บทที่ 292 – ป้อมปราการเต๋อหลุนหลังการเจรจา
ระหว่างทางไปป้อมปราการเต๋อหลุน เมื่อบินผ่านหุบเหวลึกขนาดใหญ่ที่ผมเป็นคนสร้างขึ้นมาเองนั้น ผมก็เหลือบสายตามองลงไปยังเบื้องล่างของมัน เมื่อเห็นว่าสายธารของหินหลอมเหลวสีแดง เริ่มแข็งตัวจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม และไม่มีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาอีก ก็ทำให้รู้สึกสบายใจได้มากขึ้น ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้ก่อปัญหาใหญ่อะไรมากนัก และคราวหน้า การจะใช้เวทย์มนต์ต้องห้ามของเทพเจ้านี้ คงจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว
กำแพงของป้อมปราการยังคงอยู่ในสภาพพังทลาย การที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิม ไม่น่าจะเป็นงานที่ง่ายดายนัก
มู่จือใช้สองมือคล้องอยู่ที่คอของผม แนบร่างชิดอยู่ในอ้อมกอดอย่างมีสบายใจ เธอไม่ได้ใช้พลังของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้ผมพาเธอบินข้ามหุบเหวเล็ก ๆ อีกหลายแห่ง นับว่ายังเป็นโชคดีไม่น้อย ที่พลังของผมฟื้นคืนกลับมาพอสมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างมากแน่ ถ้าพวกเราต้องตกลงไปในเหวลึกพวกนี้
บางทีอาจเป็นเพราะร่างกายของผมถูกปกคลุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์สีทองจาง ๆ อยู่ ทำให้ไม่มีใครเข้ามาหยุดการเดินทางเอาไว้เลย แม้ว่าจะเข้ามาใกล้กับกำแพงของป้อมมากแล้วก็ตาม นี่ทำให้ผมสามารถร่อนลงที่หน้าประตูได้อย่างสบายใจ
ทหารที่กำลังทำหน้าที่เข้าเวรยามอยู่พากันคุกเข่าลง ก่อนจะทักทายออกมาพร้อมกัน “คารวะท่านทูตของเทพเจ้า!”
ดูเหมือนว่าพลังทำลายในวันนั้นจะยังส่งผลอยู่ ผมกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไปแล้ว ทุกคนต่างรู้จักตัวตนของผมเป็นอย่างดี แต่ตอนที่สายตาจำนวนมากจ้องมองผ่านมาถึงมู่จือ ใบหน้าอันงดงามของเธอก็กลายเป็นสีแดงกล่ำ และรีบซุกหน้าเข้ากับอกของผม ไม่กล้าเงยออกมาเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยพวกนั้นเลย
ผมกล่าวตอบพวกเขากลับไปอย่างยิ้มแย้ม “พวกเจ้าไม่ต้องมาพิธีอย่างนี้หรอก ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเถิด” แล้วร่างของผมก็กระพริบหายไป มาปรากฏตัวอยู่ด้านในของป้อมปราการแล้ว แน่นอนว่าตัวของมู่จือยังอยู่ในอ้อมกอดของเหมือนเดิม
แต่คราวนี้เธอรีบผลักตัวเองให้ออกห่างจากผมทันที ก่อนที่จะบ่นออกมาด้วยใบหน้าที่ยังแดงกล่ำ “นายนี้มันจริง ๆ เลย ทำไมถึงไม่ปล่อยฉันก่อนที่จะลงไปเจอกับคนพวกนั้น?”
ผมยิ้มออกมาอย่างร่าเริง “ก็เธอไม่ได้ขอให้ฉันปล่อยเองนี่ ฉันก็นึกว่าเธอกำลังสบายอยู่ในอ้อมอกอันอบอุ่นอยู่นี่นา”
เธอจ้องผมเขม็ง ด้วยอาการกัดฟันกรอด ก่อนจะถามออกมา “แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันก่อน? จะไปหาเสี่ยวจินกับเสี่ยวโร่วก่อน หรือว่าจะไปหาน้องชายคนดีของนาย หม่าเคอ?”
ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะต้องไปหาหม่าเคอกันก่อน ฉันกลัวว่าเขาจะไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก เพราะสุดท้ายฉันก็เป็นคนที่ทำให้พ่อของเขาต้องหนีไป”
มู่จือถอนหายใจ “เรื่องนั้นมันไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย นายไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเกิดขึ้นนี่ มันเป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อภาพรวมของสถานการณื แต่จะไปหาเขาก่อนก็ได้ ไปกันเถอะ!”
ผมเดินจูงมือมู่จือมุ่งหน้าไปที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ทันที ทหารที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็อยู่ในอารมณ์ที่ยินดี แม้ว่ากำแพงของป้อมปราการจะพังถล่มลงไป นั่นทำให้ผมหมดความสงสัยกับความพยายามที่จะเจรจาเพื่อสร้างสันติภาพขึ้นมาในครั้งนี้ ผมเดินก้มหน้าเพื่อพยายามปิดบังไม่ให้มีใครจำตัวเองได้ เฮ้อ! เจ้าแผลเป็นพวกนี้นี่มันยุ่งยากจริง ๆ ใครเห็นก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นผม ดูเหมือนว่ามู่จือจะจับอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีของผมได้ เธอรีบเข้ามาคล้องแขนผมไว้อย่างรวดเร็ว นั่นทำให้รู้สึกได้เลยว่าเธอแสดงความเห็นใจอยู่ แต่ตอนนี้ ผมไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเงาดำในใจอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่มู่จือไม่หนีจากผมไป ต่อให้ผมกลายเป็นคนอัปลักษณ์แล้วจะยังไงล่ะ?
หลังจากที่เดินกับมาสักพัก ในที่สุดพวกเราก็มาถึงศูนย์บัญชาการใหญ่ของป้อมปราการแห่งนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะการเจรจาสงบศึกนั้นประสบความสำเร็จ การเฝ้าระวังความปลอดภัยดูจะลดน้อยลงไปมาก มีเพียงทหารที่อยู่ในชุดของอาณาจักรต้าลู่เพียง 8 นายยืนเฝ้าประตูทางเข้าอยู่เท่านั้น และทันทีที่พวกเราเดินเข้าไปใกล้ ทหาร 2 นายก็รีบออกมาขวางทางเอาไว้ทันที “หยุดเดี๋ยวนี้ ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม! จะเข้ามาตามใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
ผมเงยหน้าขึ้น พร้อมกันนั้นก็นำคทาเวทย์ซู่เกอลาออกมาจากชุดคลุมเวทย์ แล้วกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้คิดที่จะบุกรุกเข้าไป แค่ต้องการขอเข้าพบกับเจ้าชายของอาณาจักรอ้ายเซี่ย องค์ชายหม่าเคอ!”
ทหารรักษาการณ์ที่ยืนขวางหน้าผมอยู่ทั้งสองคนจำได้ในทันที เสียงของพวกเขาอึกอัก ๆ ออกมา “ท่าน...ท่าน..คือ...”
ผมพยักหน้า “ถูกแล้ว! ข้าชื่อเว่ยจางกง! ต้องรบกวนพวกเจ้าเข้าไปรายงานให้ข้าด้วยแล้ว ขอบคุณมาก”
พวกเขาโค้งคำนับไม่หยุด ก่อนจะกล่าวออกมา “นั่นไม่จำเป็น ๆ เชิญท่านเข้าไปด้านในได้เลย ท่านคือทูตของเทพเจ้า ไม่จำเป็นต้องเข้าไปรายงาน ท่านสามารถเข้าไปได้เลย ของเชิญท่านเลยขอรับ” ทั้งสองคนรีบหลบออกด้านข้าง เพื่อเปิดทางให้ผมเข้าด้านในทันที
เมื่อเดินจากพวกเขามาแล้ว ผมยังสามารถได้ยินเสียงคุยกันอยู่ด้านหลัง
“เขาคือท่านทูตของเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงได้ทำตัวตามสบายแบบนี้ได้นะ? ถือว่าเป็นคนดีจริง ๆ แม้ว่าหน้าตาจะดูอัปลักษณ์ไปสักหน่อย”
ทหารอีกคนส่งเสียงดูถูกออกมา “เจ้ามันไม่รู้อะไรเสียบ้างเลย ท่านทูตของเทพเจ้าเมื่อก่อนนี้เป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าการต่อสู้กับเผ่ามารทำให้หน้าตาของท่านกลายเป็นแบบนี้ เจ้าเห็นสาวงามที่อยู่ด้านข้างของเขานั่นหรือไม่? เธอน่าจะเป็นเจ้าหญิงของเผ่าปีศาจ ถ้าท่านทูตอัปลักษณ์อย่างนี้มาตั้งแต่ต้น เจ้าหญิงองค์หนึ่งจะติดตามเขาได้อย่างไร?”
ทหารอีกนายกล่าวออกมาบ้าง “บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ มันมีคำพูดอยู่ว่า สาวงามเคียงคู่วีรบุรุษ จะมีใครเป็นวีรบุรุษมากไปกว่าท่านทูตของเทพเจ้าเว่ยจางกงได้อีก? ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำการเจรจาสงบศึกประสบความสำเร็จขึ้นได้ ทั้งเจ้าทั้งข้าคงต้องออกไปทำสงครามอีกแน่”
เสียงของทหารคนแรกกล่าวยอมรับออกมา “ที่เจ้าพูดก็ฟังดูมีเหตุผล การที่ไม่ต้องออกไปทำศึกนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก พี่น้องทั้งหลาย เอาเป็นว่าพอพวกเราออกเวรแล้ว ไปหาอะไรดื่มฉลองกันหน่อยดีกว่ามั้ย?”
...............
ผมกับมู่จือหันมามองหน้ากัน แล้วเผยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขออกมาพร้อมกัน
พวกเราสองคนมุ่งตรงไปที่ห้องรับรองของศูนย์บัญชาการ ตอนนี้หม่าเคอกับคนอื่น ๆ น่าจะอยู่กันที่นั่น และเป็นไปตามที่ผมคิดเอาไว้ ตอนที่เดินเข้าไปในห้องรับรอง ไม่เพียงแต่หม่าเคอเท่านั้น จอมพลฟงห้าวจากอาณาจักรต้าลู่ก็อยู่ในห้องนี้ด้วย เพียงแต่ไม่พบตัวของเจ้าชายจากอาณาจักรซิวต้าเท่านั้น
ทั้งฟงห้าวและหม่าเคอดูจะตกตะลึงอยู่ไม่น้อยที่เห็นพวกเราเดินเข้าห้องมาในห้อง หม่าเคอรีบลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเดินออกมาต้อนรับพวกเรา พร้อมด้วยเสียงที่เกือบจะเหมือนการตะโกน “ทำไมพี่ถึงได้หายไปหลายวันนัก? หรือว่าพี่จะไม่เชื่อใจในอาณาจักรของตัวเองอีกแล้ว?”
ผมส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มออกมา “ฉันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง? ฉันจะไม่เชื่อใจพี่น้องของตัวเองได้ยังไง? ต่อให้ฉันไม่เชื่อถือในอาณาจักรที่ฉันเติบโตมา แต่ฉันจะยังเชื่อใจนายเสมอนั่นแหละ!”
ดวงตาของหม่าเคอเริ่มชื้นแดงขึ้นมาแล้ว “เรื่องก่อนหน้านี้เป็นความผิดของท่านพ่อเองทั้งหมด เขาปิดบังผมมาเป็นเวลานาน ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เกลี้ยกล่อมเขาเลยแม้แต่น้อย ตอนที่ผมรู้แผนการของเขา มันก็สายเกินกว่าที่จะหยุดได้แล้ว พี่ใหญ่! พลังของพี่นั้นช่างน่ากลัวเหลือเกินจริง ๆ ต่อจากนี้ไป ท่านพ่อคงจะไม่มีหน้ากลับมาทำหน้าที่ปกครองอาณาจักรอ้ายเซี่ยอีกแล้ว” อย่างไรเสีย ราชาเคอจาก็เป็นบิดาของเขา นั่นทำให้ท่าทางและสีหน้าของเขาดูหมองหม่นเป็นอย่างยิ่ง
ผมเอ่ยถามเขาออกไป “แต่อ้ายเซี่ยจะขาดผู้นำไม่ได้ ในเมื่อท่านลุงเคอจาได้ตัดสินใจที่จะจากไป เขาคงจะสั่งการอะไรไว้บ้างแล้วใช่หรือไม่?”
นั่นทำให้เขาหน้าแดงขึ้นมาทันที ก่อนที่จะสามารถรวบรวมความกล้ากล่าวออกมาได้ “พี่ใหญ่ ท่านพ่อได้ฝากจดหมายเอาไว้ก่อนที่เขาจะจากไป บางทีอาจจะเป็นเพราะผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ เขาถึงได้ออกคำสั่งให้ผมเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อรับสืบทอดบัลลังก์ทันทีที่เรื่องราวทุกอย่างที่นี่เรียบร้อยแล้ว”