นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 1 - การเกิดใหม่
เสียงคร่ำครวญอย่างไม่สบายตัวดังออกมา เดวิดพยายามยกตัวของเขาหนีความหนาวเย็นที่เขาสัมผัสอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากหลอดแก้วเย็น ๆ ตอนนี้เขายังรู้สึกมึนงงและเวียนหัวอยู่มาก หัวของเขารู้สึกหนักอึ้งไปหมด
เขาเหมือนจะได้ยินเสียงบางอย่างดังอยู่ในหัว เสียงมันเหมือนกับคนตีฆ้องขนาดใหญ่ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่ากำลังโดนหวดด้วยไม้เบสบอลอยู่ในสมองของตัวเอง
ในช่วงเวลาชั่วขณะนี้ ความคิดของเขายังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้เลย
เขาเริ่มสั่นหัวของตัวเองเบา ๆ เศษความทรงจำแปลก ๆ ที่เขาไม่ค่อยเข้าใจค่อย ๆ วาบขึ้นมาในหัวของเขา มันยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เหมือนถูกตีซ้ำด้วยไม้เบสบอลนั่น
เขาได้แต่ร้องออกมาเสียงดังขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ภาพความทรงจำยังปรากฏขึ้นมาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ มันเหมือนกับว่ากำลังดูฉากของภาพยนตร์ที่ไม่ต่อเนื่องกัน แล้วยังเป็นภาพยนต์ที่กล่าวถึงชีวิตของใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก ไม่สามารถทำความเข้าใจได้เรื่อยว่าภาพในนั้นมันสื่อถึงอะไร เดวิดได้แต่พยายามทำให้ดีที่สุดเท่านั้น เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขากำลังเจอเข้ากับปัญหาร้ายแรงอะไรบางอย่าง
“ช่างมันไปก่อน มันใช้ความคิดได้ลำบากเหลือเกิน” เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา อาการปวดหัวมีแต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเขาพยายามใช้ความคิดทำความเข้าใจสิ่งเล็กสิ่งน้อยนั่น การคิดมากไปมันยิ่งจะทำให้เขาแย่ลงอีก เขาได้แต่ถอนหายใจให้กับตัวเอง ก่อนจะเริ่มมองออกไปรอบ ๆ ตัวเพื่อดูว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แล้วเขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็นทันที
“เอ๋? ทั้งหมดนี้มันเรื่องอะไรกันแน่?” เดวิดเริ่มสำรวจสภาพของตัวเอง ตอนนี้เขามีร่างกายมันเลื่อมอยู่ในแคปซูลที่มีสายเสียบระโยงระยางไว้อย่างเป็นระเบียบ แคปซูลมีฝาแก้วครอบเอาไว้ มันถูกต่อเข้ากลับหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยของเหลวสีเขียว
แล้วเขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในห้องทดลองใต้ดินขนาดใหญ่ และมีเด็กวัยรุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวอยู่ด้วย พวกเขาและเธอดูแล้วน่าจะมีอายุไม่เกิน 16-17 ปีแน่นอน
ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกำลังหันหลังในเดวิดอยู่ ยืนตรงเรียงกันเป็นแถวยาวอยู่หลายแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการขยับตัวแม้แต่นิดเดียว
แต่ในระหว่างแถวของพวกเขา มันมีช่องว่างที่เหมือนรอให้ใครสักคนว่างอยู่ แล้วมันก็อยู่ไม่ห่างจากตัวของเดวิดนัก
ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก เดวิดรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นที่ว่างสำหรับเขา แต่ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับภาพที่เห็นตรงหน้า
เขามองไปที่กลุ่มวัยรุ่นนั้นอย่างสับสน
และเป็นอีกครั้งที่ทำให้สมองของเขามีอาการปวดขึ้นมาอีกครั้งจนเกือบจะตะโกนออกมา เขาต้องกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อหยุดการกระทำนั้น
“...” เดวิดหอบหายใจถี่ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะหายใจเข้าไปเพื่อระงับความปวดที่เกิดขึ้น มันคงเป็นเรื่องปกติถ้าเป็นการหายใจในสถานการณ์ทั่วไป แต่การที่เขาหอบหายใจอยู่ในสถานที่มีบรรยากาศเคร่งเครียดและเงียบกริบอย่างนี้ เสียงหายใจของเขานั้นดังก้องไม่ต่างจากการตะโกนเลย
เสียงหอบหายใจของเขานั้นสะท้อนไปทั่วบริเวณ ทำให้บรรยากาศที่เงียบกริบนั้นถูกทำลายลง
กลุ่มเด็กหนุ่มสาวนั้นพากันหันกลับมามองทางเขาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นใคร พวกเขาถลึงตาใส่เดวิดที่เป็นสร้างความวุ่นวายให้กับสถานที่ที่ดูน่ากลัวนี้
เขาพยายามทำให้เสียงเงียบลงอย่างอับอาย เคลื่อนที่ตรงไปยังที่ว่างที่อยู่ข้างหน้า หน้าแดงด้วยความละอายและความตื่นเต้นกังวลใจ
กระแอมออกมาเบา ๆ เพื่อพยายามแก้ไขสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วมนี้ เหล่าวัยรุ่นพวกนั้นค่อย ๆ ถอนสายตาของพวกเขากลับไป
เดวิดพยายามยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง ทำตัวให้เหมือนกับคนที่อยู่รอบข้างทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่จากสิ่งที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้ มันเป็นการดีกว่าที่จะทำตัวให้เหมือนกับคนอื่น ๆ ทั้งหลาย ไม่ควรที่จะทำให้มีใครโกรธขึ้นมาอย่างเด็ดขาด เหมือนกับที่เขาพูดกันว่า เมื่อคุณอยู่ในเมืองโรม คุณก็ต้องทำตัวให้เหมือนชาวโรม
ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นห้องทดลองใต้ดิน แต่ก็มีพื้นที่กว้างขวางมาก มันเพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้หลายพันคนเลยทีเดียว
และถ้าจะให้พูดออกมาจากใจจริง ห้องทดลองนี้ออกจะน่าขยะแขยงอยู่ไม่น้อย มันเต็มไปด้วยแท่งแคปซูล หลอดแก้ว และของเหลวสีเขียวพวกนั้น มันให้ความรู้สึกว่าที่นี่เป็นห้องทดลองลับของนักวิทยาศาสตร์บ้า ๆ สักคน
เมื่อเดวิดเริ่มคิดว่าเขาอาจจะถูกจับตัวมาทำการทดลอง หรือกำลังจะถูกส่งเข้าไปถูกทดลอง ถูกทรมานไปพร้อม ๆ กับเหล่าวัยรุ่นพวกนี้ หน้าของเขาซีดปากของเขาสั่น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนขี้กลัวมากนัก แต่นี่ดูเหมือนว่ามันจะหนักเกินไปสำหรับเขา
แต่ในเวลาไม่นานนัก เขาก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติ เมื่อคิดได้ว่า ไม่มีทางที่จะมีใครปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นสิ่งทดลอง โดยเฉพาะเด็กหนุ่มสาวแบบที่อยู่รอบ ๆ เขา จะอยู่ในความสงบได้ขนาดนี้ นี่มันทำให้เขาเองก็สงบลงได้ไม่น้อย
แปะ! แปะ! แปะ!
เสียงปรบมือที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดึงความสนใจของเดวิดและคนอื่น ๆ ไปที่ต้นเสียง
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ถูกรีดจนเรียบกริบดูพอดีตัวกับผู้สวมใส่ มันเป็นชุดอย่างเป็นทางการอย่างดีเดินเข้ามา เขามีหน้าตาที่ดูธรรมดา อายุอยู่ที่ประมาณยี่สิบปลาย ๆ แต่กลับติดตามมาเป็นกลุ่มด้วยบุคคลที่อยู่ในชุดกาวน์สีขาว ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ได้ทันที พวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์แน่นอน ชายหนุ่มคนนั้นลดมือของเขาลง ก่อนจะเริ่มกล่าวออกมา
“ชื่อของฉันคือมู่เฉิน” เสียงของเขาทุ้มต่ำ “ฉันคิดว่าคงต้องแสดงความยินดีกับทุกคนก่อน ที่สามารถรอดชีวิตออกมาจากการทดลองได้ จากคนจำนวนทั้งหมด 1,200 คนในชุดของพวกเธอ มี 308 คนที่ทำการปลูกถ่ายตัวเร่งล้มเหลว และนั่นยังถือว่าเป็นอัตราความล้มเหลวที่ยอมรับได้ เมื่อเทียบกับผลงานในอดีต...”
ตอนที่มู่เฉินกำลังพูดอยู่นั้น เดวิดก็ค่อย ๆ ตั้งใจสังเกตรอบตัวอย่างสงสัย
เขาพบว่าเหล่าวัยรุ่นที่อยู่ในห้องทดลองตอนนี้หลากหลายมาก พวกเขามาจากต้นกำเนิด สถานที่ และเชื้อชาติที่แตกต่างกัน อย่างเช่นคนผิวดำ คนผิวขาว คนผิวเหลือง และอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกมาจากฐานที่มั่นของผู้รอดชีวิต จาก‘เซ็กเตอร์’ ต่าง ๆที่ตั้งอยู่ในนั้น ตอนนี้ประชากรในฐานที่มั่นนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเด็กวัยรุ่นที่อายุระหว่าง 15-16 ปีก็มีจำนวนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ในแต่ละฐานที่มั่น บรรดาพ่อแม่ หรือผู้ปกครองบางคน จะไม่ยอมปล่อยให้ลูกหลานของพวกเขามาเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากการปลูกถ่ายเลย ลูกหลานของพวกเขายังจะต้องเสี่ยงชีวิตต่อไปแม้ว่าการปลูกถ่ายจะประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ ผู้ที่ปลูกถ่ายได้สำเร็จยังจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เป็นตายอีกหลายครั้ง ก่อนที่จะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของร่างกายได้ตามปกติ
แต่ก็ยังมีบางครอบครัว หรือบางตระกูลที่ยอมเดิมพันกับโอกาสเล็ก ๆ นี้ เดิมพันว่าลูกหลานของพวกเขาจะรอดชีวิต และกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่นำพาความร่ำรวย และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาให้พวกเขา แน่นอนผู้คนที่เป็นห่วงลูกหลานของเขาจะมีจำนวนมากกว่ามาก นั่นทำให้รัฐบาลเผชิญกับปัญหาอยู่บ้าง ตอนที่จะนำตัวเหล่าเด็กวัยรุ่นมาเข้ารับการฝึก
มีเพียงความได้เปรียบเดียวของครอบครัวที่ร่ำรวยมีเหนือกว่าครอบครัวที่ยากจน พวกเขาสามารถจ่ายเงินก้อนโต เพื่อให้รัฐบาลตรวจสภาพร่างกายของเด็กดูก่อนว่าจะมีโอกาสรอดจากการปลูกถ่าย อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วไปในสังคม
แต่การปลูกถ่ายจะสำเร็จได้นั้นจะต้องมีตัวเร่ง ถ้าไม่มีตัวเร่ง การปลูกถ่ายจะล้มเหลวอย่างแน่นอน ทั้งยีน และดีเอ็นเอของผู้ถูกปลูกถ่ายจะพังทลายลง แต่นั่นมันทำให้เกิดการเสียชีวิตขึ้น
จากข้อเท็จจริงที่ว่ามีอันตรายกำลังคุกคามการอยู่รอดของมนุษยชาติอยู่ รัฐบาลไม่ได้รั้งรอที่จะสร้างพัฒนาตัวเร่งใหม่ออกมา และทำให้บรรดาครอบครัวที่ร่ำรวยนั้นสามารถเข้าถึงได้ ในขณะที่ครอบครัวทั่ว ๆ ไป ราคาของมันนั้นมหาศาลมากเกินไป
ตัวเร่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาก็คือ ตัวเร่ง AA-00 ตอนที่มันถูกประกาศความสำเร็จออกมา โลกทั้งใบสั่นสะเทือนไปในทันที มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว จากฝีมือของกลุ่มนักพันธุวิศวกรรม ผ่านการสนับสนุนทางการเงินของรัฐบาล และเลือดเนื้อของเหล่าทหารหาญ ที่ทำการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการแล้วมากมาย
โดยเฉพาะ วัตถุดิบทางพันธุกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มา เพราะการรวบรวมซาก และอวัยวะของ ‘สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์’ ซึ่งเป็นพวกสิ่งมีชีวิตธรรมดา ๆ ที่วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วมากจนเหมือนว่าพวกมันกลายพันธุ์นั้น ทำได้ยากมาก
การจะกำจัดสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์แค่เพียงตัวเดียว ต้องใช้เหล่าทหารที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจำนวนไม่น้อย และทั้งหมดต้องติดอาวุธหนักอย่างเพียบพร้อม เพื่อที่จะกักพวกมันเอาไว้ แล้วค่อย ๆ พยายามสังหารมันลง
ส่วนผู้เข้ารับทดสอบการปลูกถ่ายชุดแรก คือเหล่านักโทษประหารที่ทางรัฐบาลจัดหาให้ เลือกมาเฉพาะพวกที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเท่านั้นก่อน
แต่ผลที่ได้ออกมานั้นสร้างความผิดหวังเป็นอย่างมาก นักโทษประหารจำนวนมากไม่มีผู้ใดรอดชีวิตมาได้เลย ยีนที่พยายามปลูกถ่ายเข้าไปนั้นสร้างภาระที่มากเกินไปให้กับร่างกายของมนุษย์ พันธุกรรมของมนุษย์ถูกจำกัดโดยจำนวนและขนาดของโครโมโซม ที่ไม่สามารถรองรับยีนใหม่ที่ถูกปลูกถ่ายเข้าไปได้ ส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ที่ควบคุมไม่ได้ และตายในที่สุด นั่นคือสิ่งที่ตัดสินว่าตัวเร่งในการปลูกถ่ายนั้นไม่มีประสิทธิภาพ
แต่บรรดานักพันธุวิศวกรรมจากทั่วโลกยังไม่ถอดใจ พวกเขารวมตัวกันก่อตั้ง ‘สมาคมพันธุกรรม’ ขึ้นมา
หลังจากใช้เวลาอีกหลายปี ในการที่จะทำการถอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ผ่านการทดลองที่หลากหลาย แต่พวกเขาก็ได้ผลลัพธ์ออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เหมือนกับว่าฟ้าประทานโอกาสมาให้ หน่วยลาดตระเวนของทางกองทัพรัฐบาล ได้พบเข้ากับห้องทดลองใต้ดินที่ผิดกฎหมายแห่งหนึ่งเข้า มันตั้งอยู่บริเวณชายขอบของเขตแดนระหว่างเขตป้องกันของมนุษย์กับเขตของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์
ห้องทดลองนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีร่างของมนุษย์เกือบ 30 ร่างนอนอยู่บนโต๊ะทดลอง ทั้งร่างของพวกเขาถูกเชื่อมต่อเข้ากับหลอดทดลองต่าง ๆ มากมาย ทั้งทางปากและอวัยวะส่วนอื่น ๆ ทั้งหมดถูกยึดติดอยู่กับโต๊ะทดลองอย่างแน่นหนา มันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
แต่ตอนที่หน่วยทหารกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่นั้น ปรากฏเงาร่างที่รวดเร็วขึ้นมาสังหารพวกเขาไปทีละคน ความเร็วของร่าง ๆ นั้นสูงมาก ไม่ปล่อยให้ทหารหน่วยนั้นมีโอกาสต่อต้านเลย เพียงชั่วพริบตา พวกเขาถูกสังหารไปจนเกือบจะทั้งหน่วยแล้ว แต่แล้ว หัวหน้าหน่วยที่ได้สติก่อน ทำการตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ด้วยการดึงสลักของระเบิดมือทั้งหมดของตัวเอง ด้วยความตั้งใจที่จะสละชีวิตไปพร้อมกับเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั้น แล้วมันก็เกิดการระเบิดขึ้น
แล้วเหตุการณ์ในห้องทดลองนั้นก็สงบลง จนถึงเวลาที่กำลังเสริมได้เดินทางมาถึง สิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นหายไปแล้ว
โชคดีเป็นของฝ่ายทหาร กล้องสนามสามารถจับภาพสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์นั้นเอาไว้ได้
ห้องทดลองถูกทำลายลงจากแรงระเบิดจนหมด ไม่เหลืออะไรให้เก็บเป็นหลักฐาน หรือนำมาใช้ประโยชน์ต่อได้เลย แม้แต่เจ้าสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์นั่น ก็โดนแรงระเบิดเป็นชิ้น ๆ ไปเหมือนกัน แต่เมื่อพวกเขาพลิกร่างของทหารคนหนึ่งขึ้นมา พวกเขาพบกับหลอดทดลองที่บรรจุเอาไว้ด้วยของเหลวที่ไม่รู้จัก
ทหารคนนั้นได้รับการประกาศว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตเหล่ามนุษยชาติเอาไว้ ด้วยคำพูดของประธานสมาคมพันธุกรรมที่กล่าวว่า ‘หัวหน้าหน่วยทหารนี้เกือบที่จะระเบิดความหวังของมนุษยชาติทิ้งไปแล้ว แต่มันกลับถูกรักษาเอาไว้ได้โดยทหารกล้านายหนึ่ง เขาได้สละชีวิตเพื่อรักษามันเอาไว้’
แต่ประธานของสมาคมพันธุกรรมรู้ดีว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ทหารนายนั้นมีประสบการณ์สูงจากการเป็นทหารมาหลายปี เมื่อรับรู้ได้ว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้านั้นร้ายกาจเกินไป เขาเลือกที่จะถอยออกมาให้พ้นจากเขตอันตรายก่อน แต่ตอนที่เขาผละออกมาจากที่เกิดเหตุนั้น แรงระเบิดได้ส่งเขาลอยไปทางชั้นที่วางของเหลวพวกนี้เอาไว้ และล้มทับอยู่บนหลอดทดลองนี้ ทำให้สามารถปกป้องมันจากแรงระเบิด และความร้อนที่เกิดขึ้นได้
ของเหลวที่ไม่รู้จักที่ได้รับมานั้น ถูกนำมาเป็นสิ่งอ้างอิงเพื่อพัฒนาตัวเร่ง AA-00 ต่อมาอีกหลายปี ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างตัวเร่ง TY-13 ขึ้นมา