บทที่ 40: เมืองเฮยเหยี่ยน
ตอนที่เริ่มออกวิ่งถังเจิ้นก็อยากจะใช้เทเลพอร์ตหนีไปซะเหลือเกิน นอกจากขาที่ทั้งเจ็บทั้งชาอยู่แล้วหน้าอกของเขาก็แน่นจนหายใจแทบไม่ออก
เมื่อหันหน้าไปดูก็พบว่านอกจากไอ้นายร้อยซากศพทั้งสามตัวที่ไล่ฆ่าเขาแล้วยังมีคนอีกหลายสิบคนที่วิ่งตามอย่างไม่ลดละ คือระหว่างการไล่ล่านี้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ในขณะที่ชื่นชมความอุตสาหะของคนเหล่านี้ถังเจิ้นก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนเองอาจพึ่งพาพวกของโกง ๆ เหล่านั้นมากจนเกินไป ถึงขนาดละเลยการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองไป
นี่แค่นายร้อยซากศพ 3 ตัวยังทำเอาวุ่นปานนี้ ถ้าเกิดไอ้ตัวราชามันไล่ล่าเองเลยล่ะ ไม่ตุยเย่เลยเหรอ?
เมื่อนึกได้ดังนี้ถังเจิ้นก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
ในแง่ของการฝึกฝนตนเองเทียบกับราชาซากศพหลิงเหน่าไม่ได้เลย ซึ่งไม่แปลกเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงราชาซากศพผู้ยิ่งใหญ่ หากต้องคัดเลือกนายพลมาเป็นลูกน้องล่ะก็อย่างน้อย ๆ มันต้องระดับหลิงจู่!
การขัดขืนอย่างโง่เขลาไม่ทำให้สู้มันไหว แต่เขาก็มีการเทเลพอร์ตที่ช่วยให้หลบหนีได้อยู่
กระนั้นการใช้มันก็มีความเสี่ยง เพราะหากว่าราชาซากศพหลิงเหน่ามีความสามารถในการถอดรหัสและจำกัดการเทเลพอร์ตของเขาได้ล่ะก็ซวยเช็ด
แอปพลิเคชันอินฟราโซนิกถูกบังคับให้ต้องปิดลงทันที่ที่เขามัวแต่เหม่อมองตอนวิญญาณของราชาซากศพลงมาสถิต และฝ่ายตรงข้ามก็ใช้พลังบังคับปิดดังกล่าวซึ่งหมายความว่าตัวเขาย่อมไม่มีแรงขัดขืนมันได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่อีกฝ่ายถ่ายทอดลงมานั้นยังเป็นแค่เสี้ยววิญญาณ หากมันแข็งแกร่งขึ้นว่านี้อีกนิดล่ะก็สถานการณ์ต้องเลวร้ายสุดขีดแน่ ไม่รู้ว่าเขาจะหนีมาได้ครบสามสิบสองแบบนี้อยู่มั้ย?
ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวังสุดขีดสิ่งเดียวที่พึ่งพาได้คือพลังของตนเองเท่านั้น!
ซึ่งมันจะได้มากจากการฝึกฝนและเคี่ยวกรำอย่างหนัก นี่คือความจริงอันเป็นนิรันดร์!
ถังเจิ้นถามตัวเองว่าในหมู่นักรบในระดับเดียวกันเขาจะสามารถเอาชนะผู้พเนจรได้เนื่องจากร่างกายของตนดีและสมบูรณ์กว่าผู้พเนจรเหล่านั้นนี่จริงหรือไม่?
คำตอบคือจริง!
แต่เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับนักรบของโหลวเฉิงล่ะ เขาก็ถามตัวเองอีกครั้งและคำตอบที่ได้คือ ‘ไม่แน่ใจ’ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นฉากการต่อสู้ของนักรบโหลวเฉิงมาแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วก็พบว่าประสิทธิภาพในการต่อสู้ของนักรบโหลวเฉิงนั้นไม่ได้สูงไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย
ทว่าทั้ง ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันแท้ ๆ แต่ทำไมล่ะ ทำไมพวกนั้นถึงแข็งแกร่งนัก แสดงว่าผลลัพธ์ที่เห็นนั้นไม่ได้มาจากการฝึกหนักเพียงอย่างเดียวงั้นสิ?
แม้ว่าเงื่อนไขการการฝึกฝนของนักรบโหลวเฉิงจะสูงกว่านักรบป่าอย่างผู้พเนจรมากก็ตาม แต่ถังเจิ้นเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ยังจะเหนือกว่ามากซะด้วยซ้ำ
แล้วทำไมล่ะ ทำไมตนเองถึงได้แย่กว่าคนเหล่านั้น
ก็เพราะตนเองเอาแต่พึ่งพาสิ่งภายนอกมากเกินไปจนละเลยการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองยังไงล่ะ!
เมื่อคิดได้ดังนี้แววตาของถังเจิ้นก็แข็งกร้าว ถ้าเป็นงั้นก็มาจัดหนักกันตั้งแต่วันนี้ไปเลย ขอดูหน่อยซิว่าตัวเองจะสามารถทะลุขีดจำกัดได้หรือไม่!
แน่นอนวิธีการนั้นไม่ใช่การโยนตัวเองลงไปสู่สถานการณ์อันตราย แต่จะกระตุ้นพลังสูงสุดของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อถึงจุดที่ทำอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ถึงค่อยเปิดใช้งานเทเลพอร์ตหนีไป
ดังนั้นถังเจิ้นจึงกัดฟันและยืนหยัดที่จะวิ่งต่อไป แม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยจนปอดแทบจะกระโจนออกมาจากปาก แต่กลับยังไม่รู้สึกว่าตัวเองได้แตะขีดจำกันแล้วเลย ดังนั้นเขาจึงได้แต่กัดฟันวิ่งต่อด้วยความอดทน
กันฟันทนวิ่งไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งตอนนี้สติของเขาได้ตกลงสู่ภวังค์ แต่เขากลับรู้สึกถึงพลังงานอื่นที่เล็ดลอดออกมาจากส่วนลึกของร่างกาย
แม้ว่าพลังงานนี้จะเบาบางเหมือนใยแมงมุม แต่ก็ยังทำให้ถังเจิ้นมีความสุขได้ เขารู้ว่านี่คือพลังที่มีศักยภาพสูงสุดที่ตนต้องการ
พลังนี้เป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำในความแข็งแกร่งของนักรบระดับเดียวกัน นักรบโหลวเฉิงสามารถกระตุ้นพลังนี้ขึ้นมาได้ผ่านการสืบทอดและความช่วยเหลือภายนอก
ทว่านักรบป่ากลับมีปัญหาในเรื่องนั้นมากมายจึงมีไม่กี่คนที่สามารถเจอกับไอเดียนี้และเข้าถึงขุมพลังนี้ได้!
เนื่องจากการตื่นขึ้นของพลังที่รุนแรงนี้ทำให้ถังเจิ้นรู้สึกมีพละกำลังเต็มเปี่ยมอีกครั้ง และเมื่อเขากำลังจะวิ่งต่อไปก็พบว่ามีอาคารขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าแล้ว
พอมองดูดี ๆ ก็พบว่ามันคือเจ้าเหนือหัวของแดนทุรกันดารละแวกนี้ โหลวเฉิง เมืองเฮยเหยี่ยน
ในเวลานี้ที่ประตูเมืองเฮยเหยี่ยนได้มีนักรบกลุ่มหนึ่งรีบออกมาอย่างรวดเร็วโดยขี่ม้าศึกมุ่งหน้าตรงมาหาถังเจิ้น
เดาได้ว่าเป็นนักรบที่อารักขาโหลวเฉิงอยู่และพบว่ามีนายร้อยซากศพสามตัวกำลังวิ่งเข้ามาที่เมือง
นักรบเหล่านี้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาความปลอดภัยของเมืองเฮยเหยี่ยน ดังนั้นย่อมไม่ยอมให้มอนสเตอร์ตัวใดอย่างพวกนายร้อยซากศพนี่เข้าใกล้ที่นี่ได้โดยเด็ดขาดอยู่แล้ว ไม่งั้นจะเท่ากับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ในเวลาเดียวกันกับที่นักรบผู้พิทักษ์เมืองเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นถังเจิ้นก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในโหลวเฉิงไปพร้อม ๆ กัน
บนหน้าต่างที่สูงขึ้นไปเหนือพื้นห้าสิบเมตรในเมืองเฮยเหยี่ยน ถังเจิ้นเห็นร่างหลายร่างสั่นไหวราวกับว่ากำลังใช้งานอุปกรณ์บางอย่าง
ครู่ต่อมาก็จุดสีดำหลายจุดพุ่งออกมาจากหน้าต่างโดยมีเป้าหมายอยู่ที่นายร้อยซากศพที่ไล่ตามเขามา
“ฉึก ๆ ๆ ๆ ๆ!”
หลังจากเสียงเหมือนถูกเสียบหลายครั้งดังขึ้นนายร้อยซากศพทั้งสามก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า แต่สุดท้ายก็โดนลูกดอกสีดำขนาดมหึมาหลายดอกยิงถล่มใส่อยู่ดี!
ลูกดอกสีดำขนาดใหญ่ได้เจาะเข้าไปในร่างของนายร้อยซากศพที่สูงหลายเมตร ฉากนี้ช่างเด่นสะดุดตาเหลือเกิน
ลูกดอกสีดำคมกริบนี้มีอันตรายร้ายแรงถึงตาย ต่อให้เป็นร่างกายอันแข็งแกร่งของนายร้อยซากศพก็ไม่อาจต้านทางอาวุธปกป้องเมืองอันทรงพลังนี้ได้
นักรบม้าศึกและคนที่วิ่งไล่ตามมาอาศัยจังหวะที่พวกมันถูกเสียบและช้าลงนี้เข้ารุมประชาทัณฑ์พวกมันทั้งสามอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เกรงกลัวความตาย
มดก็ฆ่าช้างได้ถ้ามีเยอะพอ เสือก็วิ่งหนีหมาป่าได้ถ้าเจอเป็นฝูง!
เพียงไม่กี่นาทีนายร้อยซากศพทั้งสามได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ร่วงลงไปชักกระตุกอยู่กับพื้นก่อนที่จะโดนตัดหัวและตกตายลงไปโดยสมบูรณ์
ถังเจิ้นซึ่งนั่งดูเงียบ ๆ ข้าง ๆ กันนั้นได้เห็นฉากทั้งหมดนี้ และในใจของเขาก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะมีกองกำลังเป็นของตัวเอง
จะทำอะไรก็ไม่ต้องทำเอง เวลาจะตีกับใครแค่สั่งคำเดียวพวกลูกน้องก็จะจัดให้อย่างเร่งรีบ ก็แค่คิดเพลิน ๆ ไว้ก่อนอะนะ
ไม่ได้ ต้องไปบอกเฉียนหลงให้รู้ก่อนว่าอีกไม่นานจะมีอันตรายร้ายแรง เพราะงั้นต้องเกณฑ์คนมาเป็นกองทหารให้โดยเร็วที่สุด
ถ้าเขาสามารถรับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรงพลังได้ล่ะก็ ต่อให้ราชาซากศพหลิงเหน่าจะมาเองเขาก็ยังมีคนอื่น ๆ คอยช่วยเหลือ และโอกาสที่จะเอาชนะมันได้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย... มั้ง?
ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ถังเจิ้นก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เขาแทบรอไม่ไหวอยากจะรีบวิ่งกลับไปคุยกับเฉียนหลงในเมืองผู้พเนจรมันเดี๋ยวนี้เลย แต่กลับติดตรงที่ตอนนี้ขาเขาทั้งเจ็บทั้งชา และเมื่อลองลุกขึ้นยืนดูก็ร่วงลงไปกองกับพื้นทันที
ถังเจิ้นทำได้เพียงแค่ยิ้มบิด ๆ เบี้ยว ๆ ให้ตัวเอง เพราะแม้ครั้งนี้จะสามารถกระตุ้นเอาพลังอันสูงสุดออกมาได้สำเร็จก็ตาม แต่ร่างกายก็เสียหายไม่น้อยเลย เกรงว่าต้องพักผ่อนอีกนานกว่าจะฟื้น
ในเมื่อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราวถังเจิ้นจึงนำกล้องโทรทรรศน์ออกจากพื้นที่จัดเก็บและเริ่มสังเกตสถานการณ์ในเมืองเฮยเหยี่ยนอย่างระมัดระวัง
ดูจากภายนอกเมืองเฮยเหยี่ยนก็คล้าย ๆ กับอาคารที่อยู่อาศัยทั่วไปในโลกเดิม แต่ดูเรียบง่ายและแข็งแรงกว่า มันเหมือนหินสีดำที่ทำลายไม่ได้ บางทีอาจเป็นที่มาของชื่อเมืองเฮยเหยี่ยนก็เป็นได้
หน้าต่างส่วนใหญ่นอกเมืองไม่เหมือนกับที่ติดอยู่ในอาคารที่อยู่อาศัย เพราะถ้าไม่ถูกปิดตายก็ถูกเปลี่ยนเป็นแท่นยิง ที่ตึกบนสุดมีหน้าไม้ขนาดยักษ์รูปร่างประหลาดเรียงกันเป็นตับ
ผู้อยู่อาศัยทั่วไปของเมืองเฮยเหยี่ยนอาศัยอยู่ในลานภายในที่ล้อมรอบด้วยตัวอาคารและพื้นที่ชั้นในขนาดใหญ่ สำหรับชาวเมืองโหลวเฉิงหลายคนแล้วโหลวเฉิงคือโลกทั้งใบที่พวกเขาอาศัยอยู่ บางคนไม่เคยก้าวออกจากประตูเมืองโหลวเฉิงเลยตั้งแต่เกิดจนตาย
นี่แหละโลกโหลวเฉิง ภายในกับภายนอกเมืองคือสองโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!