บทที่ 297 – ลอบออกไป
น้ำตาไหลซืมออกมาจากดวงตาของมู่จือ เธอกอดผมเอาไว้แน่น ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงสะอื้น “ไม่! ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนาย และมีแต่นายเท่านั้นที่จะทำให้ฉันมีความสุขได้ ฉันจะยอมทนอยู่อย่างทุกข์ทนคนเดียว ถ้าเกิดว่านายเป็นอะไรไป จางกง! นายต้องไม่เป็นอะไร นายต้องรักษาตัวให้รอดเพื่ออยู่กับฉันให้ได้นะ”
ผมก้มลงจูบที่หน้าผากเธออย่างอ่อนโยน การที่เธอแสดงความรู้สึกออกมาแบบนี้ ทำให้หัวใจของผมนั้นสั่นไหว
“มู่จือ! อย่าร้องไห้อีกเลย ฉันต้องพยายามอย่างถึงที่สุดอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องของไหสุ่ย ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาก็แล้วกัน ถ้าพวกเราถูกกำหนดมาให้ได้อยู่ด้วยกัน มันก็ไม่มีอะไรมาแยกพวกเราออกจากกันได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ฉันไม่อาจให้เธอหวังอะไรลม ๆ แล้ง ๆ ได้หรอก เอาไว้หลังจากจัดการกับราชามารได้แล้ว ถ้าไหสุ่ยยังต้องการอยู่ด้วยกันกับฉันอีก ฉันก็จะไม่ผลักไสให้เธอไปไหน จะพาพวกเธอทั้งคู่ออกท่องเที่ยวไปทั่วโลกเลย เธอว่าดีมั้ย?”
มู่จือไม่ได้ตอบคำถามนี้กลับมา เธอแค่ปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมกอดของผมอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น ผมเองก็ไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นมาอีกเหมือนกัน สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมต้องทำในตอนนี้ คือการไปรับการสืบทอดพลังของเทพเจ้า ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ผมถึงจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะปกป้องคนที่ผมรักได้ อา! ราชาเทพ! ภารกิจที่พระองค์ทรงมอบมาให้ผม ทำไมมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ล่ะ?
หลังจากวันนั้น ผมใช้เวลาในทุกวันร่วมกับผู้อาวุโสทั้งห้าคน ช่วยกันฝึกฝนสมาชิกของกองกำลังผู้พิทักษ์แห่งเทพอย่างหนัก และเมื่อมีเวลาว่าง ก็จะชักชวนมู่จือและเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ออกไปเที่ยวเล่นกัน มันเป็นเวลานานไม่น้อยแล้ว ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ และค่อนข้างจะอิสระอย่างนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ผมกับเพื่อน ๆ พากันตะลุยไปจนเกือบจะทั่วทั้งเทือกเขาแล้ว โดยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการสืบทอดพลังของเทพเจ้าขึ้นมาเลยแม้แต่คำเดียว เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และไม่ต้องการให้พวกเขาต้องมากังวลกับเรื่องพวกนี้อีก โดยเฉพาะมู่จือ ในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ เธอดูมีความสุขเป็นอย่างมาก และผมชอบที่จะเห็นเธอเป็นอย่างนั้น สิ่งเดียวที่กวนใจผมอยู่เป็นบางครั้ง คือรอยแผลเป็นที่อยู่ตามตัวและใบหน้าเท่านั้น มันทำให้ผมไม่กล้ายืนมองเงาของตัวเองในแม่น้ำเลยด้วยซ้ำ
พอล่วงเข้าเดือนที่สอง หลังจากที่พวกเราเดินทางกลับมายังฐานที่มั่นแห่งนี้ ผมรู้ว่าเวลาพักผ่อนของตัวเองนั้นได้หมดลงแล้ว ไม่เหลือเวลาให้ผมได้ทำตัวสนุกสนานต่อไปอีก ผมต้องเริ่มลงมือทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำให้เร็วที่สุด มันเป็นความรับผิดชอบที่มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่ผมลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง และใช้เวทย์ส่องสว่างของตัวเองทำให้ห้องนั้นสว่างขึ้น คืนนี้ผมไม่ได้นอนหลับไปนานนัก เพราะเป็นวันที่ผมตัดสินใจจะเดินทางแล้ว เมื่อวานนี้ ผมตั้งใจใช้เวลาอยู่กับมู่จือทั้งวัน เพราะหลังจากนี้ พวกเราจะไม่ได้เจอกันอีกนานไม่น้อย และมันก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เขียนจดหมายถึงมู่จืออีกเลย วันนี้ผมกำลังจะเดินทางอีกแล้ว จึงคิดที่จะเขียนจดหมายทิ้งเอาไว้ให้เธอ
หลังจากหยิบกระดาษและปากกามาเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานไม่น้อยก่อนจะเริ่มลงมือเขียนได้ เพราะใจจริงของผมนั้นไม่ได้อยากจะจากไปเลย แต่ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างขึ้นมาแล้ว ถ้าผมยังมัวมาโอ้เอ้อยู่อย่างนี้ ผมคงต้องเจอกับบรรยากาศของการจากลาอีกแน่ ซึ่งมันจะส่งผมต่อการตัดสินใจที่จะเดินทางของผมไม่น้อย ผมกัดฟันแน่น ก่อนจะลงมือเขียนจดหมายสั้น ๆ อย่างรวดเร็ว
ผมวางจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วเอาไว้บนโต๊ะ ใช้ตะเกียงทับมันไว้ไม่ให้ปลิวหายไปไหน จากนั้นก็ถอนหายใจยาว และเริ่มจัดการกับของใช้ส่วนตัว ในการเดินทางครั้งนี้ ผมไม่ได้วางแผนที่จะพาเสี่ยวจินไปด้วย เพราะต้องการให้มันอยู่เป็นหลักประกันความปลอดภัยของที่นี่ ถ้าในระหว่างที่ผมสืบทอดพลังของเทพเจ้าอยู่ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน เกิดเหตุการณ์ที่เผ่ามารเข้าโจมตีเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เสี่ยวจินจะเป็นผู้ช่วยเหลือที่มีประโยชน์ของกองกำลังผู้พิทักษ์แห่งเทพมากเลยทีเดียว
ผมพยายามเก็บงำกลิ่นอายของตัวเองให้หายไปอย่างสิ้นเชิง ค่อย ๆ ลอบออกจากห้องพร้อมกับคทาเวทย์ซู่เกอลาในมือ
การวางเวรยามของดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพค่อนข้างจะเข้มงวด ถ้าผมเลือกที่จะเหาะออกไปโดยตรง จะต้องถูกทหารที่กำลังลาดตระเวนอยู่สังเกตเห็นอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมจะไม่ออกไปโดยวิธีนั้น แต่เลือกที่จะค่อย ๆ ย่องออกไปเงียบ ๆ แล้วใช้สัมผัสพิเศษของธาตุเวทย์มนต์ในอากาศรอบตัว ช่วยในการหลบหลีกทหารที่กำลังเฝ้ายามอยู่แทน และในที่สุดผมก็ออกมาจากอาณาเขตของฐานที่มั่นจนได้ นึกย้อนกลับไปแล้ว ผมก็รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้นำของกองกำลังนี้ แต่กลับต้องย่องหนีออกมาเหมือนเป็นแมวขโมยยังไงยังงั้น คิดแล้วเสียหน้าจริง ๆ ผมหันกลับไปมองที่ฐานที่มันอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจอย่างหนักแน่น ใช้พลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พาตัวเองจากไปจากเทือกเขาทันที โดยเลือกที่จะบินในระดับต่ำ ไม่ให้มีใครสามารถสังเกตเห็นตัวของผมได้เลย
...............
ในตอนเช้า ผู้คนในดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมตามปกติของพวเขา เหล่าทหารที่รับหน้าที่ในการเพาะปลูกพืชพันธุ์ก็ลงไปทำงานในไร่นาอย่างขยันขันแข็ง อากาศในวันนี้แจ่มใส บนท้องฟ้าไร้เมฆหมอก ปล่อยให้แสงอาทิตย์ทำงานของมันได้อย่างเต็มที่ สร้างความรู้สึกที่สดชื่นให้กับทุกคน อุณหภูมิของที่นี่ในตอนเช้าจะค่อนข้างเย็น ด้วยสภาพที่แวดล้อมไปด้วยป่าไม่และมีภูเขาล้อมรอบ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของสมาชิกที่แข็งแกร่งของกองกำลังผู้พิทักษ์แห่งเทพเลย
มู่จือตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า และออกมายืนอยู่หน้าห้องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เมื่อวานนี้เธอใช้เวลาอยู่กับจางกงเกือบทั้งวัน และมีความรู้สึกว่าช่วงหลังนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไร แม้แต่ในขณะที่อยู่ด้วยกันกับเธอ นั่นยิ่งทำให้มูจือเป็นห่วงเขามาก และใช้ทุกโอกาสที่มีพูดคุยให้กำลังใจเขาอย่างต่อเนื่อง
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เธอเดินมาเคาะประตูห้องของจางกง “จางกง! นี่ฉันเอง นายตื่นหรือยัง? นี่มันสายแล้วนะ” แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมาเลย เมื่อเคาะประตูไปได้สักพัก เธอก็เริ่มใช้เสียงที่แหลมขึ้น “จางกง! ทำไมนายถึงได้ขี้เซาขนาดนี้ ยังไม่รีบลุกขี้นมาอีก! ระวังไว้เถอะ ฉันจะใช้เวทย์น้ำปลุกนายเอง” จางกงเคยเล่าให้เธอฟัง ถึงวิธีที่เขาโดนแม่ใช้ในการปลุกเมื่อสมัยยังเด็ก นั่นเป็นการทำร้ายตัวเองของเขาอย่างชัดเจน เพราะมู่จือเลือกที่จะใช้วิธีเดียวกันนี้ในการปลุกเขา
ตามปกติ เมื่อได้ยินมู่จือขึ้นเสียงแบบนี้ จางกงจะรีบวิ่งออกมาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เพราะเคยมีวันที่เขาไม่ยอมตื่นจากเสียงเรียกของเธอ และได้รับรู้ในวันนั้นนั่นเอง ว่าพลังเวทย์ของมู่จือนั้นรุนแรงกว่าแม่ของเขามากจริง ๆ มันพัดเขาจนลอยออกจากห้องไปเลย แต่วันนี้มันแตกต่างออกไป เพราะเธอยังไม่ได้ยินเสียงอะไรในห้องเลย
อาจเป็นเพราะเธอมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เธอจึงไม่ได้ร่ายเวทย์น้ำของตัวเองในทันที แต่เลือกที่จะเปิดประตูเขาไปอย่างแรง และต้องพบว่าในห้องนั่นว่างเปล่า เธอยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเหลือบตาไปเห็นจดหมายที่วางอยู่ใต้ตะเกียง
นั่นทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ตาของเธอเริ่มแดง น้ำตาเริ่มไหลออกมา มือของเธอสั่นตอนที่เอื้อมไปหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาอ่าน..