ตอนที่แล้วบทที่ 290 – การเจรจาเพื่อสันติภาพที่ประสบความสำเร็จ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 292 – ป้อมปราการเต๋อหลุนหลังการเจรจา

บทที่ 291 – เริ่มได้ผ่อนคลาย


ผมยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง “ก่อนหน้าที่จะใช้เวทย์มนต์บทนี้ ฉันก็ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันจะทำให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ตอนนั้นก็แค่คิดจะใช้อำนาจของพลังศักดิ์สิทธิ์ข่มขู่ทั้งสามอาณาจักรนั่นเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าเวทย์ต้องห้ามของเผ่าเทพเจ้าจะมีอำนาจทำลายล้างมากถึงขนาดนี้ นี่ยังโชคดีที่พวกเราควบคุมมันไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้น ป้อมปราการเต๋อหลุนคงเหลือแต่ซากไปแล้ว”

แต่นั่นทำให้มู่จือตกตะลึงเป็นอย่างมาก เธออุทานออกมาอย่างตกใจ “อะไรนะ? นั่นมันยังไม่สมบูรณ์อีกอย่างนั้นหรือ? อำนาจทำลายล้างระดับนี้ นี่ยังเรียกว่าไม่สมบูรณ์อีกหรือ? แล้วถ้ามันสมบูรณ์แบบจะเกิดอะไรขึ้น ทำลายโลกได้เลยใช่มั้ย?”

ผมได้แต่ทำท่าแบมืออย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพยักหน้ารับ “มีโอกาสเป็นไปได้มากเลยทีเดียวเชียวล่ะ เวทย์มนต์บทนี้เป็นการรวมพลังของพวกเราทั้งหกเข้าไว้ด้วยกัน ยิ่งพวกเราแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งสามารถดึงพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาใช้ได้มากขึ้นเท่านั้น และพลังของเวทย์มนต์ที่ใช้พลังของพวกเราจะไม่ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกหรือ? พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของฉัน เป็นแกนหลักของเวทย์มนต์ต้องห้ามของเผ่าเทพเจ้าบทนี้ แต่ฉันยังไม่สามารถปลดปล่อยพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้เพียงพอต่อความต้องการของมันเลย ยิ่งพวกพี่ใหญ่จ้านหู่ด้วยแล้ว พวกเขายังไม่สามารถใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพเลย ถ้าให้ฉันลองประมาณดู ครั้งนี้มันน่าจะมีพลังไม่ถึงสี่ส่วน เมื่อเทียบกับตอนที่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แล้ว”

มู่จือถึงกับอ้าปากค้าง

“เด็กโง่เอ้ย! จะมาตกใจอะไรกับเรื่องแค่นี้ เธอก็เห็นความแข็งแกร่งของเผ่ามารด้วยตาของตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอ? แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีร่องรอยของราชามารโผล่มาให้เห็น แต่เจ้าลูกน้องของเขา คนที่ควบคุมร่างของราชาปีศาจซาต้าอยู่ในตอนนั้น มันทรงพลังมากแค่ไหนเธอก็เคยเห็นแล้ว แล้วถ้าเป็นตัวของราชามารเองล่ะ ฉันไม่อยากจะจินตนาการถึงมันเลยจริง ๆ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ราชาเทพถ่ายทอดเวทย์มนต์บทนี้ให้เรา ก็เพื่อให้ใช้มันกำจัดราชามารให้ได้ ดังนั้น เวทย์ต้องห้ามของเผ่าเทพเจ้าบทนี้ต้องมีพลังทำลายล้างอย่างที่พวกเราคาดไม่ถึงแน่ ๆ”

มู่จือต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะรวบรวมสติของตัวเองกลับมาได้ “ฉันได้แต่หวังว่าพวกเราจะสามารถกำจัดราชามารได้ในสักวันหนึ่ง เพื่อที่ฉันจะได้อยู่กับนายจริง ๆ..” เธอหน้าแดง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

ผมก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงแค่กระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้ พวกเราสามารถทำภารกิจในขั้นแรกได้สำเร็จแล้ว ต่อไปก็เพียงแค่ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะได้บทสรุปเมื่อราชามารปรากฏตัวออกมา พวกเราไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากนี้เลย แม้ว่ามันอาจจะมองว่าเป็นวิธีที่ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพมากนัก แต่แม้กระทั่งราชาเทพก็คงจะไม่รู้ว่าร่างจำแลงของราชามารตอนนี้อยู่ที่ไหน องค์ราชาเทพน่าจะกำลังวุ่นอยู่กับการผนึกร่างจริงของราชามารอย่างเต็มกำลัง

แล้วเมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก ผมก็กล่าวขึ้นมากับมู่จือ “ฉันอยากจะไปหาพวกคนอื่น ๆ แล้ว จะไปดูเสียหน่อยว่าพวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง?”

เธอทำตามอย่างเชื่อฟัง ค่อย ๆ พยุงให้ผมลุกขึ้นยืนจนได้ หลังจากที่ขยับตัวเพื่อยืดกล้ามเนื้อที่ยังมีอาการปวดร้าวอยู่สักพัก ผมก็ยิ้มออกมาได้ “มันดีขึ้นมากแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”

เธอเดินนำออกจากกระโจมไปข้างนอก โดยมีผมที่ถือคทาเวทย์ซู่เกอลาไว้ในมือตามออกมาติด ๆ เมื่อทหารที่กำลังลาดตระเวนอยู่เห็นพวกเราทั้งสองคน พวกเขาก็รีบแสดงความเคารพด้วยสายตาที่ยำเกรงอย่างทันที

พวกเราเดินกันออกมาไม่ไกลมากนัก หลังจากผ่านมา 2-3 กระโจม ผมก็เห็นเข้ากับกระโจมหลังใหญ่ที่เป็นที่พักของทุกคน พวกเราเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่รอช้า

พวกเขาอยู่ที่นี่กันทั้งหมด ดูเหมือนว่าเค้อหลุนตัวกำลังเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขายิ้มได้ให้ฟังอยู่ ทุกคนอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายกันมาก แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ตอนนี้พวกเราทำเรื่องสำคัญสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว ทุกคนควรจะได้ผ่อนคลายกันบ้าง

“จางกง! นายฟื้นแล้วหรือ?” เสียงของพี่ใหญ่จ้านหู่ถามดังออกมา

ผมยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เขา “พี่ใหญ่ พวกพี่เป็นยังไงกันบ้างล่ะ?”

สีหน้าของจ้านหู่ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เวทย์ต้องห้ามบทนี้นี่น่ากลัวจริง ๆ ตอนที่ร่ายเวทย์ออกไปแล้ว ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกเกราะของเทพสงครามควบคุมไปจนหมด พลังในร่างกายถูกใช้ออกไปแทบจะหมดสิ้น ถ้าข้าจะล้มลงตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลย โชคดี! ที่เจ้าได้จัดแจงให้มีคนคอยช่วยเหลือ และส่งพลังจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้พวกเราได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น ข้าไม่แน่ใจเหมือนกันว่า จะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาที่นี่ได้หรือไม่?”

ตงรื่อหัวเราะออกมา “พวกเราทุกคนก็เหมือนกันนั่นแหละ ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่าเวทย์ต้องห้ามในหมู่เวทย์ต้องห้ามที่ราชาเทพเคยบอกเอาไว้ก็ตอนนี้ มันทรงพลังเป็นอย่างมาก! ได้เห็นพลังที่มันแสดงออกมาในตอนนั้นแล้ว ราชามารจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกันเชียว แค่เจอกับบทเพลงสรรเสริญหกเทพเจ้าของพวกเราเข้าไป ก็ต้องถูกกำจัดลงอย่างง่ายดายแน่นอน ต่อให้พวกมันมีคนเป็นหมื่น ๆ ก็เถอะ”

ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่เหมือนว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ยกเว้นก็แต่ซิวซือ!

และเมื่อผมได้ยินดังนั้น ก็ทำหน้าเครียด ก่อนจะกล่าวบอกตงรื่อ “นายเข้าใจผิดแล้ว!”

ดูเหมือนว่าเขาจะตกใจเล็กน้อย ถามกลับออกมาทันที “เรื่องอะไร?”

ผมบอกเขาอย่างจริงจัง “ถึงแม้ว่าพลังของเวทย์ต้องห้ามของเทพเจ้าบทนี้จะทรงพลัง แต่ว่า พวกนายรู้หรือไม่? ฉันเกือบจะควบคุมมันไม่ได้อยู่แล้ว พลังของพวกเรายังอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถทนทานเวทย์มนต์ที่ตัวเองร่ายออกมาได้ด้วยซ้ำ แล้วจะดึงพลังของมันออกมาจนถึงขีดสุดได้อย่างไร นายคิดจริง ๆ หรือว่า ราชามารจะสามารถจัดการได้ง่ายขนาดนั้น? ถ้าเป็นอย่างนั้น ราชาเทพคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก แม้แต่เผ่าเทพเองยังเกือบสูญสลายไป แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเราตอนนี้จะไม่ได้แย่ แต่คิดว่ามันจะเทียบกับนักรบของเผ่าเทพได้อย่างนั้นหรือ? ฉันคิดว่ามันยังห่างไกลจากพวกเขาอยู่มากนัก แล้วพวกเราจะนับเป็นอะไรในสายตาของราชามาร ในเมื่อขนาดเผ่าเทพเองยังยากที่จะรับมือกับพวกมันได้? ดังนั้น พวกเราจะต้องไม่หลงระเริงจนเดินไป ฉันได้ตัดสินใจแล้ว พวกเรากลับไปถึงฐานที่มั่นกันก่อน หลังจากนั้นฉันจะเดินทางต่อไปยังหุบเขาแบ่งฟ้าต่อทันที เพื่อไปรับสืบทอดพลังของพระเจ้าให้เสร็จสิ้นไป ส่วนพวกนายต้องพยายามบรรลุระดับเทพสงครามให้ได้โดยเร็ว”

ตงรื่อก้มหน้ามองพื้น พึมพำออกมาอย่างไม่ยอมรับสักเท่าไร “พวกเราไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย”

ซิวซือลุกขึ้นมากล่าวเสริมให้ผม “ไม่หรอก! บางทีเรื่องนี้อาจจะแย่เสียยิ่งกว่าที่จางกงพูดออกมาอีก เขาพูดถูกอยู่อย่างหนึ่งแน่ ๆ พวกเราไม่รู้เลยว่าเผ่ามารมีความแข็งแกร่งมากขนาดไหน และพวกมันก็อยู่ในที่มืด ในขณะที่พวกเราอยู่ในที่สว่าง ดังนั้น พวกเราไม่อาจที่จะหย่อนยานในการฝึกฝนได้เลย ไม่อย่างนั้นภารกิจของพวกเราไม่มีทางสำเร็จได้อย่างแน่นอน”

ดูเหมือนว่าเขาจะคิดได้ใกล้เคียงกับผมมาก นั่นทำให้ผมยิ้มออกมา “ตอนนี้พลังของทุกคนยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่นัก ดังนั้น พวกเราจะยังพักอยู่ที่นี่อีกสัก 2-3 วันก่อน เมื่อทุกคนฟื้นฟูดีแล้ว พวกเราจะออกเดินทางกลับไปที่ฐานที่มั่นทันที ช่วงนี้ก็ถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนไปด้วยในตัวก็แล้วกัน ส่วนฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการในป้อมปราการเต๋อหลุนอีกเล็กน้อย”

แล้วผมก็เดินนำหน้ามู่จือออกมาจากกระโจมหลังนั้น “เธอจะไปที่ป้อมปราการกับฉันด้วยก็ได้ ฉันอยากรู้สถานการณ์ของที่นั่นให้ชัดเจนอีกหน่อย แล้วยังมีเสี่ยวจินกับเสี่ยวโร่วอีก ยังไงก็ต้องกลับไปรับพวกมันกลับมา”

มู่จือตกลงที่จะไปกับผมด้วย “ได้เลย! พวกเราไปกันเถอะ! อ้อ! แล้วตอนนี้นายเหาะได้หรือเปล่า?”

นั่นทำให้ผมหน้าเบ้ไปเลยทีเดียว “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย! ระยะทางแค่นี้มันไม่ใช่ปัญหาหรอก” แล้วผมก็แก้เผ็ดเธอ ด้วยการเอามือโอบเอวของเธอไว้แน่น ก่อนจะใช้พลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ส่งตัวเองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งตรงไปยังป้อมปราการเต๋อหลุน โดยมีเสียงมู่จือ กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด