ตอนที่ 342 ปัญหาในงานเทศกาล
ตอนที่ 342 ปัญหาในงานเทศกาล
“สงครามที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในที่สุดพันธมิตรก็ตัดสินใจจัดการกับสงครามในเขตทุ่งดาวแห่งความตายสักที” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เซี่ยเฟยนายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงต้องดีใจขนาดนั้นด้วย อย่าลืมนะว่าสงครามมักจะก่อให้เกิดผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากเสมอ” ทูรามที่อยู่อีกด้านของวิดีโอกล่าวขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ขอบคุณนะครับที่เอาข่าวมาแจ้งให้ผมทราบ ซึ่งในความคิดของผมยิ่งสงครามยุติเร็วมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งมีผู้สูญเสียลดจำนวนน้อยลงไปเท่านั้น การที่พันธมิตรได้ตัดสินใจจัดการกับสงครามย่อมทำให้สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความรวดเร็ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยสีหน้าที่กลับมาเป็นปกติ
“จะว่าอย่างนั้นมันก็ใช่ แต่ถ้าพวกเซิร์กฉวยโอกาสเข้าโจมตีในตอนนี้ มันก็คงจะทำให้พันธมิตรตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างหนัก” ทูรามกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ว่าแต่คุณตาหาข่าวมาได้ยังไงเหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“อย่าลืมสิว่าฉันเป็นใคร? การประชุมของคณะรัฐมนตรีเพิ่งจะสิ้นสุดลงเมื่อ 30 นาทีที่แล้ว และมีมติในที่ประชุมอนุมัติให้พันธมิตรเริ่มเข้าสู่สภาวะสงครามกับเขตทุ่งดาวแห่งความตายอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผลของการประชุมน่าจะถูกประกาศออกมาอีกประมาณ 3 วัน”
“จากข้อมูลที่ฉันได้รับมาดูเหมือนกับว่าจอมพลไทสันเป็นคนนำเสนอเรื่องการทำสงครามกับเขตทุ่งดาวแห่งความตาย และถึงแม้ว่าพวกประธานาธิบดีกับสภาล่างบางคนจะยังคงรู้สึกลังเลใจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะคัดค้านสงครามในครั้งนี้ได้”
“เพราะท้ายที่สุดพันธมิตรก็จำเป็นจะต้องได้รับเขตทุ่งดาวแห่งความตายกลับคืนมา และนักการเมืองพวกนี้ย่อมไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อคัดค้านข้อเสนอของจอมพลไทสันอย่างแน่นอน ประเด็นหลักที่พวกเขากำลังกังวลคือเรื่องการฟื้นฟูหลังสภาวะสงครามต่างหาก เพราะในกระบวนการนั้นจำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมาก และมันก็ยังมีปัญหาในเรื่องของระยะทางด้วย”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับ เพราะทุกอย่างกำลังเป็นไปตามที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนเงินที่จะต้องใช้ในการฟื้นฟูเขตทุ่งดาวแห่งความตายยังเป็นจำนวนเกินกว่าที่ทางพันธมิตรจะยอมจ่ายออกไปได้ แล้วมันก็ถึงเวลาที่เจ้าถิ่นในภูมิภาคดาวมฤตยูจำเป็นจะต้องออกโรงแล้ว
ตราบใดก็ตามที่เจ้าถิ่นพวกนี้ยอมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพันธมิตร และเต็มใจที่จะใช้เงินของตัวเองในการฟื้นฟูเขตทุ่งดาวแห่งความตายหลังสภาวะสงคราม พวกนักการเมืองที่เจ้าเล่ห์ย่อมให้สิทธิ์พวกเขาในการปกครองพื้นที่ต่อไปแน่นอน เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้เสียผลประโยชน์อะไรจากการตัดสินใจของพวกเจ้าถิ่นพวกนั้นเลย
นี่คือโอกาสที่เซี่ยเฟยกำลังรอคอย เพราะตราบใดก็ตามที่พันธมิตรตกลงให้พวกเจ้าถิ่นปกครองเขตทุ่งดาวแห่งความตายต่อไป เซี่ยเฟยก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ในเขตทุ่งดาวแห่งความตายทันที
“ดูเหมือนพวกทหารตั้งใจที่จะส่งกองยานทั่วไปออกไปทั้งสิ้น 40 กอง, กองกำลังเสริมทั้งหมด 30 กองและกองกำลังสนับสนุนทั้งหมดอีก 30 กอง นอกจากนี้ไทสันยังส่งกองยานเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว 5 กองตั้งแต่เมื่อ 24 ชั่วโมงก่อนเพื่อประเมินสถานการณ์ ก่อนที่เขาจะได้เริ่มเข้าประชุมกับพวกคณะรัฐมนตรี” ทูรามกล่าว
“จอมพลไทสันสมควรแล้วที่จะได้เป็นผู้บัญชาการของกองทัพพันธมิตรจริง ๆ การกระทำของเขาได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสงครามครั้งนี้จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น และถึงแม้ว่าพวกคณะรัฐมนตรีจะไม่เห็นด้วย แต่คนพวกนั้นก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธข้อเสนอของจอมพลไทสันได้” เซี่ยเฟยกล่าว
“ใช่ จอมพลไทสันเป็นพวกหัวแข็งมากและตลอดช่วง 10 กว่าปีที่เขาขึ้นรับตำแหน่ง เขาก็รับผิดชอบงานของตัวเองมาได้อย่างดีตลอด”
“กองกำลังรวมในเขตทุ่งดาวแห่งความตายคงจะมีกองยานอยู่ไม่เกิน 40 กองด้วยซ้ำ และกองยานของพวกเขาก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่กองยานของกรมทหารเดินทางไปถึงสงครามครั้งนี้ก็คงจะจบลงด้วยความรวดเร็ว” ทูรามกล่าว
“นี่คือส่วนที่ผมคิดว่าจอมพลไทสันตัดสินใจได้ฉลาดมาก เพราะการที่เขาส่งกองกำลังไปมากขนาดนั้นมันก็คงจะทำให้ศัตรูหวาดกลัวก่อนที่จะเข้าร่วมสนามรบซะอีก”
“ถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิดกองยานของทางทหารคงจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ภายในเวลาไม่เกิน 6 เดือน และแผนการของเขาก็ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มศักดิ์ศรีให้กับกองทัพของพันธมิตรเท่านั้น แต่มันยังช่วยลดอัตราการสูญเสียและไม่จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการทำสงครามอย่างยืดเยื้ออีกด้วย” เซี่ยเฟยกล่าว
“อันที่จริงเพื่อลดความสูญเสียของกองทัพ จอมพลไทสันน่าจะรอช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายกำลังตกอยู่ในช่วงที่กำลังอ่อนแอที่สุด นายรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงรีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่สงครามเพิ่งจะเริ่มดำเนินมาได้เพียงแค่ไม่นาน?” ทูรามกล่าวพร้อมกับใช้เมื่อลูบเครา 2-3 ครั้ง
เซี่ยเฟยส่ายหัวเป็นคำตอบ
“มันก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!” ทูรามกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเขาก็เริ่มกล่าวต่อไปว่า
“หลังจากที่นายส่งอุปกรณ์เสริมพลังชาร์จ 10,000 ชุดไปที่ภูมิภาคดาวมฤตยู มันก็เปลี่ยนกระแสสงครามจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยตรง โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนกองยานของภูมิภาคดาวเหวทมิฬกับอ่าวปีศาจถูกลอบโจมตีจนถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง มันจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาวะสมดุลย์และคอยดูเชิงอีกฝ่ายอยู่อย่างเงียบ ๆ จอมพลไทสันไม่ต้องการที่จะเห็นสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไปเขาจึงได้เริ่มทำการเคลื่อนไหวเร็วกว่ากำหนดการที่เขาได้คิดเอาไว้ในตอนแรก”
เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่การเคลื่อนไหวของเขาได้ไปเร่งแผนการของพันธมิตร แต่ถึงยังไงแนวโน้มนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา เพราะมันก็หมายความว่าเขาจะได้รับพื้นที่ดาวของตัวเองเร็วกว่าแผนการที่ได้คาดการณ์เอาไว้เช่นเดียวกัน
“ว่าแต่คุณตาทูรามจะไปงานเทศกาลเมื่อไหร่เหรอครับ? แล้วคุณตาฉินหมางจะไปร่วมงานเทศกาลนี้ด้วยไหมครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“เจ้าแก่นั่นไม่ยอมไปร่วมงานเทศกาลนี้หรอก พอดีมันมีคนที่มันไม่อยากเจอเดินทางมาเข้าร่วมงานเทศกาลนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นงานเทศกาลก็กินเวลานานกว่าครึ่งเดือนและมันก็มีเพียงแต่เด็กใหม่อย่างนายเท่านั้นแหละที่จะไปเข้าร่วมงานเทศกาลตั้งแต่วันแรก ๆ เพราะท้ายที่สุดของดีมักจะออกมาตอนท้าย ฉันเลยต้องการจะจัดการงานของฉันให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปร่วมงานเทศกาลในช่วงสัปดาห์หลัง”
“จำเอาไว้ว่าในระหว่างงานเทศกาลอย่าทำอะไรที่ไปยั่วไอ้แก่เจ้าเล่ห์พวกนั้น เพราะถ้าหากว่ามันมีอะไรผิดพลาดแม้แต่ฉันกับฉินหมางก็อาจจะออกหน้าไปปกป้องนายไม่ได้” ทูรามกล่าว
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะพยายามอยู่เงียบ ๆ ไม่ทำตัวเด่นมากเกินไปครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“นายเนี่ยนะทำตัวไม่เด่น?” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เซี่ยเฟยตัดระบบสื่อสารไป
—
หลังจากเดินทางมาได้ประมาณ 16 ชั่วโมงเบโอเนทก็เดินทางไปจนถึงดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่าดาวเกาะนับล้าน ซึ่งจากการประเมินด้วยสายตาพื้นที่ของดาวดวงนี้ก็มีปริมาณน้ำทะเลกินพื้นที่อยู่มากกว่า 95%
ในมหาสมุทรมีเกาะอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน โดยเกาะแต่ละเกาะถูกเชื่อมต่อกันด้วยสะพานข้ามทะเล นอกจากนี้มันยังมีทั้งเส้นทางการโดยสารผ่านทางอากาศ และมีการโดยสารทางเรือแบบโบราณคอยล่องไปตามท้องทะเลด้วย
หลังจากฝากเบโอเนทเอาไว้บนเกาะท่าเทียบยาน เซี่ยเฟยก็เดินไปที่ชายทะเลเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
“สมาพันธ์ฟราเทอนิตี้เป็นองค์กรลับในพันธมิตรไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมเขาถึงได้จัดงานเทศกาลในสถานที่ที่เด่นสะดุดตาแบบนี้?” อันธกล่าวขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว เพราะการจัดงานในครั้งนี้เด่นสะดุดตามากเกินไป
“คุณตาฉินหมางให้คำนิยามของสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้ว่ามันเป็นองค์กรนักรบที่เก่าแก่ที่สุดของพันธมิตร นอกจากนี้พวกเขายังเป็นองค์กรต้นกำเนิดก่อนที่จะแยกออกไปเป็นสมาพันธ์จัสทิสกับสมาพันธ์เฮอร์มิทด้วย หรือมันอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าสมาพันธ์ฟราเทอนิตี้ไม่ต่างไปจากพ่อของสององค์กรนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพันธมิตร”
“ลองคิดดูสิว่าถ้าหากพ่อของสององค์กรนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพันธมิตรได้จัดงานเทศกาลของตัวเองออกมา ลูก ๆ ของพวกเขาจะยอมเสียหน้าให้พ่อจัดงานเทศกาลเล็ก ๆ ขึ้นมางั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แบบนี้นี่เองสินะ เมื่ออยู่ตรงหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดทั้งสมาพันธ์จัสทิสกับสมาพันธ์เฮอร์มิทต่างก็ร่วมมือกัน เพื่อให้งานเทศกาลครั้งนี้ออกมาเป็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างเข้าใจ
“นอกจากนี้นายอย่าลืมนะว่าทั้งสมาพันธ์จัสทิสและสมาพันธ์เฮอร์มิทต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นคู่แข่งกัน และพวกเขาก็คงจะแข่งกันมอบเงินบริจาคให้กับงานเทศกาลครั้งนี้อย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เซี่ยเฟยเดินไปตามชายหาดด้วยความประหลาดใจ เพราะอีกสองวันจะเป็นวันเปิดงานเทศกาลแล้วแต่มีคนเดินทางมาเข้าร่วมงานเทศกาลอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เขาได้พบเห็นต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนหนุ่มสาวเช่นเดียวกันกับเขา และถ้าหากว่าเขาเดาไม่ผิดคนพวกนี้ก็คงจะเป็นคนที่เพิ่งเดินทางมาเข้าร่วมงานเทศกาลเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามงานเทศกาลขนาดใหญ่นี้ก็กินระยะเวลามากกว่า 15 วัน และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดที่ผู้คนส่วนใหญ่จะเริ่มมางานเทศกาลในวันท้าย ๆ เพราะท้ายที่สุดผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ก็ยังคงยุ่งอยู่กับธุระของตัวเอง และพวกเขาก็คงจะเดินทางมาร่วมงานเทศกาลในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
แต่ในทันใดนั้นเองมันก็มีเสียงร้องเอะอะโวยวายดังขึ้นมาจากระยะไกล และเมื่อเซี่ยเฟยได้มองไปที่ต้นเสียงเขาก็ได้เห็นกลุ่มคนหนุ่มสาวประมาณ 30 กว่าคนกำลังมีปากเสียงกัน ซึ่งคนหนุ่มสาวพวกนั้นได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งติดตราสัญลักษณ์ของสมาพันธ์จัสทิส ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งติดตราสัญลักษณ์ของสมาพันธ์เฮอร์มิท
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความสนใจ และถึงแม้ว่าทั้งสององค์กรจะบาดหมางกันมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว แต่มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีที่พวกเขาจะเริ่มปะทะกันตั้งแต่งานเทศกาลยังไม่ได้เริ่มต้นแบบนี้ แล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างตลอดช่วงเวลาเทศกาลที่จะมีต่อเนื่องไปอีกนานกว่า 15 วัน
“พวกจัสทิสมาทำร้ายคนของเราได้ยังไงกัน?” ชายหนุ่มผู้มีหน้าตาอันกำยำตะโกนถามออกไปเสียงดัง ขณะที่กำลังพยุงเด็กหนุ่มหน้าขาวที่มีเลือดไหลออกมาทางจมูก
“มันพูดจาใส่ร้ายสมาพันธ์ของเราก็สมควรแล้วนี่ที่จะต้องถูกลงโทษ!” ชายหนุ่มผู้ไว้หนวดสีดำเถียงขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้
“เสี่ยวซาน พวกเขาพูดเรื่องจริงหรือเปล่า?” ชายหนุ่มร่างอ้วนกล่าวถาม
“ผมไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย ผมแค่บอกว่าพวกจัสทิสกลัวว่าคนอื่นไม่รู้หรือยังไงว่าสมาพันธ์ตัวเองเป็นสมาพันธ์ที่ร่ำรวย ถึงได้เช่าดาวจัดงานเทศกาลที่เด่นสะดุดตาแบบนี้” ชายหน้าขาวตะโกนเถียงขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
เซี่ยเฟยแอบสังเกตการแต่งตัวของกลุ่มจัสทิสกลุ่มนั้นอย่างลับ ๆ และได้พบว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มเฮอร์มิทหน้าขาวพูดขึ้นมาจะพอเข้าเค้าความจริงอยู่บ้าง เพราะท้ายที่สุดหนุ่มสาวเฮอร์มิททุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่สวมใส่เครื่องแบบของทางสมาพันธ์ที่ดูเรียบ ๆ แต่ทางด้านกลุ่มจัสทิสกลับได้สวมใส่เครื่องประดับที่แวววาวอย่างมากมาย
ความจริงเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในอารยธรรมของทั้งสองสมาพันธ์ที่มีความแตกต่างกัน โดยทางจัสทิสจะพยายามอวดความมั่งคั่ง ขณะที่เฮอร์มิทจะพยายามทำตัวให้ไม่กลายเป็นจุดเด่นของสังคม
“นี่แกยังจะกล้าพูดแบบนั้นอยู่อีกเหรอ? ถ้าแกกล้าพูดมากกว่านี้อีกคำฉันจะตบแกให้ฟันร่วงหมดปากเลย! เหตุผลที่สมาพันธ์จัสทิสเช่าดาวดวงนี้ในราคามหาศาลก็เพื่อที่จะให้งานเทศกาลผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในเมื่อสมาพันธ์เฮอร์มิทไม่มีปัญญาจะจ่ายเงินก้อนนี้แล้วจะมาพูดจาไร้สาระพวกนั้นออกมาทำไม” จัสทิสหนุ่มผู้ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดภายในกลุ่มตะโกนเถียงขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“สิ่งที่น้องชายฉันพูดมันก็เป็นความจริงนี่ นอกจากนี้เราก็เป็นคนของสมาพันธ์เฮอร์มิท ดังนั้นถึงเขาจะมีความผิดแต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของจัสทิสที่จะต้องมาตัดสินความผิดของพวกเรา” เฮอร์มิทร่างอ้วนกล่าวขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ตะโกนโต้เถียงกันด้วยท่าทางอันดุร้าย โดยไม่มีใครคิดจะยอมใครเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามผู้คนบริเวณโดยรอบรวมถึงเซี่ยเฟยก็ไม่คิดที่จะเข้าไปหยุดความขัดแย้งระหว่างคนหนุ่มสาวพวกนั้นเลย เพราะทุกคนต่างก็กำลังตั้งตารอความสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเซี่ยเฟยมองไปรอบ ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรแปลก ๆ เพราะในงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่น่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่หละหลวม อย่างไรก็ตามพวกคนหนุ่มสาวได้ตะโกนโต้เถียงกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่มันกลับไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเข้ามารักษาความสงบเลยแม้แต่คนเดียว
“อัดมันเลย!”
จู่ ๆ มันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล และมันก็เป็นสัญญาณให้วัยรุ่นของทั้งสองสมาพันธ์เริ่มเข้าตะลุมบอนกันอย่างเมามัน
***************