ตอนที่ 346 วันแรกของงานเทศกาล
ตอนที่ 346 วันแรกของงานเทศกาล
ณ ห้องที่มืดมิด
หลี่โม่กำลังนั่งบนเก้าอี้หันไปทางผนังที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าอันนิ่งเฉย
“ร่างกายของลูกชายคุณปกติดีทุกอย่าง แต่เขาได้รับผลกระทบทั้งสภาวะจิตใจอย่างรุนแรง และถึงแม้ว่าด้านนอกเขาจะไม่มีการเคลื่อนไหวแต่คลื่นภายในสมองของเขากำลังผันผวนอย่างรุนแรงเช่นกัน”
“ที่น่าแปลกคือคลื่นประสาทพวกนี้ถูกอดกลั้นเอาไว้โดยไม่สามารถที่จะระบายออกมาได้ มันจึงทำให้ด้านนอกเขานั่งนิ่งไม่ไหวติง เพราะเขาพยายามอดกลั้นความโกรธเอาไว้ตลอดเวลา” นายแพทย์อาวุโสกล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม
“คุณหมอลู่ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับหลี่โม่ได้? ไม่ใช่ว่ามนุษย์มักจะหาวิธีแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาเหรอ? แล้วทำไมหลี่โม่ถึงต้องอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้” หลี่กวนอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“ปกติมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากสามีถูกเจ้านายดุในระหว่างการทำงาน หลังจากกลับไปที่บ้านเขาก็อาจจะหาเรื่องทะเลาะกับภรรยาเพื่อระบายความอัดอั้นของตัวเองออกไป”
“แต่ในกรณีลูกชายของคุณเขากลับไม่สามารถระบายความโกรธภายในใจของตัวเองออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นความอัดอั้นภายในใจของเขายังค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขามีนิสัยไม่มั่นใจในตัวเอง เขาจึงได้สร้างคุกขึ้นมาในจิตใจและกักขังตัวเองเอาไว้ภายในนั้น” หมอลู่กล่าวอธิบาย
หลี่กวนพยักหน้ารับ ซึ่งในฐานะที่เขาเป็นบิดาเขาย่อมรู้จักนิสัยลูกของตัวเองดีกว่าใคร ๆ
ถึงแม้ลูกชายของเขาจะเป็นคนขี้ขลาดแต่หลี่โม่ก็ไม่เคยต้องพบกับความอัปยศมากขนาดนี้ แต่เรื่องต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่หลี่โม่ได้พบกับเซี่ยเฟย เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแอวริล, การแข่งขันโกลเดนฟิงเกอร์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ต่างก็มีเซี่ยเฟยเป็นจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์ทั้งหมด
“เป็นเพราะมัน! เป็นเพราะมันคนเดียว!!” หลี่กวนกัดฟันคำรามชื่อของเซี่ยเฟยออกมาหลายครั้งภายในใจ
“คุณหมอลู่คุณเป็นจิตแพทย์ที่เก่งที่สุดในพันธมิตรแล้ว ไม่ว่ายังไงคุณก็จะต้องหาทางช่วยลูกชายของผมให้ได้” หลี่กวนกล่าวอย่างจริงจัง
“ความจริงมันก็พอจะมีวิธี แต่ว่า…” หมอลู่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
“แต่อะไร?”
“วิธีการนั้นมันอาจจะเปลี่ยนนิสัยลูกชายของคุณไปโดยสิ้นเชิง ผมพอจะมียาชนิดพิเศษเก็บเอาไว้ในมือบ้าง แต่ยานี้จะทำลายจิตสำนึกของมนุษย์ลงไปอย่างสมบูรณ์ ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้คนที่ได้รับยากลายเป็นเหมือนมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ไม่สามารถระงับอารมณ์หรือการกระทำของตัวเองเอาไว้ได้”
“หลังได้รับยาหลี่โม่ย่อมสามารถระบายความโกรธภายในใจของเขาออกมาได้อย่างแน่นอน แต่หลังจากนั้นเขาจะสูญเสียจิตสำนึกที่มนุษย์ควรจะมี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขามีความสุขเขาก็จะส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง แต่ถ้าหากว่าเขารู้สึกโกรธเขาก็จะเริ่มด่าทอศัตรูของเขาทันที”
“สำหรับคนธรรมดาบุคลิกแบบนี้ก็คงจะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเขามากนัก แต่สำหรับตระกูลหลี่แล้วหากลูกชายของคุณมีบุคลิกแบบนี้ เขาก็คงจะไม่สามารถสืบทอดธุรกิจของตระกูลต่อไปได้ เพราะด้วยจิตสำนึกที่พังทลายเขาก็ไม่มีทางเจรจากับใครอย่างราบรื่นได้อย่างแน่นอน”
“สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือยาตัวนี้มีโอกาสทำให้ผู้ได้รับยากลายเป็นคนบ้า ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุดผู้รับยาก็อาจจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง” หมอลู่เริ่มบอกข้อเสียของยาก่อนที่หลี่กวนจะตัดสินใจ
คำอธิบายนี้ทำให้หลี่กวนรู้สึกลังเล เขาจึงเดินไปเดินมา 2-3 ครั้งก่อนที่สายตาของเขาจะจับจ้องมองไปยังลูกชายเป็นเวลานาน
“เชิญคุณหมอใช้ยานั่นกับลูกชายของผมได้เลย ผมจะเป็นคนรับผิดชอบผลที่ตามมาหลังจากนั้นเอง” หลี่กวนกล่าวอย่างจริงจัง
“คุณคิดมาดีแล้วใช่ไหม? ถึงแม้ว่าลูกชายของคุณจะเป็นแบบนี้แต่อย่างน้อยเขาก็จะยังเป็นลูกชายที่เชื่อฟังและเป็นคนดี แต่ถ้าหากว่าเขาได้รับยาชนิดนั้นเข้าไปคุณก็อาจจะได้ลูกชายที่อาจจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง” หมอลู่พยายามถามย้ำอีกครั้ง
“ผมตัดสินใจมาดีแล้ว ในตระกูลหลี่ไม่เคยมีใครที่ขี้ขลาดไม่ว่าจะเป็นในอดีต, ตอนนี้หรือในอนาคตก็ตาม” หลี่กวนกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างดื้อรั้น
—
สิ่งที่เซี่ยเฟยกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คือลูกแก้วดาวตก 144 ลูกที่กำลังเคลื่อนที่อย่างว่องไวและยังเคลื่อนที่อย่างชาญฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม
การพยายามจับลูกแก้วในโหมดหลักเป็นเรื่องยากเหนือกว่าจินตนาการ ซึ่งหลังจากที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง เซี่ยเฟยก็เอนหลังนอนแผ่บนทุ่งหญ้าอย่างเหนื่อยล้า
“ถึงแม้ว่าการฝึกไล่จับลูกแก้วดาวตกจะเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่มันก็ช่วยพัฒนาร่างกายของนายไปจากเดิมมาก ฉันเฝ้าดูการพัฒนาของนายมาโดยตลอดฉันขอบอกเลยว่าในช่วง 2 วันมานี้ ความยืดหยุ่นในร่างกายของนายเพิ่มขึ้นจากเดิมแบบที่ไม่สามารถนำไปเทียบกับของเดิมได้ และถ้าหากว่านายยังคงฝึกฝนแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งร่างกายของนายอาจจะมีความยืดหยุ่นมากที่สุดในจักรวาล” อันธกล่าวอย่างจริงจัง
“ฉันจะพยายามฝึกฝนกับลูกแก้วพวกนี้บ่อย ๆ ก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าการเพิ่มความเร็วจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ความยืดหยุ่นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
หลังจากกลับไปที่โรงแรมเซี่ยเฟยก็ได้พบกับพวกมังกี้ที่แต่งตัวอย่างดูดีกำลังจะออกไปยังงานเทศกาลด้วยท่าทางอันตื่นเต้น
“พี่เซี่ยเฟยในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว! พวกเราไปหาพี่ตั้งแต่เช้าแต่ดูเหมือนกับว่าพี่จะไม่ได้อยู่ในห้อง” แฮมเมอร์กล่าว
“ฉันออกไปเดินเล่นข้างนอกมาน่ะ ว่าแต่พวกนายจะไปไหน?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเรากำลังจะไปงานเทศกาลแลกเปลี่ยน พี่รีบไปแต่งตัวแล้วไปงานเทศกาลพร้อมกับพวกเราเถอะ” มังกี้กล่าวอย่างตื่นเต้น
“ไปงานเทศกาลแลกเปลี่ยน?” เซี่ยเฟยอุทานพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พื้นที่ทั่วทั้งดาวนี้คือสถานที่จัดงานเทศกาลก็จริง แต่การแลกเปลี่ยนสินค้าต่าง ๆ จะจัดขึ้นในหมู่เกาะไข่มุกทั้ง 13 เท่านั้น” คิวเลกซ์ผู้ซึ่งเป็นจัสทิสตัวเล็กใส่แว่นกล่าวอธิบายเสริมขึ้นมาเบา ๆ
“พูดดัง ๆ หน่อยสิ! อย่ามาทำให้พี่น้องของพวกเราต้องอับอาย” มังกี้ตบหัวคิวเลกซ์อย่างแรงเนื่องจากสหายไม่ยอมพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง และเขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าอะไรน่าอายกว่ากันแน่ระหว่างคิวเลกซ์ที่พูดจาอ้อมแอ้ม หรือเจ้าหัวโจกเด็กแสบอย่างมังกี้ที่ตบตีแม้กระทั่งสหายตัวเอง
“พี่เซี่ยเฟยในดาวดวงนี้มีเกาะอยู่ทั้งหมด 1,111 เกาะ ซึ่งในหมู่เกาะทั้งหมดมีหมู่เกาะหนึ่งเรียงตัวกันเป็นวงกลมคล้าย ๆ ไข่มุก พวกมันจึงได้รับการตั้งชื่อว่าหมู่เกาะไข่มุก ซึ่งที่นั่นก็เป็นสถานที่จัดงานการแลกเปลี่ยนทั้งหมดในงานเทศกาลครั้งนี้” มังกี้กล่าวอธิบาย
เซี่ยเฟยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะในช่วง 2 วันที่ผ่านมาเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับการฝึกฝนวิ่งไล่จับลูกแก้วดาวตกจนลืมสอบถามรายละเอียดของงานเทศกาลนี้ไปเลย
“มันก็เหมือนที่ฉันพูดไม่ใช่รึไง?” คิวเลกซ์กล่าวขึ้นมาเบา ๆ
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็ออกเดินทางมาพร้อมกับพวกจัสทิสตัวแสบมากกว่า 20 คน ก่อนที่จะขึ้นไปนั่งเรือความเร็วสูงเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่เกาะไข่มุก
ระหว่างทางชายหนุ่มได้พบเห็นเครื่องบินโดยสารลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาหลายลำ โดยจุดหมายปลายทางของยานทุกลำต่างก็มุ่งหน้าตรงไปยังหมู่เกาะไข่มุกเช่นเดียวกันทั้งหมด
ในเวลาเพียงแค่ 20 นาทีเซี่ยเฟยก็เดินทางมาจนถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งเมื่อมองจากระยะไกลทัศนียภาพของหมู่เกาะไข่มุกก็ดูดีกว่าเกาะนางแอ่นที่เซี่ยเฟยได้พักอาศัยอยู่มาก นอกจากนี้หมู่เกาะไข่มุกยังมีสภาพพื้นดินที่ค่อนข้างราบเรียบ และมันยังมีสิ่งปลูกสร้างอยู่บนเกาะอย่างมากมายทำให้มันสามารถรองรับผู้คนนับแสนได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน
หลังจากลงจากเรือเซี่ยเฟยก็เดินตามฝูงชนเพื่อผ่านด่านรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตามด่านรักษาความปลอดภัยของงานเทศกาลนี้สูงกว่าสถานที่อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีบัตรเชิญแต่เขาก็ยังจำเป็นจะต้องลงทะเบียนเพื่อเดินทางเข้าไปในงานเทศกาลด้านใน
แต่เมื่อชายหนุ่มได้คิดว่างานเทศกาลนี้คือการรวมสมบัติหายากทั่วทั้งพันธมิตร มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะต้องมีการป้องกันที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
หลังจากเข้ามาด้านในงานเทศกาลแล้วเซี่ยเฟยก็หาข้ออ้างเพื่อแยกตัวออกไปสำรวจสิ่งต่าง ๆ เพียงลำพัง ไม่ว่ายังไงพวกมังกี้ก็มาเดินเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเท่านั้น ชายหนุ่มจึงตั้งใจแยกตัวออกไปเพื่อหาสมบัติด้วยตัวคนเดียว
บนท้องถนนมีแผงลอยตั้งอยู่ทั่วทุกที่แต่สินค้าที่วางอยู่บนแผงลอยยังไม่มีสิ่งที่สะดุดตาเขาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะท้ายที่สุดเขาก็มีเซเลสเชียลมูนเป็นอาวุธประจำตัวของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยให้ความสนใจอาวุธธรรมดาที่วางขายอยู่บนแผงลอยมากนัก
เมื่อมองไปยังแผนที่ของงานเทศกาล เซี่ยเฟยก็ได้พบว่าห่างไปไม่ไกลมีอาคารที่กำลังจัดเทศกาลของบริษัทเอ็กซ์ตรีมฟอร์ซโดยเฉพาะ ซึ่งมันก็หมายความว่าด้านในของอาคารจะเป็นการจัดนิทรรศการเพื่อขายสินค้าของบริษัทแห่งนี้
“อาคารใหญ่ขนาดนั้นน่าจะมีของน่าสนใจอยู่บ้างใช่ไหม?” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองพร้อมกับมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารของบริษัทเอ็กซ์ตรีมฟอร์ซ
อย่างไรก็ตามในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 5 นาทีเซี่ยเฟยก็เดินออกมาจากอาคารด้วยใบหน้าที่ผิดหวัง เพราะสินค้าที่วางขายส่วนใหญ่เป็นเพียงอาวุธร้อน ซึ่งสำหรับยอดนักสู้อย่างเขาแล้วอาวุธพวกนี้ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขาเลย
หลังจากได้ไปเยี่ยมชมอาคารมาแล้วหลาย ๆ แห่งมันก็ยิ่งทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกผิดหวังมากขึ้นกว่าเดิม เพราะถึงแม้ว่าเทศกาลครั้งนี้จะมีสินค้านำมาวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สินค้าทุกอย่างต่างก็ล้วนแล้วแต่ธรรมดามากเกินไป
“มันมีความลับอะไรที่ฉันไม่รู้อยู่หรือเปล่า?”
เซี่ยเฟยยังไม่สามารถทำความเข้าใจงานเทศกาลในครั้งนี้ได้ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังเกาะอื่น ๆ เพื่อดูว่าเกาะพวกนั้นจะมีสินค้าที่เขาสนใจวางขายอยู่หรือเปล่า
ชายหนุ่มพยายามเลือกเส้นทางที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านในระหว่างที่เขาเดินทางไปยังท่าเรือ ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้พบว่าแผงลอยทั้งสองข้างทางมีสินค้าที่น่าสนใจมากกว่าในตัวอาคารที่จัดนิทรรศการโดยพวกบริษัทขนาดใหญ่เสียอีก เพราะอย่างน้อยสิ่งของที่วางขายบนแผงลอยก็ยังพอมีสิ่งของแปลก ๆ และมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่าสินค้าจากบริษัท
อันธคอยอธิบายให้เซี่ยเฟยฟังตลอดทางว่าสิ่งของชิ้นไหนคืออะไร และเนื่องจากเขามีประสบการณ์ในพันธมิตรมากกว่าเซี่ยเฟยไปไกล วิญญาณนักฆ่าจึงรับบทเป็นผู้บรรยายไประหว่างทาง
ทันใดนั้นมันก็มีลมกรรโชกพัดมาอย่างแรงทำให้แจกันสีทองที่วางอยู่บนแผงลอยกลิ้งไปกับพื้น โดยมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางของเซี่ยเฟย
ชายหนุ่มใช้เท้าหยุดแจกันสีทองเอาไว้ ก่อนที่มันจะมีกำไลโปร่งใสกระเด็นออกมาจากด้านในแจกัน
“หือ? นี่มัน…” เซี่ยเฟยอุทานด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
***************