บทที่ 53
บทที่ 53
สวี่ล่ายรู้สึกถึงผงที่แสบร้อนจนทนไม่ได้เข้าตาตัวเอง
ดวงตาเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของมนุษย์ เมื่อถูกทำร้ายจะได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ผงที่มีกลิ่นฉุนแสบร้อนจนทนไม่ได้นี้ เพียงลอยเข้าตา ก็ทำให้สวี่ล่ายมองไม่เห็น กลายเป็นไร้การป้องกันใดๆ
“บัดซบ! นี่มันอะไร? แสบตาชะมัด!”
น้ำตาไหลออกมาทันที น้ำตาก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคือผงที่ลอยผสมปนเปกับอากาศ มันทำให้สวี่ล่ายหายใจลำบาก เพียงสูดลงคอก็รู้สึกเหมือนสำลักควันไฟ
“แค่ก แค่ก แค่ก~!” ดวงตาของสวี่ล่ายไหลพรั่งพรูด้วยน้ำตา อดขยี้ตาและไอออกมาไม่ได้ นี่ไม่มีทางที่จะหลบพ้นเลย
“คิก คิก~!เป็นไง รู้สึกแสบร้อนมากใช่ไหม?” มู่เป่ยเป่ยหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง คล้ายการเฝ้าดูสวี่ล่ายกำลังความเจ็บปวดนั้นเป็นความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
“ไม่มีทางเลือกแล้ว! จงออกมา ลมคลั่งฟ้าคะนอง!”
ติ๊ง!
อักขระยันต์ก่อตัวเป็นวงค่ายกลขนาดใหญ่ในทันที
“นี่มัน ... หินประสานค่ายกล!?” มู่เป่ยเป่ยตกใจ รีบก้าวถอยหลังออกมา
เปรี้ยง! ครืนนนน ครืนนนน....
หลังจากเกิดฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ลมกระโชกแรงก่อตัวขึ้นเหนือเวที มวลน้ำขนาดเท่ากำปั้นตกลงมาจากท้องฟ้า
แป๊ะ แปะ แปะ แปะ...
“โอ๊ย! ทำไมเม็ดฝนพวกนี้มันร้อนและลูกใหญ่แบบนี้! เจ้า ... เจ้าเล่นขี้โกงอีกแล้ว!”
มวลน้ำกระทบร่างกายมูเป่ยเป่ย มันเหมือนหม้อน้ำเดือดราดบนศีรษะเธอ ร้อนมากจนมู่เป่ยเป่ยยิ้มแหย ตะโกนด่าทอ
“มังกรคะนองปกปักษ์!” ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายของมู่เป่ยเป่ยพุ่งสูงขึ้น แส้ยาวในมือกลายเป็นงูใหญ่บินฉวัดเฉวียนตรงหน้า ต้านทานพายุฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
ป้าง! ป้าง! ป้าง..!
มวลน้ำกระทบแส้ยาว ระเบิดแรงต้านที่สั่นสะเทือนลงมาถึงพื้นดิน มู่เป่ยเป่ยรู้สึกได้ว่าปราณบริสุทธิ์ในร่างกายกำลังสลายไปอย่างรวดเร็วเหมือนโดนทะเลสูบ
ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากบทบาทของน้ำฝน มันได้ช่วยชะล้างพิษในอากาศ
ส่งผลให้สวี่ล่ายกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง ปาดคราบน้ำตาที่หางตา “ฮู้ว~! ในที่สุดก็กำจัดมันได้ซักที!”
เมื่อครู่เฉียดฉิวจริงๆ โชคดีที่สวี่ล่ายตอบสนองได้เร็วพอ บีบหินประสานค่ายกลได้ทันเวลา ไม่งั้นสวี่ล่ายยังน้ำหูน้ำตาไหล ไออย่างรุนแรงต่อไป ไม่สามารถต่อสู้ได้
เดิมทีสวี่ล่ายมีเพลิงต้านมังกรอยู่ในร่างกาย ดังนั้นเขาจึงไม่ควรถูกพิษทำร้าย แต่พิษครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อครู่ นั่นคือมันใส่พริกป่นมาด้วย
ทุกคนรู้จักพริกป่นดี สิ่งนี้แม้ว่าจะไม่มีพิษ แต่เมื่อเข้าตาแล้วก็ป้องกันยากยิ่งกว่าพิษใดๆ และพริกป่นกับเพลิงฟ้าดิน เมื่อสัมผัสกันก็ถูกเผาเป็นควันไฟทำให้สำลัก
ด้วยเหตุนี้ สวี่ล่ายจึงประสบกับผลลัพธ์ที่น่าเศร้าเช่นนี้
“แม่นางผู้นี้น่าชังจริงๆ” สวี่ล่ายมองมู่เป่ยเป่ยผู้ซึ่งกำลังพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ เกิดความเกลียดชังลึกไปถึงรากฟัน
“สวี่ล่าย! เจ้าคนไร้ยางอาย! เจ้าช่างต่ำทราม เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์ เจ้า ... เจ้ารังแกข้า” คราวนี้มู่เป่ยเป่ยกลายเป็นสาวน้อยที่น่ารักและน่าสงสารอีกครั้งทางหนึ่งพยายามดิ้นรนต้านพายุฝนอย่างยากลําบาก ทางหนึ่งตะโกนด่าทอสวี่ล่ายเสียงดัง
“ข้าน่ะหรือรังแกเจ้า! ถุย! ตอนแรกข้าเห็นเจ้าไร้เดียงสาหรอกนะถึงออมมือให้” สวี่ล่ายโกรธมาก เห็นได้ชัดว่าแม่สาวพิษนี่พลาดท่าเอง แต่สุดท้ายกลับโทษว่าตนไม่ดี
ครั้งนี้สวี่ล่ายจะไม่สงสารเธออีกแล้ว ได้รับความเดือดร้อนถึงสองครั้ง ขืนถูกหลอกอีกคงเป็นได้แค่คนโง่
ป้าง! ป้าง! ป้าง!
ไม่นาน มวลน้ำก็ลดลง คล้ายพลังค่ายกลกำลังหมดแรง
สวี่ล่ายชักดาบกระหายเลือดออกมา ปราณบริสุทธิ์หมุนวนใต้เท้า “ฮ่า”
ตูม!
เงามนุษย์ร่างหนึ่งบินออกมา พุ่งเข้าหามู่เป่ยเป่ยด้วยความเร็วสูงสุด
“ตายซะ! สะบั้นกระหายเลือด~!”
หึ่ง หึ่ง~!
อักขระยันต์ชุดหนึ่งค่อยๆ วนเวียนอยู่บนดาบกระหายเลือด รังสีสังหารวาวโรจน์ในดวงตาของสวี่ล่าย
“สวี่ล่าย! เจ้า ... เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้!” มู่เป่ยเป่ยเห็นเจตนาฆ่าฟันในดวงตาของสวี่ล่ายก็ตื่นตระหนกทันใด
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายของมู่เป่ยเป่ยใกล้หมดพลังงาน แค่ต้านทานมวลน้ำในจากบนฟ้ายังแทบทำไม่ไหว ดังนั้นยังไงก็ไม่มีทางหลบการโจมตีของสวี่ล่ายได้
“สกุลสวี่! เจ้าต้องการจะทำอะไร?”
“หยุด...หยุดนะ!”
“นี่เจ้ากล้า?”
“หยุดเขาเดี๋ยวนี้!”
ในอัฒจันทร์ทิศตะวันตก สมาชิกตระกูลมู่เฝ้าดูฉากนี้ พากันลุกยืนขึ้น ตะโกนเสียงดัง อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่ห่างเกินไป ไม่มีทางหยุดสวี่ล่ายได้
ณ ขณะนี้ สวี่ล่ายเข้าประชิดมู่เป่ยเป่ยแล้ว ชูดาบกระหายเลือดในมือขึ้นสูง รัศมีแสงสีแดงปะทุออกมา
“อ๊าาาา——!”
มู่เป่ยเป่ยหลับตาด้วยความตกใจ เวลาถูกแช่แข็งทันทีในขณะนี้
คนส่วนใหญ่ทนดูฉากนองเลือดไม่ได้พากันหลับตาลง
อย่างไรก็ตาม……
“หืม? ยังไง... เกิดอะไรขึ้น?”
“นี่...”
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
ผ่านไปนาน ทุกคนก็ยังไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ควรจะเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงพากันลืมตาเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่มัน......?” มู่เป่ยเป่ยลืมตาขึ้นช้าๆ แต่ไม่มีอะไรอยู่ตรงหน้า ไม่เห็นร่างของเทพเจ้าที่น่าสะพรึงใดๆ
“ข้า... นี่ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?” มู่เป่ยเป่ยกระพริบตา พบว่าตัวเองไม่เพียงไม่ตาย แต่ร่างกายทุกส่วนแทบไม่ได้รับบาดเจ็บ
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เป่ยเป่ยสงสัย
“ไง!”
“อ๊ะ...!”
เสียงพูดดังขึ้นด้านหลังอย่างกะทันหัน มู่เป่ยเป่ยตัวสั่นด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้มู่เป่ยเป่ยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ปึก~!
สวี่ล่ายตอกด้ามมีด ตีที่ท้ายทอยมูเป่ยเป่ย
“อ๊าาาา——!”
ปุก ...
มู่เป่ยเป่ยรู้สึกเจ็บปวดที่ด้านหลังศีรษะตัวเอง วิสัยทัศน์ดำมืด หมดสติลงอย่างกะทันหัน
“สวี่ล่ายแห่งเมืองหรันเถียนชนะ!”
โจวอี้ฝนานตัดสินโดยไม่ลังเล
“โอ้--!”
“นายน้อยชนะแล้ว!”
พี่น้องตระกูลสวี่ทางทิศตะวันออกต่างลุกยืนโห่ร้อง
“ฮู้ว~! การประลองรอบแรกนี่ลําบากจริงๆ” สวี่ล่ายถอนหายใจยาว ยกหมัดชูขึ้นสูง
ณ ขณะนี้ การต่อสู้ในเวทีอีกด้านหนึ่งก็จบลงเช่นกัน ฉีเจี้ยนหมิงเอาชนะหลี่อ้าวได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ใช่เพราะลูกไม้ที่ยังงัดออกมาใช้อย่างไม่ลดละของหลี่อ้าว เกรงว่าผลตัดสินคงจบลงตั้งนานแล้ว
ฉีเจี้ยนหมิงยิ้มเล็กน้อย ประสานสองกำปั้นไปทางสวี่ล่าย สื่อความหมายว่า ‘ขอบคุณพี่ชายสวี่สำหรับความเมตตา’
‘ด้วยความยินดี’ สวี่ล่ายรีบประสานกำปั้นตอบ
ที่สวี่ล่ายทำหน้าตายักษ์มารพร้อมปล่อยจิตสังาหาร เดิมแค่แสร้งข่มขู่มู่เป่ยเท่านั้ไม่ได้พยายามจะฆ่าเธอจริงๆ
สวี่ล่ายได้เห็นถึงธรรมชาติของมู่เป่ยเป่ยมานานแล้ว นอกจากจะซุกซนนิดๆหน่อยๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่แสดง และในการโจมตีด้วยพิษของมู่เป่ยเป่ยร่าย ก็ไม่ได้ผสมสารพิษร้ายแรง นอกจากพริกป่นที่ทำให้คนโดนยิ้มไม่ออกแล้ว ก็มียาบางชนิดที่มีฤทธิ์คล้ายกับผงกระดูกอ่อน
สิ่งเหล่านี้มากสุดมีผลแค่ทำให้คนหมดสภาพต่อสู้ ไม่มีองค์ประกอบร้ายแรงปะปนอยู่
นอกจากนี้ มู่เป่ยเป่ยยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับฉีเจี้ยนหมิง สวี่ล่ายรู้ว่าฉีเจี้ยนหมิงนั้นค่อนข้างทรงพลัง แต่ก็ยังเป็นคนใจกว้างและตรงไปตรงมา จึงอยากผูกมิตรกันตั้งนานแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ทำอะไรหนักๆ กับมู่เป่ยเป่ย
แน่นอน สวี่ล่ายก็ค่อนข้างแย่ หากยังฝืนสู้อาจแพ้ก็ได้ เลยต้องทำให้จบในทีเดียว
“ฮู้ว โชคดีที่คุณชายสวี่ไม่ได้ทำอะไรโง่ๆ มิฉะนั้น…” เหยาว่านซินถอนหายใจเบาๆ ยิ้มให้กับเย่เสวี่ยหลิง
“คิก คิก ไม่เอาน่า ล่ายเอ๋อเขาไม่ลงมือฆ่าคนจริงๆหรอก” เย่เสวี่ยหลิงยิ้ม นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เธอเผยท่าทีว่าเกิดความสุขออกมาจากใจจริง
“ยังเป็นพี่สาวที่รู้จักคุณชายสวี่ดีที่สุด” เหยาว่านซินจับมือเย่เสวี่ยหลิง เอ่ยแซวกัน
“ซะที่ไหนกัน?” ใบหน้าของเย่เสวี่ยหลิงเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย
“ฮึ เจ้าหมอนั่นแค่โชคดีในรอบแรกเท่านั้นแหละ” หลิวเฟยเยี่ยนตะคอกอย่างเย็นชา เป็นตัวร้ายอยู่ข้างสนาม
เหยาว่านซินลอบถอนหายใจ หากไม่ใช่เพื่อติดต่อการค้ากับตระกูลหลิว และมีแผนที่จะคอยปกป้องเย่เสวี่ยหลิงอย่างลับๆ เธอคงหนีห่างไปไกลแล้ว
ณ ขณะนี้ สมาชิกของตระกูลมู่รีบวิ่งขึ้นเวที เจ็ดแปดมือช่วยกันยกมู่เป่ยเป่ยออกจากเวที
ขณะกำลังจะจากไป หลายคนจ้องสวี่ล่ายอย่างดุร้าย
“สกุลสวี่ ระวังไว้ให้ดี”
“พวกเราจะล้างแค้นให้ศิษย์น้องหญิง”
“เจ้าจําข้าไว้!”
สวี่ล่ายกลอกตาตัวเอง ชูนิ้วกลางออกมา “เหอะ!”
“เจ้า......”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
คนในตระกูลมู่เริ่มอารมณ์เดือดพล่าน อย่างไรก็ตาม สวี่ล่ายได้เดินลงจากเวทีไปแล้ว กลับไปที่อัฒจันทร์ฝั่งตะวันออก
“สกุลสวี่ เจ้าจำข้าไว้ --”
ในท้ายที่สุด นอกจากเสียงคำรามเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไร
“นายน้อย ท่านหล่อสุดๆไปเลย”
“นายน้อย ยอดเยี่ยมมาก”
“ล่ายเอ๋อ ทำได้ดีมาก”
ทันทีที่สวี่ล่ายกลับมา ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกระตือรือร้นจากทางตระกูล
“โอ้ พวกเจ้ากลับมาหมดแล้ว ที่ข้าวานเป็นอย่างไรบ้าง?” สวี่ล่ายมองดู สวี่เปาและคนอื่นๆ กลับมาอย่างปลอดภัย
“เฮ่ะ เฮ่ นายน้อย ท่านสามารถมั่นใจได้ ข้าทำตามที่สั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
สวี่เปารีบวิ่งมาขอความดีความชอบ
“นายน้อย ส่วนข้าวิ่งไปทั่วตลาดมืดทุกแห่งทั้งเล็กและใหญ่ที่มีการตั้งเดินพัน...”
ป้าง!
“ไอ้หยา!”
“อย่าพูดออกมา!”
ไม่รอให้สวี่เปียวพูดจบ สวี่ล่ายเขกหัวเขาปูดเป็นเกาลัดลูกเล็กๆ
“นาย...นายน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” สวี่เปียวรู้ว่าเขาเผลอหลุดปาก แสดงสีหน้าขมขื่น ก้มหัวลงเอามือกุมศีรษะ
“ล่ายเอ๋อ!”
“ขอรับ ท่านพ่อ!”
“เดิมพันอันใด?” สวี่เหยาเหวินถาม จ้องมองสวี่ล่ายที่ยิ้มแย้มตาไม่กระพริบ
“แค่ก แค่ก ท่านพ่อ คือเรื่องมันเป็นอย่างงี้ ...” สวีมากลืนน้ำลาย เมื่อไม่สามารถปิดซ่อนได้ ก็เล่าเรื่องที่ตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับกาเดิมพันออกมาตามตรง
“เจ้าว่ากระไร!” สวี่เหยาเหวินเลิกคิ้วขึ้นทันใด ดวงตาตัวเองก็เบิกกว้าง
“ท่านพ่อ อย่า...อย่าเพิ่งวู่วาม อันที่จริงแล้วลูก...” เห็นพ่อตัวเองเริ่มโกรธ สวี่ล่ายเริ่มกลัวนิดหน่อย
“เจ้าบอกมา ว่าไปเอาหินดวงดาวมากมายมาจากไหน” สวี่เหยาเหวินตัวสั่นด้วยความโกรธ แต่ด้วยตอนนี้รอบตัวมีผู้คนมากมาย เลยตำหนิเสียงดังไม่ได้ จำต้องกดเสียงให้เบาที่สุด
“ลูกคงไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอย่างการก่ออาชญากรรมใช่ไหม บอกมา ว่าเจ้าไปทำหินดวงดาวมากมายมาจากไหน? ถ้าวันนี้คำพูดเจ้าฟังไม่ขึ้น ข้า......”
สวี่เหยาเหวินแค่อยากจะบอกว่า ‘ข้าจะตัดพ่อตัดลูกกับเจ้า’ อย่างไรก็ตาม คำพูดต่อมากลับกลอกอยู่ในลำคอตัวเองเป็นเวลานาน สุดท้ายฝืนกลืนมันลงไป
“ท่านพ่ออย่าโกรธเลย ถึงลูกจะมีความกล้าหาญปานฟ้าดิน แต่ก็ไม่กล้าทำเรื่องอย่างการฆ่าคนและขโมยของ หินดวงดาวเหล่านี้หามาด้วยน้ำมือลูกเอง อาศัยความสามารถของตัวเอง”
สวี่ล่ายรู้ว่าพ่อตัวเองโกรธมาก เลยไม่มีทางเลือกนอกจากเล่าเรื่องศาสตร์การประสานค่ายกลของตัวเอง และขายมันทำเงิน