ตอนที่ 4 : โลกปนเปื้อนรังสีและวิกฤตแรกของหลี่เทียนเทียน
ตอนที่ 4 : โลกปนเปื้อนรังสีและวิกฤตแรกของหลี่เทียนเทียน
หลี่เทียนเทียนตัวแข็งทื่อ
วันหายนะไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว แต่กลับมีอยู่หลายครั้ง !
หายนะครั้งแรกก็ได้ทำลายต้นไม้ไปแล้ว ทว่าหายนะครั้งที่สองกลับจะทำลายแหล่งน้ำ...
เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ หลี่เทียนเทียนก็รู้สึกราวกับหินก้อนใหญ่กดทับเข้าที่อก จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจขึ้นมา แล้วหายนะครั้งที่สามจะเป็นแบบไหนกัน ?
มนุษยชาติจะถูกทำลายไปหรือไม่ ?
หลังจากที่เงียบได้สักพัก ระบบก็ไม่ได้บอกอะไรอีก ดวงอาทิตย์ยังอยู่บนท้องฟ้า แม้ว่าแสงจะหม่นลงกว่าเดิม แต่ก็เพียงพอที่จะให้แสงสว่างกับโลกได้
ที่ผ่านมาหลี่เทียนเทียนไม่เคยคิดเลยว่าแสงพวกนี้ จะทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยได้ถึงขนาดนี้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แสงจากดวงอาทิตย์หม่นลง จนอุณหภูมิของโลกเริ่มที่จะลดลงเรื่อยๆ
สำหรับมนุษย์ หากโลกจมอยู่ในความมืดมิด ก็เท่ากับพบจุดจบของโลกที่แท้จริง
จากนั้นเขาก็กลับไปที่ห้องและมองไปที่หลี่ฮาน ก็พบว่าเธอยังนอนหลับอยู่โดยไม่ได้กังวลอะไรเลย อีกทั้งยังละเมอยิ้มออกมาอีกด้วย
ส่วนเสี่ยวเฮยกลับร้อนรน เพราะสัญชาตญาณของสัตว์นั้นดีกว่าของมนุษย์ ดูเหมือนว่ามันจะรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงวิ่งกระโดดไปมารอบห้องและหอนออกมา มันดูเหมือนทั้งหวาดกลัวและกังวลอย่างมาก
หลังจากนั้นหลี่เทียนเทียนก็เปิดประตูออกไปจากบ้าน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอกบ้าง
เสี่ยวเฮยก็ได้วิ่งตามเขามาด้วย
ทันทีที่เขาออกจากบ้าน หลี่เทียนเทียนก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา เพราะลมหนาวที่พัดเข้ามานี้ราวกับใบมีดที่เฉือนเข้ามาที่ร่างกายของเขา
โชคดีที่หลี่เทียนเทียนเตรียมตัวเอาไว้แล้ว เขาจึงนำเสื้อกันหนาวออกมาใส่และมุ่งหน้าไปยังโรงเลี้ยงสัตว์ของเขาทันที
เมื่อเขาไปใกล้โรงเลี้ยงสัตว์เขาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าและอับชื้นลอยเข้ามาปะทะจมูก
ตอนนั้นเองเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและพบว่าสีของดวงอาทิตย์นั้นคล้ายกับสีของดวงจันทร์ และแสงอาทิตย์ก็ไม่ได้ร้อนอีกต่อไป เพราะชั้นฝุ่นที่ปกคลุมแสงของดวงอาทิตย์อยู่นั้นป้องกันความร้อนและแสงอาทิตย์จำนวนมากเอาไว้
“พระเจ้า...” หลี่เทียนเทียนพึมพำกับตัวเอง
ผลของหายนะรอบแรกนั้น ทำให้ทั้งโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ต้นไม้ที่ถูกทำลาย แต่ห่วงโซ่อาหารของโลกก็ยังถูกทำลายไปด้วย
เพราะพืชที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดในห่วงโซ่อาหารถูกทำลายไป จึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร
ซึ่งตามวัฏจักรของห่วงโซ่อาหารแล้ว สิ่งมีชีวิตใดที่ปรับตัวได้ก็จะมีชีวิตรอด และพวกที่ปรับตัวไม่ได้ก็จะโดนกำจัด !
และแล้วเรื่องนี้ก็จะส่งผลต่อมนุษย์ เพราะรูปแบบของโลกได้เปลี่ยนไปจากเดิม
หลี่เทียนเทียนยืนอยู่กับที่และครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเดินหน้าต่อ
เมื่อเขาเข้าไปในโรงเลี้ยงสัตว์ ก็พบกับวัวและแกะล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลืออยู่นั้นก็พากันร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าหลี่เทียนเทียนกลับไม่ได้แปลกใจที่เห็นฉากนี้ เพราะเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่แล้ว
แม้ว่าหายนะครั้งแรกนั้นจะทำลายต้นไม้ทิ้ง แต่ความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก็ทำให้สัตว์บางตัวหนาวตายได้
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นคำเตือนสำหรับหลี่เทียนเทียน ที่ว่าอย่ามองแค่คำพูดของระบบ แต่ควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเป็นไปได้อย่างอื่นด้วย
ในเวลาเดียวกัน หลี่เทียนเทียนก็สังเกตเห็นว่าที่ประตูโรงเลี้ยงสัตว์นั้น เหมือนจะโดนพังจากด้านใน
หลังจากที่ตรวจสอบดูแล้ว เขาก็พบว่ามีวัวและแพะหายไป
ทว่าหลี่เทียนเทียนไม่ได้เลือกที่จะออกไปตามหา แต่เขาหันกลับและเดินไปยังพื้นที่เพาะปลูกแทน
เขาพบว่าข้าวสีเขียวขจีที่เคยปลูกเอาไว้นั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นสีเทาไปหมดแล้ว
ตอนนั้นเอง ข้อมูลก็ได้ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขา
[ ข้าวเปื้อนรังสีและมีพิษระดับสูง มีโอกาส 98% ที่ปอดจะเกิดพังผืดหลังจากที่กินเข้าไป ส่วนอีก 2% จะทำให้โครงสร้างยีนของผู้กินเปลี่ยนแปลงไป และเกิดการจัดโครงสร้างยีนขึ้นมาใหม่หรือที่เรียกว่า การกลายพันธุ์ นั่นเอง ! ” ]
[ ที่ดินปนเปื้อนรังสี มีพิษสูง เมล็ดพืชทั่วไปไม่อาจจะปลูกได้ มีเพียงเมล็ดที่กันรังสีได้เท่านั้นที่จะปลูกได้ ]
เมื่อเห็นข้อมูลตรงหน้า หลี่เทียนเทียนก็ใจหายวูบ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว !
นี่คือความเสียหายที่ส่งผลไปอีกนาน และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่ผืนดินจะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง !
จากนี้ไปทั้งโลกคงไม่อาจจะปลูกพืชผลได้อีก และผู้คนจะได้เมล็ดข้าวที่สำรองเอาไว้จากภาครัฐ
เมื่อเมล็ดข้าวในคลังหมดลง ก็ไม่มีทรัพยากรใด ๆ ให้ผู้คนอีก และปัญหาใหญ่ก็จะตามมา !
“มีโอกาส 2% ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างยีนผู้คน..มันไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือไง ?” หลี่เทียนเทียนมองไปที่ข้อความส่วนอื่นและพึมพำออกมา
ในฐานะชาวสวนแล้ว เขาเองก็ได้เรียนรู้เรื่องการเพาะปลูกและความรู้อื่น ๆ เกี่ยวกับด้านนี้มา เพราะการจะตัดแต่งสายพันธุ์พืช เพื่อให้ได้พืชสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมานั้น ต้องใช้ความรู้ระดับยีน เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงระดับยีนหรือการกลายพันธุ์นั้น เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลกมากหรือน้อยเพียงใด
ซึ่งผลกระทบนั้นน่ากลัวอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น มีสองหัว มีสามแขน...
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของยีน
ก็เหมือนกับก็อตซิลลา ที่ถูกรังสีนิวเคลียร์จึงทำให้ยีนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา จนกลายพันธุ์จากกิ้งก่ามาเป็นสัตว์ประหลาดตัวยักษ์
การที่ยีนเปลี่ยนแปลงไป อาจจะทำให้ความแข็งแกร่ง ขนาด รวมไปถึงความฉลาดนั้นยกระดับขึ้นมาอย่างมาก หรืออาจจะตรงข้ามกับอาการเหล่านี้ก็ได้
อย่างเช่นอาจจะทำให้เกิดการผิดรูปร่าง หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ควรจะมีในร่างมนุษย์นั้นหายไป
หรือบางทีมนุษย์อาจจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่ายีนเกิดการเปลี่ยนแปลงตรงตำแหน่งไหนในร่างกาย
และที่สำคัญ สิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์ส่วนมากแล้ว มักจะมีชีวิตได้ไม่นานก่อนที่จะตายไปเพราะร่างกายของมันภาวะแทรกซ้อน
สรุปง่าย ๆ คือผลกระทบจากการกินพืชผลที่เปื้อนรังสีเข้าไปนั้นมีโอกาส 98% ที่จะตายอย่างเจ็บปวดในฐานะมนุษย์ ส่วนอีก 2 % ที่จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด
“ของพวกนี้อันตรายอย่างมาก เราต้องทำลายมันให้หมด...” หลี่เทียนเทียนออกมาด้วยท่าทีสลด
เพราะเขาดูแลข้าวพวกนี้เป็นอย่างดีและปลูกมันด้วยมือตัวเอง แต่ตอนนี้พวกกลับมันเป็นพิษไปหมดแล้ว
แต่ตอนนั้นเอง เสี่ยวเฮยก็ได้เห่าออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เพราะเห็นตัวอะไรบางอย่างขนาดเท่ากับช้าง กำลังวิ่งเข้ามาหาหลี่เทียนเทียน พร้อมกับพ่นคลื่นอากาศออกมาจากจมูก ซึ่งการวิ่งของมันนั้นได้ทำให้พื้นดินสั่นไหวพร้อมเสียงที่ดังสนั่นราวกับตีกลอง !
อีกทั้งหลี่เทียนเทียนยังเห็นว่าตาของมันเป็นสีแดงก่ำอีกด้วย !
มันคือวัว ที่พังประตูโรงเลี้ยงออกมา !
แล้วทำไมมันถึงได้ตัวใหญ่เช่นนี้ ? !
เท้าของวัวใหญ่กว่าเดิม 2 เท่า ขนบนตัวหลุดหมด กล้ามเนื้อบวมเป่ง มีเลือดไหลออกมาจากรูขุมขน ดูเหมือนมันกำลังเจ็บปวดอย่างมาก และมันคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ตอนนั้นเองหลี่เทียนเทียนก็นึกถึงการกลายพันธุ์ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าวัวตัวนี้ต้องไปกินฟางที่ปนเปื้อนรังสีเข้าไปเป็นแน่จึงทำให้ยีนของมันเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา !
ดังนั้นตอนนี้มันจึงไม่ใช่วัวธรรมดาอีกต่อไป มันคือวัวกลายพันธุ์
หรือจะเรียกมันว่า วัวซิลลา ก็ว่าได้ !
ตอนนี้หลี่เทียนเทียนไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือโชคดีนั้น กลับต้องมาเจอกับสัตว์กลายพันธุ์ที่มีโอกาสแค่ 2% ด้วยตัวตนแบบนี้
ความแข็งแกร่งและขนาดตัวของมันเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก และดูเหมือนวัวตัวนี้จะเสียสติไปแล้ว และกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร !
หลี่เทียนเทียนมองดูวัวที่วิ่งเข้ามาพร้อมหรี่ตาลง และตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในอันตราย !