บทที่ 295 – นี่คือฐานที่มั่นอย่างนั้นหรือ?
มู่จือหยุดพูดลงเพื่อหันมองรอบ ๆ ไปยังกลุ่มคนที่ตอนนี้กำลังจ้องมองเธออยู่เป็นตาเดียวกัน ก่อนที่จะกล่าวออกมาต่อ “พวกเราเพียงแค่ต้องจำกัดจำนวนของคนที่จะมาเข้าร่วมกับพวกเราเท่านั้น ถ้าจำนวนคนไม่ได้มากเกินไป มันจะไม่มีปัญหาในการจัดตั้งหมู่บ้านเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้คนที่ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนาน ย่อมต้องมีความผูกพันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การทำอย่างนี้ จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถทำให้ทุกคนยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ แต่แน่นอน ถ้ามีใครต้องการที่จะจากไป หลังจากที่พวกเรากำจัดราชามารได้แล้ว พวกเราจะอนุญาตโดยไม่มีข้อแม้ และยังจะมอบเงินเป็นรางวัลให้พวกเขาอีกส่วนหนึ่งด้วย ส่วนคนที่ไม่ต้องการจากไป ก็จะจัดตั้งเป็นหมู่บ้านเทพเจ้าขึ้นมาอย่างที่ข้าได้บอกออกไป แต่สิ่งที่ข้าได้กล่าวออกมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ เป็นแค่แผนการคร่าว ๆ ที่คิดขึ้นหลังจากได้ยินเจตนาของจางกงเท่านั้น สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ พวกเรายังต้องปรึกษากันอีกมาก เหมือนว่าข้าจะพูดมากเกินไป จนกลายเป็นที่ขบขันของทุกคนแล้ว” เมื่อกล่าวประโยคถ่อมตัวตอนสุดท้ายจบ เธอก็ถอยกลับมาอยู่ข้าง ๆ ผมทันที
พี่ใหญ่จ้านหู่หัวเราะออกมา “น้องสะใภ้! เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวจนเกินไปนักหรอก ใครจะกล้าไปหัวเราะเยาะเจ้าได้กัน? แผนการที่เจ้ากล่าวออกมานั่นค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ข้าคนหนึ่งล่ะที่เห็นด้วยกับการทำแบบนี้ รอให้พวกเราพบกับพวกผู้อาวุโสแล้ว ค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง”
ซิวซือก็ยิ้มออกมา “องค์หญิงมู่จือสมแล้วที่เป็นเจ้าหญิงของเผ่าปีศาจ สามารถประเมินและชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ และผลกระทบที่จะตามมาได้เป็นอย่างดี แผนการแบบนี้นับว่าไม่เลวจริง ๆ ข้าก็เป็นอีกคนที่เห็นด้วย”
ผมแอบนึกยินดีอยู่ในใจ ตอนนี้มู่จือสามารถแสดงความสามารถออกมาให้ทุกคนได้เห็นบางแล้ว มันจะมีประโยชน์อย่างมากในการที่จะลดช่องว่างที่มีกับทุกคน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ติดต่อพูดคุยกับเธอมากขึ้น และความคิดอ่านของเธอนั้นดูจะครอบคลุมด้านต่าง ๆ อย่างครบถ้วน มันดีกว่าความคิดเริ่มต้นของผมไปไกลมากเลยทีเดียว “เอาล่ะ! ในเมื่อทุกคนไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่น ก็ทำตามแผนนี้เลยก็แล้วกัน”
...............
หลังจากที่พวกเราเดินทางต่อมาได้ไม่นาน ก็มีกลุ่มของชายฉกรรจ์สิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า พวกเขาพากันโค้งคำนับให้พวกเราอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอทักทายท่านทูตของเทพเจ้า”
ผมยิ้มให้พวกเขา “พวกเราต่างก็เป็นพี่น้อยกัน พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธีการอย่างนี้หรอก ตอนนี้ที่ฐานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
พวกเขาทั้งสิบกว่าคนยืดตัวขึ้นจากท่าโค้งคำนับ และมีชายคนหนึ่งเป็นตัวแทนตอบออกมา “ในฐานตอนนี้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก หน่วยลาดตระเวนสังเกตเห็นพวกท่านตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในเขตเทือกเขาแล้ว ตอนนี้กำลังกลับไปแจ้งให้เหล่าผู้อาวุโสนำคนออกมาต้อนรับพวกท่านด้วยตัวเอง เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ป้อมปราการเต๋อหลุน การแสดงพลังของท่านทูต ได้แพร่กระจายจนมาถึงที่ฐานนานแล้ว ตอนนี้พี่น้องทุกคนต่างชื่นชมกับความสำเร็จของพวกท่านเป็นอย่างมาก”
ซิวซือกล่าวออกมา “นี่มันไม่เหมาะสมเลย จะปล่อยให้ผู้อาวุโสออกมาต้อนรับพวกเราได้อย่างไรกัน? จางกง! พวกเราเร่งความเร็วกันขึ้นอีกหน่อยเถอะ”
ผมพยักหน้า ก่อนที่จะหันไปออกคำสั่งให้ทุกคนเดินทางให้เร็วขึ้นอีก และในระหว่างทางนั้น ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามกับซิวซือ “พี่ใหญ่ซิวซือ ไม่ใช่ว่านายเคยพูดถึงเรื่องประหลาดใจอะไรสักอย่างหนึ่งเหรอ? ที่ว่าฉันจะประหลาดใจมากตอนที่ได้เห็นมัน ตอนนี้จะบอกได้หรือยังว่ามันคืออะไรกันแน่?”
เขาหัวเราะออกมา “ยังบอกไม่ได้หรอก เอาไว้ให้ถึงที่นั่นก่อน แล้วนายก็จะรู้เองนั่นแหละ”
“ทำไมต้องทำให้มันลึกลับด้วยนะ! ฉันก็อยากรู้ว่ามันคืออะไรตั้งแต่ตอนนี้เลยเหมือนกัน” เสียงของมู่จือดังออกมาจากด้านข้างของผม
ผมยกคทาเวทย์ซู่เกอลาในมือเพื่อส่งสัญญาณให้เสี่ยวจินที่บินอยู่ไกล ๆ ก่อนจะกล่าวออกมายิ้ม ๆ “ช่างมันเถอะ ยังไงพวกเราก็จะไปถึงที่นั่นเร็ว ๆ นี้อยู่แล้ว”
ตอนที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ในตอนนี้ ก็ใกล้ที่จะถึงบริเวณที่ตั้งฐานมากแล้ว เหลือเพียงเนินเขาข้างหน้าอีกลูกเดียวเท่านั้น ถ้าข้ามมันไปได้ ก็จะได้พบกับฐานที่ผมจากมันไปตั้งแต่ตอนที่เพิ่งสร้างมันขึ้นมาใหม่ ๆ เท่านั้น ตอนนี้บนเนินเขานั่น มีกองกำลังหน่วยหนึ่งประมาณ 300 คนปรากฏตัวขึ้น ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุด เป็นผู้อาวุโสทั้งห้าจากหมู่บ้านของเทพเจ้านั่นเอง เสียงตะโกนต้องรับอันกึกก้องดังออกมาจากกองกำลังนั้นอย่างพร้อมเพรียง “พวกเราขอต้อนรับท่านทูตของเทพเจ้า และเหล่าพี่น้องกลับสู่ฐานที่มั่น”
พวกเราเคลื่อนตัวขึ้นไปบนเนินเขานั้นอย่างรวดเร็ว เป็นเวลานานไม่น้อยแล้วที่ผมไม่ได้เจอหน้ากับผู้อาวุโสพวกนี้เลย หน้าตาของพวกเขามีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนักปรากฏอยู่บ้าง แต่ยังคงดูแข็งแรงสมบูรณ์ดี และใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อมองมาที่พวกเรา
“ผู้อาวุโส พวกเรากลับมาแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนกล่าวออกมา “จางกง! เจ้าทำได้อย่างสมบูรณ์แบบมากในคราวนี้ อา! ใบหน้าของเจ้ามัน...”
ผมยิ้มให้เขา “ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปแล้ว ปล่อยมันไปเถิด! แต่ดูเหมือนว่าพวกท่านจะรู้ถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อยเลยนี่นา”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวออกมายิ้ม ๆ “แน่นอนอยู่แล้ว การรวบรวมข้อมูลถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา ตอนนี้พวกเราตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะเลย มา! พวกเรากลับไปที่ฐานของพวกเรากันเถอะ”
ตอนที่กองพันผู้พิทักษ์ทั้ง 500 คนได้เจอกับกลุ่มคนที่มารอรับ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาทันที พวกเราทุกคนเคลื่อนตัวข้ามเนินเขาไปอย่างมีความสุข เฝ้ารอที่จะได้เห็นฐานที่มั่นเสียที
และเป็นไปอย่างที่ซิวซือบอกจริง ๆ ผมต้องยืนนิ่งอยู่ด้วยความตกใจ เมื่อมองไปที่ฐานที่มั่นเป็นครั้งแรก เพราะมันช่างแตกต่างไปจากหมู่บ้านง่าย ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จตอนที่ผมจากไปเป็นอย่างมาก มันกลายเป็นเมืองขนาดเล็กไปแล้ว มีภูเขาที่ล้อมรอบอยู่เป็นกำแพงเมืองตามธรรมชาติ ภายในตัวเมืองแบ่งออกเป็นหลายเขตทีเดียว ทางด้านทิศตะวันออกมีบ้านที่สร้างขึ้นมาจากหินตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก มีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง พื้นที่ว่างทางด้านทิศใต้นั่นมีนักรบจำนวนหลายร้อยคนกำลังฝึกฝนกันอยู่อย่างเข้มแข็ง และทางด้านทิศเหนือที่เรากำลังเดินทางไปอยู่นี้ มีคนจำนวนมากกว่า 1,000 คน กำลังตั้งแถวรอรับพวกเราอยู่อย่างเป็นระเบียบ
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวอธิบายออกมา “บ้านที่สร้างจากหินจะแข็งแรงและอยู่ได้นานกว่า พวกเราจึงเปลี่ยนจากการใช้ไม้มาเป็นหินแทน ตอนที่เริ่มขยายตัวออกมาสร้างที่นี่ แล้วยังมีการสร้างหอคอยสังเกตการณ์เอาไว้ในภูเขารอบ ๆ นี้อีกหลายจุดด้วย ในทุกวันจะมีหน่วยลาดตระเวนอยู่ 300 นายสับเปลี่ยนกันทำหน้าที่ คนเกือบทั้งหมดที่นี่ถ้าไม่ฝึกฝน ก็จะต้องไปทำไร่ไถนา สลับกันไปตามตารางที่วางเอาไว้ ตอนนี้การจัดการระบบพวกนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว”
ผมกล่าวออกมาอย่างยินดี “ผู้อาวุโส นี่ช่างเป็นการลำบากพวกท่านจริง ๆ ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ที่นี่จะพัฒนาไปได้เร็วถึงเพียงนี้ พวกท่านต้องทำงานหนักมากจริง ๆ ข้าได้ยินมาจากพี่ใหญ่ซิวซือว่าพวกเรามีกัน 3,000 แล้วตอนที่เขาจากไป ตอนนี้พวกเราคนทั้งหมดอยู่เท่าไรแล้ว?
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มออกมา “ก็ยังคงเป็น 3,000 คนเหมือนเดิม แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 คนก็ไม่มีปัญหา จากขนาดของฐานใหม่ที่เราสร้างขึ้น สามารถรองรับคนจำนวนมากได้อย่างสบาย อย่างไรก็ดี พวกเราคิดกันแล้วว่า เรื่องเสบียงอาหารอาจจะเป็นปัญหาได้ ถ้าเรารับคนเข้ามาเพิ่มอีก ดังนั้นจึงได้คงจำนวนของกองกำลังไว้ที่ 3,000 นายเท่านั้น แล้วฝึกฝนพวกเขาอย่างหนัก ตอนที่ราชามารปรากฏตัวออกมา พวกเขาน่าจะเป็นกองกำลังหลักในการต่อสู้ได้อย่างแน่นอน”
ซิวซือกับผมหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ก่อนจะกล่าวออกไป “ผู้อาวุโสกับพวกเรานั้นคิดเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ ฮ่าฮ่า! เอาล่ะ เข้าไปข้างในกันดีกว่า พี่ใหญ่ซิวซือบอกว่ามีอะไรให้ข้าตกใจเตรียมเอาไว้ กำลังสงสัยอยู่เลยว่ามันคืออะไรกันแน่?”
สายตาที่เหล่าผู้อาวุโสมองไปที่ซิวซือนั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน นั่นทำให้ผมเริ่มคิดแล้วว่า ผมน่าจะถูกวางแผนอะไรบางอย่างเข้าให้แล้ว
พวกเราเดินเข้ามาในเมืองพร้อมกับกองกำลังเกือบ 2,000 คนที่มาต้อนรับ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นระเบียบไปเสียทั้งหมด ผู้อาวุโสทั้ง 5 คนช่างทุ่มเทให้กลับฐานที่มั่นนี้อย่างมากจริง ๆ
คืนนั้นพวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นในลานกว้างแห่งหนึ่งภายในตัวเมืองนั่นเอง ทุกคนที่อยู่ในฐานยกเว้นคนที่อยู่ในหน้าที่ลาดตระเวนมาเข้าร่วมในงานฉลองนี้ งานดำเนินไปอย่างมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อผมอธิบายแผนการของมู่จือให้พวกผู้อาวุโสฟัง พวกเขาก็เห็นด้วยในทันที
ตอนที่งานเลี้ยงใกล้จะเลิกราแล้วนั่นเอง ซิวซือเผยรอยยิ้มแปลกออกมาให้ผม ก่อนจะยืนขึ้นกล่าวเสียงดัง “จางกง! ฉันจะทำให้นายตกใจแล้วนะ”