลู่ของพวกเจ้าได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรสงบสุข กลายเป็นว่า ทหารกลับไม่มีเหตุผลอะไรเลยจริง ๆ!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมกล่าวออกไป ทหารนายนั้นดูเหมือนว่าจะโกรธขึ้นมาเหมือนกัน “พวกเราแค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มันจะไม่มีเหตุผลได้อย่างไร? รีบออกไปให้พ้นหน้าประตูเดี๋ยวนี้!! พวกเราจะปิดประตูแล้ว” เขาตวาดออกมา พร้อมกับยื่นมือมาผลักผมให้พ้นทาง เรื่องแค่นี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหนา ผมเองก็ไม่ได้อยากจะก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้นมา จึงกระโดดหลบจากมือที่กำลังผลักเข้ามาของเขา หมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้นแต่โดยดี ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ผมเดินผ่านเข้าไปทางประตู ผมก็แค่ข้ามกำแพงไปเองเท่านั้น
ก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากหน้าประตูนั้นได้ไกลนัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาอย่างเร่งรีบแต่ไกล จากความเร็วที่พวกมันเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ผมนึกชมอยู่ในใจว่าม้าพันธุ์ดีแท้ ๆ และเมื่อดูจากทิศทางของพวกเขาแล้ว น่าจะต้องการเข้าเมืองว่านถังนี้ด้วยเช่นกัน ผมเลือกที่จะหลบออกไปยืนอยู่ริมถนนเงียบ ๆ
เสียงฝีเท้าม้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด ทหารม้าจำนวน 12 นายก็ควบม้าผ่านจุดที่ผมยืนอยู่ไป เมื่อมองดูพวกเขาอย่างสังเกต จะพบว่าหัวหน้าขบวนนั้นดูมีท่าทางภูมิฐาน ส่วนสูงน่าจะใกล้เคียงกับผม แต่ร่างกายนั้นกำยำกว่ามาก แต่งกายอยู่ในชุดเกราะสีเงิน หน้าตาดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง จมูกตรงโด่งและมีใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมชัดเจน อายุน่าจะอยู่ในช่วงไม่เกิน 30 ปี มีหอกสีเงินสะพายขวางอยู่ที่แผ่นหลัง พวกเขาทั้งหมดนั้นมีอาการรีบร้อนไม่น้อย ส้นเท้าคอยกระตุ้นให้ม้าวิ่งอย่างเร็วที่สุดอยู่ตลอดเวลา
ฝีมือในการขี่ม้าของนายทหารหนุ่มในชุดเกราะสีเงินคนนั้นยอดเยี่ยมไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่เห็นว่าประตูเมืองนั้นได้ปิดตัวลงแล้ว เขาก็สามารถหยุดม้าลงได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตามมาทางด้านหลังรีบหยุดม้าลงตามไปด้วย
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้” นายทหารหนุ่มคนนั้นตะโกนขึ้น
ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูตะโกนลงมาจากบนกำแพง “นั่นเป็นผู้ใด?”
เสียงของนายทหารม้าคนนั้นตะโกนกลับไปอย่างหงุดหงิด “ข้าคือรองผู้บัญชาการของจอมพลฟงห้าว ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติภารกิจ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
อ้อ! ลูกน้องของจอมพลนั่นเอง แต่เหมือนกับว่าผมจะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย อาณาจักรต้าลู่ก็มีคนหนุ่มที่โดดเด่นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
มีเสียงตะโกนตอบกลับลงมาจากบนกำแพงอีกครั้ง “ได้โปรดรอสักครู่!”
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูเมืองก็เปิดออกอีกครั้ง และมีหน่วยทหารม้าเล็ก ๆ ปรากฏตัวขึ้น ผู้นำของกลุ่มทหารที่มาใหม่นั้น กล่าวกับชายหนุ่มในเกราะเงินอย่างเรียบ ๆ “ได้โปรดแสดงตราสัญลักษณ์ด้วย”
นายทหารในเกราะเงินยื่นอะไรบ้างอย่างออกไป เมื่อหัวหน้าทหารที่ออกมาตรวจสอบได้ดูอย่างละเอียดแล้ว คำพูดก็เปลี่ยนเป็นแสดงความเคารพทันที “เป็นท่านผู้บัญชาการเคอเอ้อร์หลานตี้นี่เอง เชิญเข้าเมืองเถิด”
นี่มันไม่ยุติธรรมเอามาก ๆ พวกเขาไม่ยอมเปิดประตูให้ผมผ่านเข้าไป แต่พอมีคนยื่นตราอะไรไม่รู้ให้ดู กลับปล่อยให้เข้าเมืองไปอย่างง่ายดาย ผมไม่ยอมหรอก! แล้วผมก็รีบใช้การเคลื่อนย้ายระยะสั้นส่งตัวเองไปปรากฏตัวที่ด้านหลังของทหารม้ากลุ่มนั้นทันที และยังเคลื่อนย้ายตัวเองอีกครั้ง นั่นทำให้ผมสามารถเข้าไปในตัวเมืองได้ก่อนพวกเขาแล้ว