นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 4 - สถาบัน
มู่เฉินยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นเด็กสาวแสดงอาการดีใจออกมา
คะแนนเพียง 50 จีโนไม่ได้มากเลยสำหรับเขา การมอบมันออกไปไม่มีผลอะไรต่อเขาเลย แต่มันก็เป็นครึ่งหนึ่งของคะแนนที่สถาบันจะมอบให้กับนักเรียนใหม่เลยทีเดียว
ถ้าพรสวรรค์ของเธอนั้นไม่ดีพอ อาการปวดกล้ามเนื้อของเธอนั้นไม่หายไปภายใน 2 วัน คะแนนเหล่านั้นก็จะถูกส่งคืนกลับมาที่เขาเองเนื่องจากเขากำหนดเวลาไว้ให้เพียงแค่นั้น เธอจะไม่สามารถรับมันไปได้อีก เขาแค่ทำให้เธอมีความหวังเท่านั้น เธอจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าเธอไม่มีพรสวรรค์เพียงพอ
หลังจากนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เขาต้องบอกนักเรียนอีก เขาเริ่มกล่าวอีกครั้ง
“ช่วงสัปดาห์นี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดของพวกเธอ ไม่! ฉันขอถอนคำพูด มันจะช่วงที่อันตรายที่สุดของพวกเธอบางคนเหมือนกับที่ฉันเคยพูดเอาไว้ก่อนที่ฉันจะถูกขัดจังหวะ ดังนั้นจงระวังตัวให้มากจนกว่าจะผ่านสัปดาห์นี้ไป เพราะการบาดเจ็บจากการถูกกระดาษกรีดธรรมดา อาจจะทำให้เจ็บปวดได้เท่ากับการแทงด้วยมีด”
เขามองไปที่เหล่านักเรียน ดูว่าจะมีใครขัดจังหวะเขาอีกหรือไม่ แต่คราวนี้พวกเขาค่อนข้างเงียบทีเดียว
“ฉันขอให้คำแนะนำพวกเธอว่า จงอยู่แต่ในตัวอาคารจนกว่าอาการปวดของเธอจะหายไป ก้าวเท้าด้วยความระมัดระวัง อย่าพยายามยั่วยุใครในช่วงนี้เพราะมันอาจจะเป็นผลร้ายต่อตัวเองมากกว่าดี ข้อดีอย่างเดียวในช่วงนี้มีอย่างเดียวก็คือ ระบบประสาทของเธอมันก็ขยายความรู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน...”
มู่เฉินตาเป็นประกาย รอยยิ้มแปลก ๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา เพราะเมื่อเขาคิดอะไรบางอย่างอยู่ ถ้ามีความพอใจเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยเท่า แค่การถึงจุดสุดยอดครั้งเดียวก็ทำให้คนสลบได้แล้ว รอยยิ้มของเขาทำให้ฝูงชนตะลึงเลยทีเดียว
“หึ! หึ!”
เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกมาจากปากของเขา
“วันนี้ก็มีเท่านี้! พวกเธอจะออกจากที่นี่ไป โดยเดินตามแรงดึงของป้ายประจำตัวที่อยู่บนข้อมือซ้ายของแต่ละคน มันจะนำเธอไปถึงห้องพักของตัวเอง...ตอนนี้ พวกเธอไปได้แล้ว”
เสียงพึมพำดังขึ้นอย่างอื้ออึงในหมู่วัยรุ่นเหล่านั้น พวกเขาต่างกำลังสงสัยเรื่องความพอใจว่ามันหมายความถึงอะไรกันแน่ แต่พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงกันดังมากเกินไปนัก
ส่วนเดวิดยังยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม ยังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด สิ่งที่มู่เฉินกล่าวออกมาเกี่ยวกับการปลูกถ่ายพันธุกรรมแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ระดับพรสวรรค์ อาการปวดกล้ามเนื้อจากเซลล์พันธุกรรม อะไรพวกนั้น มันทำให้เขาตื่นตระหนก มันเป็นความกลัวที่เกิดจากการที่เขาไม่รู้อะไรเลย แต่หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้น
‘ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้ว...น่าสนใจมาก’ เขาคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ แล้วยิ้มให้กับตัวเอง เมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่จะได้รับจากโลกใบนี้ แต่เมื่อคิดต่อไปถึงความอันตราย และโอกาสในการเสียชีวิตที่สูงลิ่ว รอยยิ้มของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป มันกลายเป็นรอยยิ้มที่มีความกลัว ตื่นตระหนก และความตื่นเต้นรวมกันอยู่ในนั้น
เพราะว่าเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ทำเขาไม่ได้รับรู้ว่าตอนนี้มีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างหน้าของตัวเอง พยายามจะเรียกเขาอยู่
“ฉันพยายามเรียกเจ้าหมอนี่อยู่นานแล้วนะ แต่เหมือนว่าเขาจะไม่สนใจฉันเลยจริง ๆ เจ้าหมอนี่น่าจะเป็นคนบ้าแน่ ๆ น่าสงสารจริง ๆ” เด็กหนุ่มที่ชื่อไนฮุน กำลังพึมพำอยู่กับตัวเอง
ก่อนที่เดวิดจะตกลงในภวังค์ที่ลึกไปกว่านั้น เขาได้ยินเสียงพึมพำที่เข้ามารบกวนเขา
“พวกเราต้องรีบออกไปจากในนี้ หรือไม่พวกเราจะถูกขังอยู่ในนี้ตามลำพัง” ไนฮุนพูด พร้อมกับการดีดนิ้วตรงหน้าของเดวิดเสียงดัง
เดวิดจ้องหน้าเขาอย่างงุนงง แล้วเขาก็คิดได้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ตอนที่เขามองไปรอบ ๆ ตัว
“ขอบใจ” พูดแค่นั้น แล้วเดวิดก็หันหลังแล้วเดินตรงไปที่ทางออก
ที่ด้านหลังของเขา ไนฮุนกำลังเดินตามมาด้วยสีหน้าที่ยอมรับไม่ได้
“สัญชาตญาณของฉันอาจจะผิดพลาด แต่ถ้าสิ่งที่ท่านพ่อกับท่านปู่บอกเอาไว้ไม่ผิด ฉันคงไม่มีทางเลือกอื่น”
สิ่งที่เขากำลังพึมพำออกมานั้นแปลกไปสักหน่อย แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือการที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากำลังกระตุกอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับว่าเขากำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่ หลังจากเดินสงบสติอารมณ์ตามมาได้สักพัก เขาก็พบว่าตัวเองออกมาจากห้องทดลองแล้ว และเดวิดก็เดินห่างออกจากเขาไปไกลแล้ว
“เฮ้! รอฉันด้วย!”
เขารีบตามเดวิดออกจากตัวอาคาร โดยการเดินขึ้นบันไดสูงออกมา
....
“นี่! แล้วนายชื่ออะไร?”
ไนฮุนถาม
“เดวิด”
ได้ยินเสียงเดวิดตอบกลับ ไนฮุนรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันที
“โอ้ เดวิด ชื่อดี ชื่อดี นายรู้มั้ย พวกพ่อแม่ฉันอยากตั้งชื่อฉันว่านีล แต่คุณย่าของฉันนั้นไม่เห็นด้วยกับชื่อนั้น เหมือนกับว่าคุณย่าคิดว่าคุณปู่เริ่มแก่ตัวลงมากแล้ว แต่ยังชอบคิดว่าตัวเองยังหนุ่ม น่าจะเริ่มมีอาการความจำเสื่อมแล้ว มันมีครั้งหนึ่งที่ท่านนั้น...”
เดวิดเลิกสนใจเขาทันที
แล้วพวกเขาก็ออกมาจากตัวอาคารของห้องทดลองในที่สุด
เดวิดตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้เห็น ตึกขนาดใหญ่หลากหลายสไตล์ หลากหลายรูปแบบ ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเขา
มองไปรอบตัวอย่างสังเกต เขาพบว่าบนถนนเต็มไปด้วยผู้คนกำลังเดินไปมา คนเหล่านั้นเข้าออกจากอาคารต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง แล้วนั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาเห็นบนพื้นดิน ถ้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า มันจะกลายเป็นอีกแบบไปในทันที
บนท้องฟ้า มียานพาหนะรูปร่างแปลก ๆ มากมาย ทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ลอยอยู่เต็มไปหมด มันเคลื่อนที่สวนกันไปมาด้วยความเร็วสูง เหมือนกับว่าพวกมันเป็นเจ้าของน่านฟ้านี้
มีเพียงอย่างเดียวที่ยานพาหนะพวกนั้นมีเหมือนกัน สิ่งที่ดูเหมือนกับเครื่องยนต์เทอร์โบที่ยื่นออกมาจากตัวยาน บางลำมีเครื่องแบบนั้นติดอยู่ถึงสี่จุด บางลำก็มีเพียงสองจุด แต่นั้นก็เป็นเครื่องยนต์ที่เห็นได้จากภายนอกเท่านั้น ดูเหมือนมันจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ยานเหล่านั้นเคลื่อนตัวทะยานอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนกับนกอินทรี มีการเคลื่อนไหวบางองศาที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ แต่พวกมันทำได้สบาย
มีภาพโฮโลแกรมขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนยอดของตึกทุกหลัง นี่ก็สร้างความตกใจให้เดวิดไม่น้อย
‘ฮุ!..ฮุ!..นั่นมันโฮโลแกรม? แล้วจะมีอะไรอีก ปืนเลเซอร์? ดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะน่าสนใจกว่าที่คิดเสียแล้ว’ เขาคิดขึ้นในใจ
ตั้งแต่ตอนที่เขารู้ตัวว่าเขาได้กลับมาเกิดใหม่ช่วงแรก มันสร้างความสับสนให้เขาอย่างมากมาย ทำให้เขารู้สึกบางอย่างเหมือนเป็นโรคคิดถึงบ้าน อะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้เขาเริ่มอยากรู้แล้วว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ความรู้สึกสับสนเริ่มถูกลบออกไป เหมือนหมอกที่ค่อย ๆ จางไปจากความคิดของตัวเขา
ด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น เดวิดเริ่มเดินผ่านเข้าไปในฝูงชนพร้อมกับไนฮุน อาศัยแรงดึงจากป้ายประจำตัวเป็นสิ่งกำหนดทิศทางว่าจะต้องไปทางไหน
สิ่งที่เรียกว่าป้ายประจำตัว เป็นเหมือนแค่จุดที่ปรากฏอยู่บนข้อมือซ้ายของเขา มันเป็นชิปพิเศษขนาดเล็กที่ถูกสถาบันฝังเข้าไประหว่างกระบวนการปลูกถ่ายพันธุกรรม แต่นอนว่ามันถูกบอกว่าเพื่อรักษาความปลอดภัยเป็นหลัก
ตอนนี้มันกลายเป็นทำหน้าที่บัตรประจำตัวของนักเรียนด้วย มันสามารถใช้ได้ทั้งในสถาบัน และโลกภายนอก ยิ่งไปกว่านั้น มันสามารถให้ข้อมูล เป็นผู้นำทาง มีแผนที่แผนผังต่าง ๆ มากมาย ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือ และอีกหลายหน้าที่ มันเป็นได้หลายฟังก์ชันจริง ๆ
เดวิดเหลือบตาไปมองไนฮุนที่ยังพูดอะไรอยู่ไม่หยุด ก่อนจะเลิกคิ้วของเขา ‘เจ้าหมอนี้พูดไม่เหนื่อยเลยหรือยังไง’ แล้วพูดขัดขึ้น
“นายรู้อะไรเกี่ยวกับสถาบันนี้บ้าง?”
เขาถามออกมาด้วยเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้คิดว่ามันผิดปกติอะไรที่จะถามเรื่องเหล่านี้ ตอนนี้เข้าต้องทำความคุ้นเคยกับโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุดด้วย
“...บางครั้งพวกเขาก็ต้องกล่อมฉันให้นอนด้วยการร้องเพลงให้ฟัง เพราะ....หือม! นายว่าอะไรนะ?”
ดวงตาของไนฮุนเบิกกว้าง แต่ยังกระพริบตาถี่
“ฉันบอกนายว่า ช่วยเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับสถาบันหน่อย แล้วก็เรื่องที่มู่เฉินพูดถึงตลอดเวลานั่นด้วย”
เขาเริ่มลังเลตอนที่เห็นไนฮุนแสดงท่าทางแปลก ๆ แต่ก็ยังถามย้ำออกไปอีกครั้ง
“อะ..อะไรนะ?”
คราวนี้ปากของไนฮุนอ้าค้างไว้ด้วย
นี่จะโทษเขาก็ไม่ได้ ใครบ้างที่จะไม่สนใจ ไม่เคยรู้เรื่องสถาบัน?
ก่อนที่จะเข้ารับการปลูกถ่ายทางพันธุกรรม ทุกคนต้องได้รับการเตือนเรื่องระดับของอันตรายที่จะได้รับตลอดกระบวนการ และสิ่งอื่น ๆ ที่ต้องระวัง และต้องจดจำเอาไว้
อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าร่วมกระบวนการปลูกถ่ายทางพันธุกรรมโดยรัฐบาลเสียทั้งหมด
แต่มันมีสองทางให้พวกเขาเลือก
ทางเลือกแรกคือผ่านกระบวนการปลูกถ่ายมาได้ แล้วเข้าร่วมเป็นนักเรียนของสถาบัน เรียนรู้และฝึกฝน เพิ่มทั้งความรู้และพละกำลังให้แก่ตัวเอง
ทางเลือกที่สองซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายก็คือ ยอมเป็นแรงงานให้กับสถาบันจนกว่าจะเกษียณอายุ ซึ่งทางสถาบันนั้นมีความต้องการแรงงานเพื่อจัดการกับงานยุ่งยากจำนวนมากเช่นกัน
เหล่าเด็กหนุ่มสาวที่มีความทะเยอทะยาน และความคาดหวังในการเป็นผู้มีพลังอำนาจ คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาจะเลือกทางเลือกแรกกันเกือบทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าไนฮุนจ้องมองมาอย่างสงสัยมาก เดวิดเริ่มคิดหาข้อแก้ตัวทันที
“นายฟังนะ ระหว่างกระบวนการ สมองของฉันน่าจะได้รับผลกระทบบางอย่าง ตอนนี้ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไร”
“โอ้! ใช่! ความจำเสื่อมชั่วคราว ฉันเคยได้ยินมาอยู่บ้าง มันเป็นผลข้างเคียงที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง” ไนฮุนกล่าวออกมา หลังจากใช้เวลานึกอยู่บ้าง
“อืม! สถาบันนี้ก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบาล มีสมาคมพันธุกรรมเป็นผู้ให้คำปรึกษา มันสร้างขึ้นมาเพื่ออบรมนักเรียนอย่างพวกเรา ทำให้พวกเรากลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งทรงพลังขึ้น”
เดวิดตั้งใจฟังสิ่งที่ไนฮุนกำลังพูด
“การปลูกถ่ายทางพันธุกรรมที่พวกเราเพิ่งผ่านมา เป็นเพียงแค่ขั้นแรกที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น มันแค่เตรียมร่างกายของพวกเราให้พร้อมสำหรับขั้นต่อไป ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการดัดแปลงและทำให้พันธุกรรมเสถียรขึ้น และคราวนี้จะเป็นการนำยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าสู่ร่างกายของเราจริง ๆ แล้ว ฟังดูดีใช่มั้ย?”
ไนฮุนถามด้วยเสียงหัวเราะ
เดวิดพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่กำลังเดินหาห้องพักของตัวเองต่อไป แต่การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันน่าจะมีความสำคัญกับเขาในตอนนี้มากกว่า ดังนั้นเขาจึงเริ่มเดินช้าลง
“แล้วก่อนที่เขาจะอนุญาตให้พวกเราเข้าสู่ขั้นที่สอง หลังจากที่พวกเรากำจัดความเจ็บปวดออกไปได้หมดแล้ว เราต้องฝึกซ้อมเตรียมร่างกายของเราให้พร้อมสำหรับการรองรับยีน ถ้าพวกเราพร้อมแล้ว ทางสถาบันจะให้พวกเราเลือกเซรั่มสำหรับดัดแปลงพันธุกรรมได้เอง พวกมันจะให้ความสามารถที่แตกต่างกันให้พวกเรา แต่ก็นะ ฉันไม่ได้รู้ข้อมูลเรื่องนี้มากเท่าไร แต่มันก็ฟังดูดีอยู่เหมือนกัน อ้อ! ระยะเวลาในการฝึกฝนจะถูกกำหนดเอาไว้แค่ปีเดียว หลังจากนั้นพวกเราจะถูกส่งไปป้องกันเขตแดน”
น้ำเสียงของไนฮุนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เหมือนกับว่าเขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะเลือกเซรั่มดัดแปลงพันธุกรรมแบบไหน
ส่วนเดวิดกำลังเก็บข้อมูลที่ออกจากปากของไนฮุนอย่างรวดเร็ว ค่อย ๆ วิเคราะห์คำพูดของเขาออกมา พยายามทำให้เขาเข้าใจมันได้ง่ายที่สุด ความคิดของเขาหมุนไปอย่างเร็วจี๋ คนที่มองมาที่เขา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่อย่างหนัก
“อืม! เดวิด?” ไนฮุนเรียกเขาเบา ๆ
แต่ตอนนี้เดวิดไม่ได้สนใจเขาแล้ว เขาพยายามวิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่ในหัวอย่างหนัก
“เดวิด!” ไนฮุนส่งเสียงเรียกออกมาอย่างตระหนก สายตาของเขาสลับไปมาระหว่างเสาขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากตัวอาคาร และเดวิดที่กำลังเดินเข้าไปใส่เสาต้นนั้นอยู่ ที่สำคัญไปกว่านั้น หัวของเดวิดจะต้องชนเข้ากับเสาอย่างแน่นอน ถ้าเขายังเดินตรงต่อไป
สายตาของไนฮุนมองอยู่ที่เดวิด ซึ่งกำลังเหม่อลอยอยู่อย่างเดียวแล้ว เขาตะโกนเรียกเสียงดังขึ้นอีก
“เฮ้!! เดวิด!!” คราวนี้เขาตะโกนเต็มเสียงเลย
ประสาทสัมผัสถูกขยายขึ้นมากกว่า 50 เท่าในตอนนี้ อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหัวของนักเรียนคนหนึ่งกระแทกเข้ากับของแข็งอย่างจัง
สายตาของไนฮุนมีประกายแห่งความคาดหวัง มันช่างแตกต่างจากท่าทางเป็นกังวลที่เขาแสดงออกมา