นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 5 - ความทะเยอทะยานของมู่เฉิน
ย้อนกลับไปที่ห้องทดลองใต้ดินนั้น ภายในห้องขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น พร้อมกับกลุ่มคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของเขา
ที่นั่งของคนกลุ่มนั้นเรียงรายเป็นรูปครึ่งวงกลมอย่างสมบูรณ์ ต่างก็สามารถเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางเหมือนกันทุกคน
พวกเขามีกันทั้งหมดอยู่ 13 คนด้วยกัน
ในกลุ่มของผู้คนที่หลากหลายทั้งทางเพศ และอายุที่มีตั้งแต่ 30 กลาง ๆ จนถึง 50 ปลาย ๆ กำลังเปิดอ่านรายงานที่อยู่ในมือกันตลอดเวลา
และชายที่นั่งเด่นอยู่บนเก้าอี้ตรงกลาง ก็คือมู่เฉินผู้นั้นนั่นเอง คนเดียวกันกับที่เพิ่งกล่าวแนะนำนักเรียนใหม่เมื่อไม่นานมานี้
ตอนนี้เขานั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบ ขาทั้งสองข้างไขว้กันอยู่อย่างมีอำนาจ เคาะนิ้วเป็นจังหวะลงบนโต๊ะเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง
“....เกือบจะไม่เพียงพอ และจากการประเมินของผม จำนวนของแรงงานสามารถใช้ได้ในปฏิบัติการครั้งต่อไป น่าจะไม่เพียงพอที่จะทำให้การปฏิบัติการประสบความสำเร็จได้ โดยส่วนตัวแล้ว ผมขอเสนอให้พวกเรายกเรื่องนี้ขึ้นไปปรึกษากับทางสถาบันหลัก”
เหมือนว่ามู่เฉินจะไม่ได้ตั้งใจฟังรายงานเลยแม้แต่น้อย ความคิดของเขานั้นอยู่ที่อื่นอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามารายงานในครั้งนี้ กล่าวเสริมขึ้นมา
“ใช่แล้ว ผมก็คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดี พวกเราควรจะเสนอให้มีการเพิ่มระดับความยากในการผ่านการทดสอบของนักเรียนใหม่อีก 100 เปอร์เซ็นต์ การที่มีจำนวนนักเรียนที่รอดชีวิตมาจากปฏิบัติการเพิ่มขึ้น จนเกือบจะเป็นสองเท่าของจำนวน..” เธอไม่สามารถกล่าวจนจบได้ เพราะถูกขัดขวางเอาไว้โดยใครบางคน
“ผมไม่เห็นด้วย การที่มีนักเรียนรอดชีวิตมาจากปฏิบัติการปลูกถ่ายได้มากขึ้น ถือว่าเป็นทั้งโชคดีของพวกเรา และนักเรียนที่ผ่านการทดสอบแรกนี้มาได้ การเพิ่มความยากของการทดสอบเป็นสองเท่า มันโหดร้ายเกินไปสำหรับพวกเขา ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้!” ชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
ผู้หญิงคนที่เพิ่งถูกพูดขัดผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะคำรามออกมาในลำคอ หันหน้าไปมองชายคนที่ยืนขึ้นมาอย่างไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว ก่อนที่จะกล่าวออกไป “หึ! ไม่ยุติธรรมกับผีนะสิ มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาถามหาความยุติธรรมในตอนนี้ พวกเราทุกคนต่างรู้กันดี นักเรียนใหม่ชุดนี้มากกว่า 100 คนมาจากตระกูลของนาย คิดจริง ๆ หรือว่าเรื่องนี้เป็นความลับนะ พวกเรารู้กันหมดตั้งแต่ตอนแรกแล้ว”
ชายคนนั้นตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้โต้เถียงอะไรออกมา รอบ ๆ ตัวเขามีแต่คนที่พยักหน้ายืนยันคำพูดก่อนหน้านั้น และกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพช
และก่อนที่เขาจะสามารถแก้ตัวอะไรได้ ก็มีเสียงดังขึ้นมาขัดจังหวะอีกครั้ง
“เงียบได้แล้ว! ทุกคนเลย”
ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวอะไรออกมาอีก ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ ชายคนนั้นรีบนั่งลงทันที
หลังจากผ่านไปหลายวินาที เสียงของมู่เฉินก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ส่งบันทึกภาพของทุกคนที่รอดชีวิตมาจากกระบวนการปลูกถ่ายได้มาให้ฉัน รวมถึงรายละเอียดส่วนตัวของแต่ละคน ฉันหมายถึงทุกคนที่รอดชีวิตมาได้เลย ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นใคร หรือมีสถานะอะไร เข้าใจชัดเจนหรือไม่?
ถึงแม้ว่าคำสั่งของมู่เฉินจะฟังดูประหลาดไม่น้อย แต่เสียงของพวกเขาก็ยังตอบออกมาพร้อมกัน
“เข้าใจครับ/ค่ะ”
มู่เฉินกล่าวออกมาต่อ
“อีกอย่าง เรื่องของการขาดแรงงานนี่ ปล่อยให้พวกผู้บริหารเป็นคนกังวลแทน ไม่ต้องรบกวนพวกคุณหรอก ...เลิกประชุมได้”
หลังจากที่คนสุดท้ายออกจากห้องไป ดวงตาของมู่เฉินก็มีประกายของความโลภปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ในที่สุดเขาก็สรุปความคิดของตัวเองได้ ‘ถ้าเด็กคนนั้นสามารถบอกชื่อเจ้าแห่งสัตว์ร้ายของฉันได้ ด้วยการเห็นเพียงเงาหยาบ ๆ เท่านั้น เขาก็น่าจะมีความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรม และลักษณะอย่างละเอียดของมันแน่ บางทีอาจจะรู้ไปถึงสัตว์ในตำนานตัวอื่นเสียด้วยซ้ำ’
ใบหน้าของเขายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เมื่อคิดได้ถึงตอนนี้
ถ้าเด็กคนนั้นมีความรู้เกี่ยวกับพวกมันจริง ๆ เขาอาจจะสามารถรีดมันออกมาจากเจ้าเด็กนั่น ครอบครองความรู้นั้นเอาไว้เอง นี่จะทำให้การเป็นสุดยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุด จะไม่เป็นเพียงแค่ความฝันอีกต่อไป
การจะก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุด จะไม่ใช่เป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ทำไมเขาจะไม่มีความสุขล่ะ? ในเมื่อเดวิดรู้จักกริฟฟิน เขาควรจะรู้เรื่องสัตว์ในตำนานตัวอื่นด้วย ถ้าเขาสามารถได้รับความรู้นี้มา เขาสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นทั้งพลังอำนาจและความร่ำรวยได้เลย
เขาต้องทำงานอยู่ในสถาบันเป็นเวลานาน ก่อนที่จะได้รับแผนที่ทางพันธุกรรมของจ้าวแห่งสัตว์ร้ายมาหนึ่งตัว ถ้าเขามีแผนที่ทางพันธุกรรมมากกว่านี้ คนจำนวนมากจะยอมทำงานให้กับเขาอย่างแน่นอน
ยิ่งสัตว์ร้ายตัวนั้นมีพลังมากเท่าไรตอนที่มันมีชีวิต คนที่สามารถปลูกถ่ายลำดับยีนที่สมบูรณ์เข้าไปได้ร่างกายได้ ก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น ถ้าสามารถผสานเข้ากับยีนที่ปลูกถ่ายเข้าไปได้สำเร็จ
สถานะของเขาในวงสังคมจะต้องสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้น บางทีเมื่อถึงวันหนึ่ง ตอนที่เขามีพลังมากพอ เขาอาจจะกลายเป็นศาสตราจารย์ใหญ่ของสถาบันแห่งนี้ หรือแม้แต่ควบคุมสมาคมพันธุกรรมได้เลย
สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ คือแผนการที่เหมาะสม!
…………….
ไนฮุนเบิกตาของเขาให้กว้างขึ้น เขาต้องการจะมองเห็นให้ชัดเจน ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้านี้พิเศษนัก เพราะตั้งแต่แรกที่เขาเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ คำสาปที่ถ่ายทอดกันมาในตระกูลของเขารุ่นสู่รุ่น ถึงกับตื่นตัวขึ้นมา
ตัวของไนฮุนสั่นขี้นมาเล็กน้อยด้วยความกลัว หรือบางทีอาจจะเป็นแค่ตื่นเต้นก็ได้ เพราะเขารู้ว่าเดวิดกำลังจะเผชิญกับอะไร
เดวิดเพิ่งผ่านกระบวนการปลูกถ่ายมา ร่างกายของเขาต้องยังอยู่ในสภาพขยายความรู้สึก ถึงแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ระดับ 3 ดาว มันก็ยังไม่พ้นเวลา 1 วันที่จะทำให้เขาขจัดความเจ็บปวดกล้ามเนื้อออกไปได้เลย ไม่มีทางที่เขาจะมีพรสวรรค์ระดับ 4 ดาว ถ้าฟังจากสิ่งที่มู่เฉินกล่าวออกมา ส่วนระดับ 5 ดาวนั้นยิ่งลืมไปได้เลย มันยังไม่เคยมีปรากฏขึ้น ตั้งแต่สถาบันนี้ได้จัดตั้งขึ้นมาเลย
เสียง ‘ติง’ ดังขึ้นไม่ดังนัก เมื่อศีรษะของเดวิดกระทบกับมุมทางด้านขวาของปลายเสาที่ขวางทางอยู่
ไนฮุนคิดว่าตัวเองจะได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หรือเสียงตะโกนออกมาจากเด็กหนุ่มข้างหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นก็มีเพียงเดวิดที่ทำคอเอียงเล็กน้อย จากการเดินเอาหัวชนเสาในครั้งนี้
เหมือนกับการเดินชนในครั้งนี้จะทำให้เขาหลุดจากอาการเหม่อลอยได้ เดวิดมองกลับหลังมาอย่างสงสัยในเสียงเรียกก่อนหน้านั้น และเมื่อหันกลับไปเห็นเสาที่ขวางทางอยู่ ก็รู้ถึงสาเหตุได้ทันที แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อไปอีก เพียงแค่เดินตามแรงดึงของป้ายประจำตัวบนข้อมือต่อไป
ดวงตาของไนฮุนยังคงเบิกกว้างอยู่ ปากของเขาอ้าค้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนนี้ในสมองของเขากลายเป็นว่างเปล่าไปหมดแล้ว เริ่มก้าวเท้าตามเดวิดไปที่หอพักอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเขาจะยังสามารถก้าวเท้าไปข้างหน้าได้อยู่ แต่ก็เหมือนคนที่ไม่มีวิญญาณอยู่แล้ว ในหัวของเขาฉายภาพที่เดวิดเดินเอาหัวชนเสานั้น แล้วทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
ผ่านเวลาไปสักพักหนึ่ง เขาถึงสามารถรวบรวมสติของตัวเองกลับมาได้
เขาค่อย ๆ วิเคราะห์ภาพที่เพิ่งเห็นนั้นใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปอะไรออกมา มันอาจจะเป็นเพราะเดวิดสามารถทนความเจ็บปวดได้มาก หรือเขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับ 4 ดาว หรือบางที เสานั้นอาจจะทำมาจากกระดาษ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเสียง ‘ติง’ นั้นดังออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน มันไม่ได้ทำมาจากกระดาษแน่นอน
แต่สิ่งที่ไนฮุนไม่รู้เลยก็คือ ตั้งแต่ตอนที่เดวิดออกมาจากแคปซูล เขาก็ไม่มีอาการไม่สบายตัวอีกแล้ว อันที่จริงแล้ว มันมีเพียงปวดเมื่อยเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งตัวของเดวิดเองก็ไม่ได้สงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนถึงเมื่อตอนที่ไนฮุนสะกิดเข้าที่เอวของเขานั่นแหละ มันไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นเลย
นั่นทำให้เดวิดเริ่มสงสัยในตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าเขาอาจจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับ 5 ดาว แต่เขาก็รีบโยนความคิดนี้ออกจากหัวในทันที ตอนนี้มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขามากนัก
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการต้องทำตัวให้กลมกลืนกับโลกใบนี้ให้เร็วที่สุด และไม่สะกิดความสงสัยจากคนอื่น ๆ แค่การที่ต้องรับมือกับไนฮุนคนเดียว ก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว