ตอนที่ 92 เส้นเลือดวัตถุดิบ
(วันนี้ตอนเดียวนะครับ ขออภัยวันนี้ติดงานที่ออฟฟิตทั้งวัน แปลไม่ทันสองตอนครับ )
มู่เหลียงเดินกลับไปยังเนินสูงท่ามกลางความมืด
เว่ยกังและคนอื่นๆ เองก็กำลังจัดการชำแหละส่วนต่างๆ ของอสูรหนอนเก้าส่วน โดยจุดกองไฟไว้ข้างๆ พอที่จะทำให้มองเห็น
“เปิดใช้งานอาณาเขตแสงดาวล่วงหน้า”
มู่เหลียงส่งกระแสจิตไปหาต้นชาเขียวประกาย ให้มันใช้งานอาณาเขตแสงดาว
แล้ววินาทีนั้นจุดเล็กๆ บนใบชาทั้งหมดก็ส่องแสงขึ้น จนสว่างไสวไปหมด
ต้นชาที่สูงกว่า 16 เมตรได้เปล่งแสงอยู่เหนือกระดองของเต่า
ทำให้พืชผักภายในสวนได้รับการดูแลจากอาณาเขตแสงดาวไปด้วย
ต้นไม้ที่พึ่งลงดินไปใหม่ เริ่มแตกดอกผลิใบ จุดที่พึ่งลงเมล็ดไปก็งอกต้นอ่อนขึ้นมาทันที จนเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แสงสว่างนี้มันได้ดึงดูดทุกคน
ปัง!!
โหย่วเฟ่ยนั้นอยู่ๆ ก็พุ่งตัวออกมาจากห้องวิจัยของเธอทันที
และมองไปยังต้นชาเขียวประกายอย่างตื่นเต้น ด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“งดงามจริงๆ”
หยู่เฟ่ยหยานเองเดินออกมานอกบ้านพร้อมกับอุ้มหิ่งห้อยน้อยไว้ในมือด้วย และมองไปยังต้นชาเขียวประกาย
และคิดว่าแสงที่เปล่งออกมาจากหิ่งห้อยนั้นเทียบไม่ได้เลยกับแสงที่มาจากต้นชาเขียวประกายต้นนี้
มินโฮเองเดินตามหลังออกมาด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย และหลบอยู่ห่างๆ หยู่เฟ่ยหยานอย่างอายๆ เมื่อครู่เธอถูกหยู่เฟ่ยหยานเรียกให้มาดูหิ่งห้อยน้อยที่เปล่งแสงได้
และบอกวิธีการควบคุมพลังของมัน หรืออะไรสักอย่าง
ลี่เยว่มองไปยังต้นชาเขียวประกายด้วยแววตาที่คิดมาก
ก่อนที่เธอจะถามขึ้น
“มันสว่างเกินไปรึป่าวเวลากลางคืน”
ลี่เยว่นั้นรู้สึกกังวลใจ และคิดว่าแสงแบบนี้จะล่อให้พวกโจรขโมยเข้ามาในเมืองได้ในยามวิกาล
“ไม่เป็นไร ก็แค่ต้องระมัดระวังเพิ่มนิดหน่อย”
มู่เหลียงมองดูทุกอย่างในความมืด
ต้นชาเขียวประกายนั้นต้องเปล่งแสงออกมาอยู่แล้ว เพื่อที่จะทำให้ต้นไม้และพืชผักเติบโต แต่ในตอนกลางวันแสงจากดวงอาทิตย์จะบดบังแสงของมัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นชาเขียวประกายปล่อยอาณาเขตแสงดาวตอนกลางคืนมันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นจุดสนใจ
ตอนนี้อาณาเขตแสงดาวกำลังทำงาน มันส่องสว่างมากพอที่จะทำให้พวกเว่ยกังนั้นชำแหละร่างของอสูรหนอนเก้าส่วนได้สะดวกขึ้น
“เดี๋ยวฉันจะเฝ้าระวังให้เอง”
ลี่เยว่พูดขึ้น
“ไม่จำเป็น พรุ่งนี้ลี่เยว่จะต้องออกเดินทาง ไปเตรียมของให้เรียบร้อยเถอะ”
มู่เหลียงส่ายหัว
เขาได้ส่งให้เซียวหงกางใยรอบๆ ตัวกระดองเต่าทมิฬแล้ว หากมีอะไรเคลื่อนไหวที่ผิดปกติมันจะรับรู้ได้ทันที
“เข้าใจล่ะ”
ลี่เยว่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนที่จะถือเปลือกของอสูรหนอนเข้าบ้านไปอย่างไม่พอใจเท่าไร
หยู่ฉินหลานเมื่อเห็นลี่เยว่เดินจากไปแล้ว
เธอก็ถามขึ้น
“แสงของมันจะอยู่นานแค่ไหน”
“ซักหนึ่งกองไฟได้”
มู่เหลียงคาดเดาเวลาและตอบกลับไป
ในโลกนี้ไม่มีตัวบอกเวลา ทำให้การบอกเรื่องเวลานั้นจะเทียบจากสิ่งต่างๆ อย่าง 1 กองไฟ หรือดูสีจากท้องฟ้า
และนี่คือสิ่งที่มู่เหลียงรู้มาจากลี่เยว่ สำหรับ 1 กองไฟ นั้นจะเท่ากับประมาณ 15 นาที หรือ ครึ่งชั่วโมงได้
แต่หากตามความคิดของมู่เหลียงแล้ว หากได้ฟืนที่ดี และไม่ถูกอะไรรบกวน 1 กองไฟอาจอยู่ได้ถึงชั่วโมง
“งั้นให้หยู่เฟ่ยหยานเฝ้ายามคืนนี้เป็นไง?”
หยู่ฉินหลานนั้นรีบมอบหมายงานให้ลูกสาวของเธอทันที
แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะพูดอย่างติดเล่นก็ตาม
แต่ถึงอย่างงั้นเธอเองก็ต้องหาโอกาสและช่องทางให้ลูกสาวของเธอได้มีหน้าที่การงาน และสะสมประสบการณ์จนโตเป็นผู้ใหญ่
และไม่ต้องเจอชะตากรรมเช่นเดียวกับตัวเธอ ต้องอยู่อย่างเดียวดายและโดดเดี่ยว
และหากหยู่เฟ่ยหยานไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน อนาคตในเมืองเต่าทมิฬของเธอคงจะไม่สดใสนัก
“ไม่จำเป็น คืนนี้ฉันให้สัตว์อสูรของฉันเฝ้ายามแล้ว”
มู่เหลียงมองออกไปยังบ้าน และเห็นมินโฮที่ใบหน้าแดงก่ำยืนอยู่ที่หน้าประตู
เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะพูดต่อ
“วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมากพอแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยจัดการเรื่องเวรยาม”
“ได้”
หยู่ฉินหลานพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ และเดินตามหลังมู่เหลียงไปอย่างสง่าผ่าเผย
มู่เหลียงที่เดินกลับเข้าบ้านก็สวนกับหยู่เฟ่ยหยาน
เขาได้ตบลงบนไหล่ของหยู่เฟ่ยหยานเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“คงลำบากน่าดูเลยนะ มีแม่แบบนี้”
“ห๊ะ!?”
หยู่เฟ่ยหยานถึงกับประหลาดใจกับคำพูดของมู่เหลียง
“ฉันจะไปเอาเนื้อย่างมาให้!”
มินโฮเห็นโอกาสเลยฉวยเดินออกไป และทิ้งหยู่เฟ่ยหยานให้ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
“เดี๋ยว…เมื่อกี้เขาหมายความว่าไง!”
หยู่เฟ่ยหยานร้องถามด้วยความสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
โหย่วเฟ่ยที่อยู่ใกล้ๆ ก็พูดขึ้นพร้อมกับถือกิ่งของต้นชาเขียวประกายกลับมาศึกษา
“เอ้า…ตกลงพูดเรื่องอะไรกันเนี้ย!”
หยู่เฟ่ยหยานนั้นสับสนไปหมด เธอเห็นว่าไม่มีใครสนใจเธอเลย และเดินเข้าบ้านไปจนหมด
ก่อนที่เธอจะกระทืบเท้าด้วยความอึดอัด และตามเข้าไปในบ้าน พร้อมกับเสียงร้องของกลุ่มเว่ยกังที่ดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง
ภายในบ้านตอนนี้ ทั้งมู่เหลียง ลี่เยว่ และหยู่ฉินหลานนั้นกำลังสนใจเรื่องการสร้างเกราะจากเปลือกของหนอนอสูรเก้าส่วนอยู่
โดยปกติแล้วอาวุธวิญญาณจะใช้ชิ้นส่วนของสัตว์อสูรในการสร้างขึ้น และมันจะแสดงพลังของสัตว์อสูรนั้นออกมา
มู่เหลียงนั้นจำสิ่งที่ลี่เยว่เคยบอกเอาไว้ได้ และถามขึ้นด้วยความสงสัย
“แล้วตัวของอสูรหนอนเก้าส่วนมันมีพลังแบบไหนอยู่”
“มันคือความเบา และแข็ง”
ลี่เยว่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เบา..และแข็ง”
มู่เหลียงลองหยิบเปลือกของอสูรหนอนเก้าส่วนขึ้นมาดู และชั่งน้ำหนัก
มันเบามากสำหรับเขา แต่ไม่รู้ว่าสำหรับคนทั่วไปแล้วจะหนักรึป่าว
“อันนี้มันยังไม่คงสภาพของมัน และจะหนักกว่า”
หยู่ฉินหลานพูดเสริมขึ้น
“หากว่าเอามันมาต้มในน้ำเดือด มันจะหดตัวลงน้ำหนักจะเบาขึ้น และแข็งขึ้นอีกด้วย”
พลังและรูปลักษณ์ของอสูรหนอนเก้าส่วนนั้น ไม่ใช่ความลับอะไร และหาเจอได้บ่อยๆ สำหรับผู้ที่เดินทาง และผู้ที่ออกล่าเป็นประจำจะรู้เรื่องพวกนี้
ส่วนที่ยากที่สุดในการหาเปลือกของอสูรหนอนเก้าส่วนคือการจัดการกับมัน
“เข้าใจแล้ว”
มู่เหลียงพยักหน้า ด้วยสีหน้าสนใจ
“ต้องลองต้มจากชิ้นเล็กๆ ก่อน และดูว่าเมื่อมันได้ที่มันหดเล็กแค่ไหน”
ลี่เยว่เริ่มตัดเปลือกของอสูรหนอนเก้าส่วนเป็นชิ้นเล็กสองชิ้น
หลังจากนั้นเธอก็ใส่มันลงไปในหม้อเหล็ก และต้มมันในน้ำเดือด
“แล้วต้องต้มนานแค่ไหน”
มู่เหลียงถามด้วยความสนใจ
“เราจะต้มจนกว่ามันจะไม่หดตัวอีกเลย”
ลี่เยว่ตอบเบาๆ
“เปลือกของมันจัดการได้ง่าย หากเทียบกับสัตว์อสูรตัวอื่นอาจจะต้องมีการจับเวลา และเตรียมในช่วงเวลาที่เหมาะสม”
เมื่อเห็นว่ามู่เหลียงสนใจเรื่องนี้ หยู่ฉินหลานจึงพูดขึ้น และแบ่งปันความรู้ของเธอ
“ปกติแล้วช่างฝีมือเก่งๆ จะจดบันทึกเวลาในการเตรียมวัตถุดิบแต่ละประเภทอย่างละเอียด”
“มีการจับเวลาที่เป็นมาตรฐานด้วยงั้นหรอ”
มู่เหลียงจึงเหลือบมองนาฬิกาของเขา ซึ่งเป็นมาตรฐานเวลาที่ดูได้ง่าย
“ยิ่งไปกว่านั้น ช่างฝีมือจะต้องหาอัตราส่วนที่เหมาะสม ในการทำอาวุธวิญญาณ และหาเส้นเลือดเพื่อเชื่อมต่อมันกับผลึกอสูรได้ในอนาคต”
หยู่ฉินหลานเม้มปากเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ
“อาวุธวิญญาณระดับกลางถึงระดับสูงนั้น จะสามารถแสดงพลังวิเศษได้ไม่ต่างจากผู้ตื่นเลย”
“แบบนี้เองงั้นหรอ”
มู่เหลียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
อัตราส่วนวัตถุดิบ
มันก็คงเหมือนกับการผสมโลหะ หรือผสมแร่ในโลกเดิมของเขา
มู่เหลียงกระพริบตาหลายครั้งและคิดเปรียบเทียบสิ่งนี้กับโลกเดิมของเขา
สิบนาทีต่อมา
ลี่เยว่คีบเปลือกของอสูรหนอนเก้าส่วนขึ้นมาจากหม้อเหล็ก สีของมันได้เปลี่ยนเป็นสีดำ ก่อนที่เธอจะวางมันลงบนโต๊ะ และเปรียบเทียบเปลือกอีกชิ้นที่ยังไม่ได้ต้ม
เธอยื่นเปลือกที่ต้มแล้วให้มู่เหลียง
“มันหดตัวลงสองเท่า แต่ความแข็งของมันเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็น”
“มันเบากว่าเดิมจริงๆ ด้วย”
มู่เหลียงรับเปลือกอสูรหนอนเก้าส่วนมา และชั่งน้ำหนักกับก่อนต้น น้ำหนักของมันหายไปสองเท่าได้
“ในเปลือกของมันมีของเหลวเหนียวๆ อยู่ เมื่อต้มแล้วมันจะไหลออกมาจากเปลือกและผสมลงในน้ำที่ต้ม”
ลี่เยว่อธิบายเพิ่มถึงสาเหตุที่สีของมันเปลี่ยนไป
“นี้คือสาเหตุที่มันเปลี่ยนสีสินะ”
มู่เหลียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ และฟังทุกอย่าง
เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าการสร้างอาวุธวิญญาณนั้นเปรียบเสมือนเทคโนโลยีการสร้างของโลกที่ล่มสลายแห่งนี้
ตราบใดที่สามารถเข้าใจลักษณะของวัตถุดิบได้ ก็สามารถจัดการพวกมันได้ง่ายขึ้น และสามารถดึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของมันออกมา
“และหากรู้การหดตัวของเปลือกพวกนี้แล้ว เราจะสามารถกะขนาด และเอามาสร้างเป็นอาวุธและเกราะได้พอดีตัว”
ลี่เยว่พูดขึ้นก่อนที่จะหยิบเปลือกที่ยังไม่ได้ต้มขึ้นมาตัดตามขนาดที่ต้องการ
เธอกำลังจะทำปลอกแขนที่ขนาดใหญ่กว่าปกติ 2 เท่า และเมื่อเอาไปต้มจนได้ที่แล้ว มันจะหดพอดีกับขนาดของมือเธอ
เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ จะลำบากมากในการวัดขนาด และมาดัดแปลงตอนเปลือกมันหดแล้ว
“ว่าแต่ เส้นเลือดที่พูดถึงมันคืออะไร”
จู่ๆ มู่เหลียงนึกอะไรได้จึงถามขึ้น
“นี่คือเส้นเลือด”
หยู่ฉินหลานหยิบเปลือกที่ถูกตัดออกแล้ว และชี้ช่องระหว่างชั้นเปลือกให้มู่เหลียงดู
“โพรงพวกนี้งั้นหรอ?”
มู่เหลียงมองไปยังชั้นผิวของเปลือกที่มีช่องรูๆ เหมือนโพรง
“พวกนี้เป็นช่องทางที่เชื่อมต่อกันระหว่างเส้นเลือดภายในร่างของสัตว์อสูร จึงเรียกว่าเส้นเลือด”
หยู่ฉินหลานโบกเปลือกอสูรไปมา อย่างสบายๆ
“สุดยอดช่างฝีมือผู้สร้างอาวุธวิญญาณที่เก่งกาจ จะเชื่อมเส้นเลือดระหว่างวัตถุดิบเข้าด้วยกันได้ และผสานมันเข้ากับผลึกสัตว์อสูร มันจะกลายเป็นอาวุธวิญญาณระดับกลาง”
ยามว่างของหยู่ฉินหลานนั้นมักจะค้นคว้าเกี่ยวกับการสร้างอาวุธวิญญาณบ่อยๆ แต่เธอก็ยังไม่สามารถที่จะเชื่อมเส้นเลือดของวัตถุดิบได้
“งั้นถ้าหากหาเส้นเลือดทั้งหมดได้ และเชื่อมเข้าหากันได้หมด”
มู่เหลียงมองไปยังเปลือกสีดำ และพูดต่อทันที
“เธอเองก็สามารถสร้างอาวุธวิญญาณระดับกลางได้ใช่ไหม”
“ก็เป็นไปได้”
หยู่ฉินหลานลังเลอยู่นิดนึง ก่อนที่จะตอบออกมา คิดว่าถ้าตอบไปแบบนี้คงไม่เป็นไร
“บางที ฉันอาจจะเชื่อมเส้นเลือดพวกนี้ได้”
มู่เหลียงมองเปลือกอสูรหนอนเก้าส่วน ก่อนที่จะแสยะยิ้มขึ้น
“หือ..?”
หยู่ฉินหลานและลี่เยว่มองไปยังมู่เหลียงด้วยสายตาไม่เชื่อ
คนที่ไม่รู้จักอาวุธวิญญาณเลย กลับพูดว่าสามารถหาเส้นเลือดและเชื่อมต่อมันได้อย่างงั้นหรอ
เขากำลังพูดล้อเล่นอยู่รึไง?