บทที่ 296 – ดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพ
ตอนที่ผมมองหน้าทุกคนที่นั่งอยู่รอบ ๆ พบว่านอกจากมู่จือ จ้านหู่ และผมแล้ว คนอื่น ๆ ทุกคนเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าซิวซือกำลังพูดถึงอะไร สายตาของพวกเขาพุ่งตรงมาที่ผมจุดเดียวเลย
ซิวซือกระแอมออกมาเพื่อให้คอโล่ง 2-3 ครั้ง ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้น “พวกเราได้ปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะนำกองพันผู้พิทักษ์เดินทางไปยังป้อมปราการเต๋อหลุน พวกเราได้ตัดสินใจที่จะตั้งชื่อกลุ่มขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเคลื่อนไหวกองกำลังออกไป โดยจะใช้ชื่อว่า ดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพ ซึ่งหมายถึงผู้พิทักษ์ของเหล่าเทพเจ้านั่นเอง กองกำลังของพวกเราจะเรียกว่ากองกำลังผู้พิทักษ์แห่งเทพอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะมันเป็นวันที่จางกงเดินทางกลับมาที่นี่ เป้าหมายของกองกำลังนี้ ก็คือช่วยเหลือเทพเจ้ากำจัดราชามาร และคืนความสงบสุขให้แก่โลกใบนี้”
ตอนที่เขากล่าวจบ ทุกคนในที่นั้นส่งเสียงโห่ร้องขึ้น
แต่ผมถามออกไปอย่างอึ้ง ๆ เล็กน้อย “พี่ใหญ่ซิวซือ นี่คือเรื่องที่น่าตกใจของนายอย่างนั้นหรือ?”
เขายิ้มออกมา “แน่นอนว่ามันยังไม่หมดเพียงแค่นี้ นายปล่อยให้ฉันพูดเรื่องที่ต้องพูดให้หมดเสียก่อนสิ ผู้อาวุโสทั้งห้าจะเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของกองกำลังผู้พิทักษ์แห่งเทพ มีหน้าที่ฝึกสอนและให้คำแนะนำทุกคนในการฝึก พวกเขาจะจัดตั้งหน่วยควบคุมกฎขึ้นมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของกองกำลัง และจากจำนวนคนทั้งหมด 3,000 คนของพวกเรา ถูกแบ่งออกเป็น 6 กองพัน กองพันที่ 1 จะประกอบไปด้วยพี่น้องที่เดินทางมากลับพวกเราทั้ง 500 คน ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ ที่เหลือ ได้ถูกจัดแบ่งออกเป็นอีก 5 กองพันเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้จำนวนของคนในแต่ละกองพันไม่ได้มีมากมายนัก พวกเราจึงไม่ต้องแต่งตั้งผู้บัญชาการในระดับรองลงไป กองพันทั้ง 6 จะอยู่ภายใต้การดูแลของพี่ใหญ่จ้านหู่ ซิงโอว เกาเต๋อ ตงรื่อ เจี้ยนซาน และตัวฉันเอง”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “แล้วฉันมีหน้าที่อะไร?”
ซิวซือหัวเราะออกมา “นายเริ่มตกใจแล้วใช่หรือไม่? อาณาจักรจะขาดผู้นำไม่ได้ เช่นเดียวกันกับแม่ทัพที่ต้องมีทหารให้ควบคุม เพราะฉะนั้น ดินแดนของผู้พิทักษ์แห่งเทพของพวกเรา จะมีนายดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำ นายต้องเป็นคนที่มีหน้าที่คอยดูแลเรื่องทุกอย่าง”
ผมถึงกับสะดุ้งกับคำพูดของเขา แน่นอนเลยว่านี้ต้องมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมคาดเอาไว้ไม่มีผิด และถ้าผมกลายเป็นผู้นำ ก็จะกลายเป็นคนที่มีงานเยอะที่สุดในกลุ่มแล้ว ผมยอมไม่ได้หรอก! ทำให้ต้องรีบลุกขึ้นปฏิเสธในทันที แต่เสียงปฏิเสธของผมนั้นจมหายลงไปในเสียงโห่ร้องอย่างยินดีของคนหมู่มาก ซิวซือยืนยิ้มให้ผม ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าแผนการของเขานั้นสำเร็จแล้ว ทำให้ผมรู้สึกโมโหเขาขึ้นมานิดหน่อยทันที
ผมรีบเปลี่ยนหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งห้าแทน “ผู้อาวุโส ข้าไม่คิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำกลุ่มเลยแม้แต่น้อย อายุของข้านั้นยังน้อยมาก ความรู้ก็ตื้นเขิน แถมยังไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงอะไรอีกด้วย พวกท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสสองยิ้มออกมา “จางกง! เจ้าอย่าได้คิดที่จะปฏิเสธไปเลย พวกเราได้ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีแล้ว และทุกคนก็ยอมรับที่จะให้เจ้าเป็นผู้นำอย่างเอกฉันท์ แล้วที่บอกว่าตัวเองไม่มีชื่อเสียงนั้น เจ้าใช้อะไรคิดกันแน่ ตอนนี้ไม่ว่าที่ไหน จะยังมีใครไม่รู้จักท่านทูตของเทพเจ้าเว่ยจางกงอีกหรือ? โดยเฉพาะความแข็งแกร่งอันน่าเหลือเชื่อที่เจ้าแสดงออกมาในตอนนั้น เอาล่ะ! ทุกอย่างก็ตกลงกันตามนี้แล้ว!”
ซิวซือเดินเข้ามาหาผมใกล้ ๆ “เป็นยังไงมาก เรื่องน่าตกใจของฉัน น่าตกใจจริง ๆ ใช่มั้ย?”
ผมยิ้มออกไปอย่างขมขื่น “นี่ไม่ใช่แค่ตกใจแล้ว มันน่ากลัวจะตายไป ซิวซือ คราวนี้นายทำฉันลำบากมากแล้วจริง ๆ” แล้วจู่ ๆ ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาในทันที ผมรีบส่งเสียงตะโกนออกไป โดยใช้พลังเวทย์เสริมเข้าไปในเสียงนั้นด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะได้ยินอย่างชัดเจน “ทุกคน! ได้โปรดเงียบเสียงลงก่อน ข้ามีเรื่องบางอย่างที่จะกล่าวกับทุกคน” เสียงที่เสริมด้วยพลังเวทย์ของผมนั้นดังก้องไปทั่วลานกว้างแห่งนี้อย่างชัดเจน และมันทำให้เสียงที่ดังวุ่นวายอยู่นั้นสงบลงในทันที
ผมยิ้มออกมา “ในเมื่อทุกคนเห็นตรงกันว่าจะให้ข้าขึ้นเป็นผู้นำ ข้าก็คงไม่ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนี้ แต่ว่า ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่จะประกาศให้ทุกคนทราบ” ในขณะที่กล่าวออกไป สีหน้าของผมนั้นเปลี่ยนเป็นจริงจัง และวางท่าทีให้ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกล่าวออกไปต่อ “ถึงแม้ว่าในคราวนี้พวกเราจะประสบความสำเร็จ และได้ชัยชนะกับมา แต่ทุกคนก็ยังไม่ควรที่จะยินดีกับมันมากนัก พวกเรายังไม่รู้ได้อย่างแน่ชัดว่า เผ่ามารนั้นมีความแข็งแกร่งมากถึงเพียงใด เส้นทาง และภารกิจในภายภาคหน้าของเรานั้นยังเต็มไปด้วยอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างนั้น ข้าก็หวังว่าพวกเราทุกจะสามารถปลุกเร้าจิตใจของตัวเองให้ฮึกเหิม เตรียมพร้อมที่จะฝ่าฟันกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นไปด้วยกัน และสำหรับตัวของข้าเองนั้น ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ว่าจะเดินทางไปยังสถานที่หนึ่งที่องค์ราชาเทพได้เคยบอกไว้ เพื่อที่จะรับสืบทอดพลังอำนาจของเทพเจ้า เพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้สามารถต่อต้านกับราชามารได้ สิ่งที่ข้าจะต้องบอกกับพวกเจ้าเอาไว้ก่อนให้ชัดเจนก็คือ การเดินทางในครั้งนี้ แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด ดังนั้น ข้าจึงขอมอบอำนาจในการดูแลฐานที่มั่นแห่งนี้ ให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโสทั้งห้า ตลอดระยะเวลาที่ข้าออกเดินทางอยู่ข้างนอกนั่น แล้วอีกอย่าง ด้วยสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของพี่ใหญ่ซิวซือ ข้าจึงขอแต่งตั้งให้เขารับตำแหน่งผู้นำของกลุ่มเป็นการชั่วคราว ข้าให้สัญญากับพวกท่านทุกคนเอาไว้ตรงนี้เลย ว่าข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ก่อนที่ศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแน่นอน” คำกล่าวของผมนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วม ทำให้สามารถปลุกใจให้กับกองกำลังผู้พิทักษ์แห่งเทพได้เป็นอย่างดี พวกเขาทุกคนต่างโห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง ต่างสัญญากับตัวเองว่าจะกำจัดราชามารลงให้ได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่กล่าวคำพูดพวกนั้นออกไปได้หมดแล้ว ท่าทางของผมก็ดูผ่อนคลายลง มู่จือที่อยู่ด้านข้างกระซิบกับผม “จางกง ตอนที่นายพูดเมื่อครู่นี้ ดูหนักแน่นจริงจังดีมากเลยนะ”
นั่นทำให้ผมต้องคงท่าทีอย่างนั้นเอาไว้ต่อไป ก่อนที่จะกระซิบตอบเธอ “พี่ใหญ่ซิวซือต้องการจะทำให้ฉันลำบากทำงานนักใช่มั้ย? คราวนี้ลองดูก็แล้วกัน โดนเข้าเองเสียบ้างจะทำยังไง?” แล้วก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้มากนัก สีหน้าของซิวซือกลายเป็นดูไม่ได้ขึ้นมาแล้ว สายตาของเขาที่มองมาทางผม เต็มไปด้วยคำอ้อนวอนเลย
หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเราทุกคนก็พากันกลับไปพักผ่อน ส่วนมูจือกับผมพากันออกมาเดินเล่นอยู่บนเนินเขาไม่ไกลจากฐานที่มั่นนัก ในค่ำคืนภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา บรรยากาศนั้นยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
“พรุ่งนี้อากาศน่าจะดีนะ” มู่จือชวนคุยออกมา
ผมโอบร่างอันบอบบางของเธอเอาไว้ในอ้อมกอด “อืม! ฟ้าน่าจะใสน่าดูเชียวล่ะ”
แล้วเธอก็จ้องหน้าผมอย่างจริงจัง “จางกง! แล้วนายตั้งใจจะจัดการเรื่องของไหสุ่ยยังไงกันแน่?”
นั่นทำให้อารมณ์ที่กำลังดีของผมหมองหม่นลงไม่น้อยเลย ตอนที่ผมได้ยินเธอถามเกี่ยวกับไหสุ่ยออกมา ก่อนที่จะพวกเราจะเดินทางออกมาจากป้อมปราการเต๋อหลุน ผมได้ฝากจดหมายกับหม่าเคอไปให้ไห่สุ่ยฉบับหนึ่ง ข้างในนั้นเขียนเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง และยังบอกให้เธอทำใจลืมผมไปเสีย เพราะตอนนี้ผมไม่ใช่จางกงคนเดิมที่เธอเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว นั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของผมเลย เพราะผมเองก็ไม่กล้าที่จะเอาหน้าตาน่าเกลียดแบบนี้ไปพบกับเธออีกครั้งเหมือนกัน และไม่อยากจะให้เธอเห็นผมอยู่ในสภาพแบบนี้เลยด้วย
มู่จือเหมือนจะรู้ว่าผมนั้นอารมณ์ไม่ค่อยดีนักในตอนนี้ เธอจึงรีบกล่าวออกมา “อันที่จริงแล้ว ไหสุ่ยเองก็ไม่ได้รักนายน้อยไปกว่าฉันเลย เธอไม่น่าจะสนใจหรอกว่านายหน้าตาเป็นยังไง ทำไมนายไม่...”
ผมพูดขัดจังหวะเธอออกมาก่อนที่จะพูดจบ “เธอยังจำเหตุผลได้มั้ย ?ว่าทำไมฉันถึงไม่อยากให้เธอมาอยู่กับฉันอีกตั้งแต่แรก? กับไหสุ่ยมันก็เป็นเหตุผลเดียวกันนั่นแหละ แม้ว่าความรักของฉันที่มีต่อไหสุ่ยอาจจะพูดได้ไม่เต็มปากว่ารักสุดหัวใจ แต่ฉันก็ยังต้องการให้เธอมีความสุข แล้วฉันจะเอาหน้าตาน่าเกลียดอย่างนี้ไปทำให้เธอทุกข์ใจเพื่ออะไรล่ะ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ใจฉันมันยังไม่สงบนัก เรื่องของราชามารยังคอยกวนใจอยู่เรื่อย ๆ เลย มู่จือ! ฉันอยากให้เธอสัญญาสักอย่างจะได้มั้ย? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉันตอนต่อสู้กับราชามาร...”
เธอเอามือปิดปากของผมไว้แน่น ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างโมโห “หยุดพูดอย่างนั้นได้แล้ว นายเป็นถึงท่านทูตของเทพเจ้าเลยนะ จะไปแพ้ราชามารนั่นได้ยังไง?ไ
ผมยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา ก่อนจะส่ายหัว “เรื่องนี้มันก็พูดยากอยู่เหมือนกัน และทั้งเธอทั้งไหสุ่ยก็เป็นคนดีทั้งคู่ ฉันต้องการให้พวกเธอมีความสุข ถ้าฉันไม่มีโอกาสที่จะอยู่ทำมันเอง อย่างน้อยก็ยังต้องการให้พวกเธอใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขได้ มู่จือ! ถ้าเกิดว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง ๆ สัญญากับฉันนะ! ว่าจะไม่คิดถึงฉันมากเกินไป ตกลงมั้ย?”
คำพูดของเล่ยมี่เจียยังดังก้องอยู่ในหูของผมตั้งแต่วันนั้น เขาไม่ได้มั่นใจเต็มที่เลยว่าผมจะได้รับการสืบทอดพลังของพระเจ้า สิ่งนี้มันยังคงกวนใจผมอยู่ตลอดเวลา และทำให้ไม่มั่นใจกับอนาคตข้างหน้าของตัวเองนัก