นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 3 - จ้าวแห่งสัตว์ร้าย
มู่เฉินกวาดสายตามองไปที่เด็กหนุ่มสาวข้างหน้าเขา ถึงแม้ว่าจะมีกันอยู่ประมาณ 1,000 คน แต่จำนวนนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย
“มาพูดกันถึงเรื่องระดับของพรสวรรค์กันต่อ แต่ในเมื่อครั้งนี้ฉันมาเพื่อแนะนำพวกเธอเท่านั้น ฉันจะไม่กล่าวลงลึกถึงรายละเอียดมากนัก
สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับ 5 ดาว จะเป็นสมาชิกระดับสุดยอดความลับของสถาบัน และดูเหมือนว่ามีโอกาสน้อยมากที่พวกเธอจะสำเร็จถึงระดับนั้น ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงมันตอนนี้
ส่วนผู้มีพรสวรรค์ระดับ 4 ดาว และระดับ 3 ดาว จะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากสถาบัน ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ในหนังสือคู่มือที่ส่งเข้าไปในป้ายประจำตัวของแต่ละคนแล้ว นี่คือทั้งหมดที่ฉันจะพูดเรื่องพรสวรรค์ในตอนนี้
พวกเธอควรจะศึกษามันด้วยตัวเองด้วยการอ่านในหนังสือคู่มือนั่น”
บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้น ด้วยความพอใจที่สามารถคิดวิธีเลี่ยงที่จะกล่าวเรื่องน่าเบื่อนั่นให้กับนักเรียนฟัง แล้วมู่เฉินก็กล่าวต่ออีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงของเขาเข้มขึ้นจากก่อนหน้านี้
“อย่าแม้แต่จะคิดที่จะปลอมผลการทดสอบพรสวรรค์ และอย่าได้คิดที่จะโกหกเรื่องความเจ็บปวดของตัวเองเด็ดขาด ซึ่งตอนนี้ฉันแน่ใจว่าทุกคนกำลังคิดที่จะทำแบบนั้นอยู่
ความเจ็บปวดที่พวกเธอกำลังรับรู้อยู่นี้ พวกเธอส่วนใหญ่คงจะเรียกมันว่าการปวดกล้ามเนื้อ
มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเรา ที่จะตรวจสอบว่าใครไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อแล้ว หรือจะบอกอีกอย่าง มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าใครยังมีอาการอยู่มากกว่า
เหตุผลนั้นง่ายมาก ด้วยสภาพของพวกเธอตอนนี้ ระบบประสาทของร่างกายจะขยายสัญญาณมากขึ้นประมาณ 50 เท่าหรือมากกว่านั้น ทุกความรู้สึกที่ร่างกายได้รับจะส่งไปที่ระบบประสาท และมันจะขยายสัญญาณนั้นมากขึ้นเป็น 100 เท่า แน่นอนว่าหลังจากนั้นสัญญาณจะถูกส่งไปที่สมองของพวกเธอโดยตรง...”
เสียงของมู่เฉินหยุดลง เมื่อเขาเห็นสายตาที่วางเปล่ามองมาจากเหล่าเด็กวัยรุ่นพวกนั้น
“พวกเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดออกไปหรือยังไง?”
มุมปากของเขาเริ่มกระตุกอย่างแรง เมื่อมองไปที่หัวที่ส่ายอยู่พร้อม ๆ กันข้างหน้า แล้วยังมีบางคนก้มหน้าหลบสายตาของเขาด้วย เขาได้แต่ถอนหายใจ
“ฉันเคยประทับใจที่พวกเธอรอดชีวิตมาจากการปลูกถ่ายได้ พวกเธอน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กันอยู่บ้าง แต่ลองมองหน้าโง่ ๆ ของพวกเธอในตอนนี้สิ มันช่างน่าผิดหวังจริง ๆ”
หลังจากส่ายหัวด้วยความผิดหวัง เขาก็กล่าวต่อ
“เอาล่ะ ฟังเอาไว้ให้ดี ยังไม่มีพวกเธอคนไหนปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์เลย ไม่มีแม้แต่คนเดียว และด้วยการหกล้มโง่ ๆ เพียงครั้งเดียว ก็อาจเป็นสาเหตุให้พวกเธอตายได้”
“อะไรนะ?”
เสียงอุทานของใครบางคนดังขึ้นมา เมื่อมู่เฉินกล่าวจบประโยคนั้น
แล้วในหมู่วัยรุ่นนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงแห่งความวุ่นวายทันที พวกเขาเพิ่งเดินออกจากสถานการณ์เลวร้ายถึงชีวิตครั้งหนึ่ง แล้วยังต้องมาเจอสถานการณ์อย่างนั้นอีกครั้งหรือ ไม่ว่าเป็นใคร ย่อมไม่สามารถสงบใจเอาไว้ได้แน่ ไม่มีใครทำตัวให้สงบได้เลยในตอนนี้
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกสอนให้ทำตัวอยู่ในกฎระเบียบ และให้ความเคารพอย่างมากเมื่ออยู่ในสถาบัน แต่ความคิดที่ว่าจะต้องตาย ทำให้พวกเขานั้นลนลานกันมาก
คำว่าตาย ยังไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของเดวิดก็บีบแน่น ตอนที่เขาได้ยินคำพูดนั้น
มู่เฉินขมวดคิ้วไม่พอใจ เพราะเขาไม่ชอบความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ เขาค่อย ๆ ยกมือซ้ายของเขาขึ้น
เสียงของกลุ่มวัยรุ่นนี้ค่อย ๆ เบาลง แต่ยังมีบางคนยังบ่นอยู่ไม่หยุด
เมื่อเห็นว่ายังมีบางคนที่ไม่สนใจสัญญาณมือของตัวเอง มู่เฉินที่เริ่มโกรธจ้องไปที่พวกเขา
แล้วแรงกดดันที่ไม่รู้สาเหตุก็เริ่มเผยออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน ทำให้อากาศที่อยู่ด้านหลังของเขาบิดเบี้ยวไป เสื้อผ้าของเขาเริ่มสะบัดอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีเสียงทุ้มดังขึ้น มันเหมือนกับเสียงของหัวใจเต้น
ตุ้ม! ตุ้ม!! ตุ้ม!!!
วู่! วู่!! วู่!!!
อากาศที่อยู่รอบตัวของเขาเริ่มหมุนวน ทำให้เสื้อผ้าของเขาสะบัดเร็วขึ้นกว่าเดิม สายลมนั้นรุนแรงมาก และรวมตัวกันเป็นเส้นสายจาง ๆ มันรวมตัวกันเป็นสัตว์ร้ายชนิดหนึ่ง ที่แม้ว่าจะยังเห็นไม่ชัดว่าเป็นตัวอะไร แต่จากเส้นสายราง ๆ นั่น หัวของมันเหมือนกับนกอินทรี จะงอยปากของมันเหมือนกับดาบ และมีลำตัวเหมือนกับสิงโต และยังพอมองเห็นปีกของมันราง ๆ ด้วย
สิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นการขู่ขวัญอย่างมาก สีหน้าของเขาแสยะอย่างน่ากลัว มันทำให้เขาดูเหมือนกับนักล่าที่มองลงมาที่เหยื่อของมัน
ทั้งวัยรุ่นที่เป็นต้นเหตุของปัญหา หรือแม้แต่คนที่อยู่ในความสงบ ก็มีอาการตัวแข็งทื่อไม่ต่างกันนัก ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงที่ดังอยู่นั้น
มีแต่เสียงสูดลมหายใจยาวดังขึ้น ทั้งจากความตื่นเต้นประหลาดใจ และจากความกลัวที่เกิดขึ้น สายตาที่มองขึ้นไปที่มู่เฉินตอนนี้เต็มไปด้วยความเกรงขาม แม้ว่าจะยังแฝงด้วยความกลัวอยู่บ้างก็ตาม
หรือว่านี่คือสาเหตุที่พวกเขาถูกสอนมาว่า ให้เคารพทุกคนที่อยู่ในสถาบันแห่งนี้
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ดวงตาของเดวิดก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ตอนแรกเขานึกว่าตาของเขาฝาดไป ตอนที่เขามองเห็นลายเส้นนั่น แต่เสียงที่ดังอยู่รอบข้างด้วยความตกใจ มันบอกเขาว่านี่เป็นเรื่องจริง
“ให้ตายสิ นี่มันยอดฝีมือ...เอ๋! นั่นมันไม่ใช่กริฟฟินหรือยังไง? ฉันนึกว่ามันมีแต่ในตำนาน?”
เดวิดพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และประหลาดใจเป็นอย่างมาก เรื่องที่เกิดขึ้นมันมากเกินจะรับไว้แล้ว
เขาเพิ่งจะมาถึงที่โลกใหม่นี้ แล้วบางอย่างที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นในชีวิตจริงก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้า และนี่เป็นแค่เพียงใครคนหนึ่งที่เขาเพิ่งจะเคยเจอเท่านั้น แล้วยังจะมีคนอื่น ๆ ที่ทรงพลังกว่านี้อีกหรือไม่?
ถ้าเขาทรงพลังได้ขนาดนี้ เขาคงจะทำได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ และเขาอาจจะเดินทางรอบโลกได้อย่างไม่ถูกจำกัด ด้วยความที่เขาคิดเอาไว้แล้วว่าโลกนี้น่าจะมีอันตรายอย่างมาก
เดวิดกลืนน้ำลายขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น
เหมือนว่าเดวิดแค่พูดกับตัวเองอยู่ด้วยเสียงที่เบามาก แต่มู่เฉินที่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนมาใช้พลังจากพันธุกรรมของสัตว์ร้ายอยู่ ทำให้ความสามารถของเขานั่นพุ่งสูงขึ้นมาก ประสาทสัมผัสของเขาตอนนี้สูงขึ้นมากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้หูของเขากำลังขยับอยู่อย่างรวดเร็ว
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สมองของเขากำลังใช้ความคิดอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยิน แล้วเขาก็กลายเป็นอึ้งไปในทันทีด้วยความประหลาดใจ นั่นทำให้สมาธิของเขานั้นเสียไป ส่งผลให้ภาพของสัตว์ร้ายที่อยู่ด้านหลังเขาค่อย ๆ จางหายไป แรงกดดันก็ค่อย ๆ ลดลงเหมือนกัน จนมันหายไปหมดในที่สุด สายลมบนเวทีที่เขายืนอยู่ก็หยุดหมุนไปด้วยแล้ว ทำให้กลุ่มเด็กหนุ่มสาวที่ยืนอยู่ด้านล่างพากันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ในขณะนั้น เดวิดยังคงใช้ความคิดอยู่ แล้วเขาก็นึกถึงบางอย่างได้
‘ถ้ากริฟฟินที่เป็นสัตว์ในตำนานของประเทศทางตะวันตก ถูกใช้จากแค่อาจารย์ธรรมดาคนหนึ่งได้ ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่า
มันน่าจะมีมนุษย์หมาป่า แวมไพร์ ไฮดรา แมนติคอร์ พวกสัตว์ในตำนานต่าง ๆ อยู่ในโลกนี้เหมือนกันนะสิ’
แล้วเขาก็ประหลาดใจมากว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้ถูกส่งมาที่นี่ให้เร็วกว่านี้
“จะ..จะ..จ้าวแห่งสัตว์ร้าย”
มีใครบางคนในหมู่คน อุทานออกมาเสียงดัง
“โอ้!?” มู่เฉินประหลาดใจอีกครั้ง แล้วก็คิดขึ้นกับตัวเอง
นักเรียนชุดนี้ดูเหมือนว่าจะพอมีความรู้อยู่ไม่น้อย
มันสามารถยอมรับได้ ถ้านักเรียนสักคนสามารถรู้เกี่ยวกับจ้าวแห่งสัตว์ร้าย ในเมื่อเหล่าผู้มีอำนาจในแต่ละเซ็กเตอร์ของฐานที่มั่นย่อมต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อนี้ มันไม่แปลกที่พวกเขาจะถ่ายทอดเรื่องพวกนี้ให้กับลูกหลานของพวกเขา แล้วตั้งเป้าที่จะปลูกถ่ายพลังของสัตว์ประเภทนี้ให้กับตัวเอง
แต่มันเป็นเรื่องที่ลำบากมากสำหรับตัวของมู่เฉินเอง ที่กว่าว่าเขาจะได้รับรู้เรื่องนี้ ก็เมื่อถึงวันที่เขาเข้าทำงานกับสถาบันแล้ว และมันเป็นข้อมูลที่เป็นความลับระดับ 4 ต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจเท่านั้นถึงจะรับรู้ข้อมูลนี้ได้ มันทำให้เขาต้องใช้เวลาหลายปี กว่าที่เขาจะบรรลุถึงระดับ 4 นี้ได้
เมื่อเข้าได้อ่านข้อมูลลับนี้แล้ว เขาได้สร้างเซรุ่มที่ประกอบขึ้นด้วยแผนที่ทางพันธุกรรม และลำดับของยีนด้วยตัวของเขาเอง
ดังนั้นไม่มีทางที่จะมีนักเรียนคนไหนจะสามารถรู้จักชื่อจริงของมันได้ ‘กริฟฟิน’
เขาหันไปจ้องมองเดวิดอย่างจริงจัง แต่เดวิดยังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดเรื่องว่าเขาจะใช้ชีวิตต่อไปในโลกนี้อย่างไร ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังตกอยู่ในสายตาของอาจารย์คนหนึ่งไปเสียแล้ว ด้วยแค่คำพูดประโยคเดียวที่เขาพึมพำกับตัวเองเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่สามารถทำตัวสงบอยู่อย่างนี้ได้
มู่เฉินเม้มปากเล็กน้อย ผู้ที่มีพลังระดับเขา ถ้าจ้องไปที่ใครสักคนอย่างจงใจ และไม่ปิดบังเจตนาของตัวเองแล้ว แม้แต่เด็กทารกก็ยังต้องรับรู้ในสายตาของเขา แต่ตอนนี้เขาต้องระวังตัวขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว เพราะดูเหมือนว่าเดวิดจะไม่สนใจในสายตาของเขาเลย
เขากวาดสายตาออกจากเดวิด แล้วมองไปที่เด็กสาวคนที่พูดชื่อของจ้าวแห่งสัตว์ร้ายออกมา
“ฉันประทับใจมาก มีบางคนที่รู้เกี่ยวกับจ้าวแห่งสัตว์ร้ายด้วย เธอชื่ออะไร สาวน้อย?” เขาเอ่ยถาม
เด็กสาวคนนั้นอึ้งไปสักพัก ก่อนจะรู้ตัวว่ามู่เฉินกำลังมองมาทางตัวเอง แต่ยังหันไปมองที่ด้านหลัง ในกรณีที่มู่เฉินกำลังพูดอยู่กับบางคนที่อยู่ด้านหลังของเธอ แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าที่ด้านหลังของเธอยังมีเด็กผู้หญิงอยู่อีกคนหนึ่ง
แต่มู่เฉินกล่าวออกมาอย่างหมดความอดทนก่อน “ไม่ต้องหันหลังไปไหนแล้ว ฉันกำลังพูดกับเธอนั่นแหละ ไม่ใช่คนที่อยู่ข้างหลังเธอ”
ตอนนี้พอเธอรู้ว่ามู่เฉินกำลังพูดอยู่กับเธอจริง ๆ หน้าของเธอก็เริ่มแดง สายตาของคนเกินกว่า 800 คู่ของนักเรียน กำลังจ้องมองมาทางเธอ แต่ด้วยความที่เธอเป็นเด็กที่มาจากตระกูลใหญ่ เธอรีบรักษาท่าทางของตัวเอง ก่อนจะกล่าวตอบมู่เฉินอย่างฉะฉาน
“ฉันชื่อเซลีน วาเลนไทน์ จากตระกูลวาเลนไทน์ในเซ็กเตอร์ BC-02 ค่ะ”
ใบหน้าของเธอยกขึ้นอย่างภูมิใจ เสียงที่กล่าวออกมาดังกังวาน กลับสู่สภาพหยิ่งยโสเหมือนกับตอนแรกเริ่ม
มู่เฉินพยักหน้ารับรู้ เขาคิดเอาไว้ก่อนแล้วว่ามีแต่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่จะรู้ข้อมูลระดับสูงได้ แล้วตอนนี้ที่เขายังไม่กล่าวถึงความจริงที่ว่าเดวิดก็รู้เรื่องบางอย่างที่เขาไม่ควรรู้ เพราะตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลา และไม่ใช่สถานที่ที่เหมาสมเท่าไรนัก แต่เมื่อเวลามาถึง เขาจะสืบสวนเรื่องนี้อย่างแน่นนอน
“เอาล่ะ! เซลีน ทำได้ดีมาก...อย่าลืมไปรับทรัพยากรมูลค่า 50 คะแนนจีโนที่ฝ่ายจัดการในสถาบันด้วยล่ะ มันจะรอเธออยู่ที่นั่นแค่ 2 วันเท่านั้น”
เซลีนแทบจะกระโดดด้วยความดีใจ แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ว่าคะแนน 50 จีโนนั้นมีค่ามากแค่ไหนในสถาบัน แต่อย่างน้อยมันก็เป็นรางวัลที่เธอได้รับ
นักเรียนคนอื่นต่างจ้องมาที่เธอด้วยความอิจฉา ในพวกเขามีบางคนที่รู้เรื่องของจ้าวแห่งสัตว์ร้าย แต่พวกเขาคิดว่ามันไม่เหมาะสมที่จะพูดออกมา