ตอนที่ 135 สังหารปรมาจารย์!
ตอนที่ 135 สังหารปรมาจารย์!
จากนั้นคนในกลุ่มก็เริ่มคุยเกี่ยวกับค่าปราณโลหิตของแต่ละคนรวมถึงพลังยุทธ์และสถานที่สอบวิชาศิลปะการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้
ลู่เซิงมองแล้วเลิกสนใจ เขาเอนหลังพิงเก้าอี้เบาๆ และเงยหน้าขึ้นมองเพดาน
วิลล่าหลังนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงามและรายละเอียดต่างๆก็ทำได้ดี
ลู่เซิงจ้องมองลวดลายที่มุมเพดานพลางนึกถึงผลประโยชน์ที่ได้รับในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
เวลานี้ กำลังภายในของเขาถึงจุดสูงสุดของระดับ 4 แล้วพร้อมบรรลุระดับ 5 ได้ทุกเมื่อ
ในความเป็นจริง ลู่เซิงสามารถบรรลุระดับ 5 ได้ตั้งนานแล้ว เขาล่าช้าเพราะต้องการขัดเกลากำลังภายในของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย 《เคล็ดปราณธรรมชาติ》
เขาขัดเกลามันสองครั้งแล้วก่อนหน้านี้และตอนนี้ครั้งที่สามก็กำลังจะสำเร็จ
กำลังภายในสีทองจางๆ ของเขาตอนนี้เป็นเหมือนอำพันในตัวเขา พลังของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับตอนแรก
ส่วนอื่นๆ《คัมภีร์จุติเทพนรก》ได้บรรลุถึง 25% แล้วและมันก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากร่างกายมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแถมเขายังอยู่ในช่วงที่ร่างกายและพละกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ลู่เซิงที่สร้างหัวใจของเขาแล้วต้องกลับไปแก้ไขอย่างยากลำบาก
และหลังจากที่เขาบรรลุกายาอมตะทองคำขั้นแรก ขั้นที่สองก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ลู่เซิงสามารถใช้พลังดวงดาว 20 เท่าได้แล้ว
วิชาปราณทั้งสี่ก็ก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน
วิชาปราณสายลม,ปฐพีและอัศนีของเขาบรรลุถึงขั้นแรกแล้ว ส่วนวิชาปราณอัคคีมาถึงขั้นที่สองอย่างรวดเร็ว
วิชาปราณอัคคีขั้นที่สอง นอกจากจะสามารถสร้างลูกไฟจากอากาศได้แล้ว มันยังสามารถโจมตีเป็นวงกว้างได้อีกด้วย แน่นอนว่าสิ่งนี้สามารถแสดงให้เห็นได้ในการต่อสู้จริงเท่านั้น
ในช่วงเวลานี้ ลู่เซิงต่อสู้กับปรมาจารย์วาลคิรีทุกวันจนเขาในตอนนี้สามารถต่อสู้กับเธอได้นานถึง 5 นาทีเต็มโดยไม่ตาย!
เขาพัฒนาขึ้นมาก เมื่อเทียบกับการพ่ายแพ้ทันทีในตอนแรกพบ
แน่นอนว่าต้องขอบคุณสิบวิถียุทธ์สัมบูรณ์ขั้นแรกด้วยเช่นกัน
หลายเดือนมานี้ ลู่เซิงดูดซับเศษความทรงจำในมิติความฝันไปมากมายจนนับไม่ได้
แม้ว่าจะมีความทรงจำที่ซ้ำซากจำเจและไร้ประโยชน์มากมายในนั้น แต่พวกมันก็ได้ผลักดันวิชายุทธ์ทั้งหมดของเขาไปสู่จุดสูงสุดของขั้นสมบูรณ์
ผลที่ตามมาทำให้พละกำลังของลู่เซิงพุ่งสูงขึ้นเมื่ออยู่ในร่างสิบวิถียุทธ์สัมบูรณ์ขั้นแรก
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่เกิดจากการสะสมเชิงปริมาณ
“ถ้าวิชายุทธ์ทั้งหมดของฉันทะลวงอีกครั้ง สิบวิถียุทธ์สัมบูรณ์จะเข้าสู่ขั้นที่สองได้ไหมนะ...”
ลู่เซิงไม่แน่ใจ แต่เขารอได้
ความจริงแล้วเมื่อเทียบกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งที่ลู่เซิงต้องการมากกว่าคือการเอาชนะปรมาจารย์วาลคิรีในมิติความฝัน
นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในช่วงเวลานี้
“หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว สิทธิ์ของฉันต้องไปถึงระดับ 4 แน่นอนและเมื่อฉันได้รับบทต่อไปของเคล็ดวิชาระดับ 11 ทั้งสาม ฉันสามารถเปลี่ยนกำลังภายในเป็นพลังปราณและบรรลุระดับ 5 ได้ ถึงตอนนั้นแม้จะเป็นปรมาจารย์วาลคิรีฉันก็เอาชนะได้ง่ายๆ...”
ยิ่งลู่เซิงต่อสู้กับปรมาจารย์วาลคิรีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโหยหาวิชาหอกที่งดงามและยอดเยี่ยมของเธอมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่า...ตอนนี้ลู่เซิงจะมีอาวุธของตัวเองแล้วก็ตาม
“กลิ้ง—” เสียงมีดหลุดออกจากฝัก
มีดเงินหลายร้อยเล่ม แต่ละเล่มมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือพุ่งออกมาจากด้านหลังของลู่เซิง
มีดเหล่านี้หมุนวนอย่างรวดเร็วรอบเพดานห้องและรวมตัวกันเป็นดาบโค้งสีเงินรูปพระจันทร์เสี้ยวที่มีพื้นผิวขรุขระ
—วงล้อมีดอนันต์
ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังจากที่ลู่เซิงกลับบ้าน ถังเหมาหลินได้โอนเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการขายแร่มิลธิลเข้าบัญชีของลู่เซิง
รวมทั้งสิ้น 2.7 พันล้าน
หรือก็คือเหมืองมิธริลที่ลู่เซิงค้นพบมีแร่มิธริลทั้งหมด 27 กิโลกรัม
ในชั่วข้ามคืน ลู่เซิงกลายเป็นมหาเศรษฐี
แต่แล้วในชั่วข้ามคืนอีกครั้ง เขาก็กลับมายากจนเหมือนเดิม
เพียงแค่ซื้อวัสดุใช้สร้างวงล้อมีดอนันต์ก็ทำให้ลู่เซิงเสียเงินไปกว่า 2.6 พันล้าน
วัสดุใช้สร้างที่จำเป็นสำหรับวงล้อมีดอนันต์มีค่ามากกว่าอาวุธมิธริลทั่วไปหลายเท่า!
ลองคิดดู ด้ายมิธริลที่ลู่เซิงได้รับจากผู้ใช้พลังจิตระดับ 3 ก่อนหน้านี้มีน้ำหนักเพียงไม่กี่กิโลกรัม
แต่วงล้อมีดอนันต์ที่เขามีอยู่ตอนนี้หนักถึง 30.7 กิโลกรัม!
ต่อจากนั้นเขาใช้เงินไปหลายล้านเพื่อจ้างคนให้สร้างมันขึ้นมาในเว็บไซต์ดวงดาวและนั่นคือหลังจากใช้ใบรับรองของผู้ใช้พลังจิตระดับ 4 เพื่อขอส่วนลด
หลังจากเรื่องทั้งหมด ตอนนี้ลู่เซิงเหลือเงินเพียงไม่กี่ล้าน
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาวางแผนว่าจะซื้อวัสดุใช้สร้างวงล้อมีดอนันต์ด้วยเงิน 5 ล้าน ลู่เซิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ใช้พลังจิตถึงมีรายได้ดีเพราะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้...
อาชีพนี้เป็นหลุมดูดเงินไร้ก้นบึ้ง!
แน่นอน หลังจากได้รับวงล้อมีดอนันต์แล้วลู่เซิงยังรู้สึกว่ามันคุ้มค่า!
ดาบโค้งสีเงินขนาดใหญ่ยาวเกือบหนึ่งเมตรและกว้างครึ่งเมตรลอยอย่างเงียบงันในอากาศสะท้อนแสงสีเงินลึกลับภายใต้หลอดไฟในห้อง
ถ้ามันอยู่ในสนามรบ ใครจะไปรู้ว่าเครื่องจักรสังหารที่น่าสะพรึงกลัวได้กลายเป็นอาวุธหรูหราและสวยงามเช่นนี้และในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ลู่เซิงยังฝึกกระบวนท่าสังหารหนึ่งกระบวนท่าของวงล้อมีดอนันต์สำเร็จ
ต่ำกว่าจอมยุทธ์ระดับ 5 กระบวนท่าสังหารนี้เพียงครั้งเดียว
คำอธิบายของกระบวนท่าสังหารนี้ในฐานข้อมูลเชื้อไฟประกอบด้วยคำเพียงสี่คำที่เรียบง่าย—สามารถสังหารปรมาจารย์ได้!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการตีความอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับพลังของกระบวนท่านี้ ปรมาจารย์คงไม่ยืนรอให้คุณโจมตีหรอกจริงไหม?
แต่หมายความของมันก็คือสามารถทะลวงผ่านสนามพลังของปรมาจารย์ได้และมีโอกาศทำร้ายหรือแม้แต่สังหารปรมาจารย์ระดับ 7
ถึงกระนั้นจากคำสี่คำนี้ ลู่เซิงมองเห็นเขี้ยวเล็บที่แท้จริงของผู้ใช้พลังจิตได้อย่างแผ่วเบา
แม้จะผ่านไป 10,000 ปีในอนาคต ผู้ใช้พลังจิตก็ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่จอมยุทธ์ระดับสูง
มันไม่ได้ไร้เหตุผล
ระดับ 5 สามารถสังหารปรมาจารย์ได้
จากนั้นระดับ 6 ระดับ 7...
แล้วทักษะจิตที่แข็งแกร่งกว่าวงล้อมีดอนันต์จะเป็นเช่นไร?
เส้นประสาททั้งหมดในร่างกายของลู่เซิงสั่นสะท้านแม้แต่เซลล์สมองทั้งหมดของเขา
ชื่อของท่าสังหารนี้ครอบงำมาก—ตัดชีวิตสู่ยมโลก!
“เมื่อแสงสีเงินบนวงล้อมีดผลิบาน จงปล่อยวางบนเส้นทางสู่ความตาย...”
ลู่เซิงถึงกับคิดสโลแกนสำหรับท่าสังหารของเขา แต่เมื่อคิดอีกที เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
อืม..เขาต้องการไอเดียใหม่ๆ
"ตัดชีวิตสู่ยมโลกสามารถรวมเข้ากับเจตจำนงปรมาจารย์ของฉันได้และเพราะกำลังภายในของฉันเป็นสีทอง แสงของวงล้อมีดอนันต์ควรจะเป็นสีทอง..."
ลู่เซิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“อืมถ้าเป็นฉันในตอนนี้จะรับฝ่ามือของหยูเฟยอี้ได้ไหมนะ?” ลู่เซิงครุ่นคิดและดวงตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นด้วยความปรารถนาที่ต้องการย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขารับฝ่ามือของหยูเฟยอี้ระหว่างการคัดเลือกนายพลดาวรุ่ง
เขาประเมินว่าตอนนี้เขาสามารถทำร้ายหยูเฟยอี้จนบาดเจ็บสาหัสได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ท้ายที่สุด เขาได้ทดสอบท่าสังหารนี้กับปรมาจารย์วาลคิรีแล้วและผลลัพธ์ก็คือปรมาจารย์วาลคิรีเกือบจะได้ลาโลก
อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณต่อสู้ของปรมาจารย์วาลคิรีแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อเหนือกว่าปรมาจารย์ทั่วไปมาก
หลังจากใช้ท่าสังหารนี้แล้ว พลังจิตระดับ 5 ของลู่เซิงจะหมดลงอย่างสมบูรณ์ทำให้เขาไม่มีกำลังต่อต้านและในวินาทีต่อมาเขาก็ถูกหอกของปรมาจารย์วาลคิรีแทงแล้วโยนทิ้งราวกับเป็นเศษขยะ
“อืม...ฉันยังอ่อนแออยู่นิดหน่อย ถ้าฉันสามารถใช้ท่าสังหารนี้ได้อีกสัก 2-3 ครั้ง แม้แต่ปรมาจารย์วาลคิรีก็ยังต้องร้องขอความเมตตาจากฉัน ท้ายที่สุดเธอไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แท้จริงอีกต่อไปแล้ว”
สรุปในช่วงหลายเดือนมานี้ ความแข็งแกร่งโดยรวมของลู่เซิงเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พละกำลังของเขาไปถึงระดับไหนแล้ว
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการทดสอบ
"แชมป์(ที่หนึ่ง)ระดับเมือง แชมป์ระดับจังหวัด..." ลู่เซิงพึมพำกับตัวเองด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
"เป้าหมายของฉันไม่ได้อยู่แค่ตรงนี้!"
"พี่ชาย!" เสียงตะโกนแทรกเข้ามาในความคิดของ ลู่เซิง
"ลงมากินอาหารเย็นเร็วเข้า! อาหารเย็นพร้อมแล้ว!"
ลู่เซิงเดินไปที่นอกห้องของเขาและยืนอยู่ที่ทางเดินบันได เขย่าโทรศัพท์ในมือพลางขมวดคิ้ว "ลู่ชิงเหอ เธอรู้ไหมว่าโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าโทรศัพท์อยู่"
ลู่ชิงเหอในห้องนั่งเล่นแลบลิ้นออกมาและขอโทษ "หนูชินกับการตะโกนแล้ว มันทำให้หนูลืมไปเลย!"
ลู่เซิงส่ายหัวและเดินลงมาชั้นล่าง
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาได้ฝึกลู่ชิงเหออย่างหนัก อาศัยเทคนิคฝึกกายและซุปยาโลหิตเสริมกล้ามเนื้อ ลู่ชิงเหอบรรลุจอมยุทธ์ระดับ 1 แล้ว แต่เธอแค่ยังไม่ได้เข้ารับการประเมิน
ยิ่งไปกว่านั้น ในแง่ของวิชายุทธ์ ลู่ชิงเหอซึ่งถูกลู่เซิงทรมานอย่างโหดเหี้ยมมาเป็นเวลาหลายเดือนนั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ธรรมดาสามารถเปรียบเทียบได้อีกต่อไป
ทันทีที่เขามาถึงห้องนั่งเล่น กลิ่นหอมของเนื้อก็โชยมาจากโต๊ะอาหาร
เจิ้งหยูเฟินโชว์ทักษะทำอาหารของเธอด้วยการเตรียมอาหารเต็มโต๊ะในเวลาเพียงไม่นาน
ตอนนี้อาหารปกติในบ้านของลู่เซิงถูกแทนที่ด้วยเนื้อสัตว์ต่างดาวแล้ว
ในฐานะนายพลดาวรุ่งที่ได้รับการยกย่องจากนายพลหยูเฟยอี้ มันคงไม่มากเกินไปใช่ไหมที่ลู่เซิงจะได้รับเนื้อสัตว์ต่างดาวจากเขตทหารตะวันออกทุกสัปดาห์?
ไม่เลย
ตงชิงเสวี่ยเคยบอกว่าเนื้อเหล่านี้เกือบจะกองเป็นภูเขาในเขตทหารตะวันออกและพวกเขาต้องขนมันกลับมาจากสนามรบแนวหน้าทุกวัน
พวกมันไร้ค่าจริงๆ และดูแลยุ่งยาก เนื้อสัตว์ต่างดาวหลายชุดเคยถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแลและเน่าเสียในโกดังมาแล้ว
เมื่อลู่เซิงเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารเขาเห็นเจิ้งหยูเฟินกำลังจัดโต๊ะ ในขณะที่ลู่ต้าไห่นั่งบ่นอยู่หน้าโต๊ะด้วยสีหน้าไม่พอใจ