ตอนที่ 1236 ที่กล่าวมานี่คือ ..ภาระบุตรเขย ไม่ใช่หรือ?
“เสี่ยวเจี้ยน พาข้าไปหาท่านอาจารย์ เสี่ยวชี พาเขาไปที่ห้องพัก และจัดอาหารเช้าให้เขา”
หยุน ชิงเหยา ได้พูดกับชายหนุ่มทั้งสองคนตรงหน้า..
ในที่สุดเธอก็ยอมรับวิธีการของ หลินฟาน ถ้าไม่มีเขา.. อีกอย่างการจัดการนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสําหรับเธอ เธอไม่ต้องการเป็นเชลย ที่ถูก หลินฟาน จับเป็นตัวประกัน และเข้าขู่คุกคามครอบครัวของเธอ
แต่อารมณ์ของเธอ.. ดูซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้ของ หลินฟาน ทําไมถึงแตกต่างขนาดนี้ ทั้งเขามักจะทําให้เธอคาดไม่ถึงเสมอ สิ่งที่ทําให้เธอรู้สึกงงมากที่สุดคือ หลินฟาน กล้าที่จะเข้ามาที่ หยุนเหมิน เพียงลำพัง ในเรื่องนี้ไม่รู้ว่าเขาหยิ่งเกินไป หรือ.. ยังมีแผนการอะไรอยู่ในมือ
ประตูหมู่บ้านของชนเผ่าหยุน ..ได้ถูกเปิดออก
ทั้งสี่คน.. ได้เดินเข้าไปทางประตูของหมู่บ้าน
หลินฟาน ได้เงยหน้าขึ้น และในที่สุดสำนักนิกายซ่อนเร้นที่ลึกลับนี้ ก็ปรากฏต่อหน้าเขาในลักษณะที่ใกล้ชิดที่สุด เขาเองได้ดื่มด่ำบรรยากาศของที่นี่ อีกอย่างเมื่อเขาได้เข้ามาที่นี่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือน ..ได้ข้ามกาลเวลามาจริงๆ
ทาง หยุน ชิงเย้า ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรกับ หลินฟาน แต่สุดท้ายเธอก็แค่มองไปที่ หลินฟาน ..โดยไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็เดินตามชายหนุ่มคนนั้นที่ชื่อ เสี่ยวเจี้ยน ออกไป
ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ชื่อ เสี่ยวชี เขาได้เข้ามาทักทาย หลินฟาน อย่างกระตือรือร้นมาก : “ข้าชื่อ หยุน เสี่ยวชี อยากจะขอถามพี่ใหญ่ ท่านแซ่อะไร ชื่ออะไร?”
เขาไม่รู้ว่า หลินฟาน เป็นศัตรู และคิดว่า หลินฟาน เป็นเพื่อนของ หยุน ชิงเย้า และหลินฟาน ก็เพิ่งกลับมาพร้อมกับ หยุน ชิงเย้า ทั้งสองเองก็ดูสนิทสนมกันมาก ความสัมพันธ์แบบเพื่อนนี้ก็อาจจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ดังนั้นเขาจึงดูมีท่าทีกระตือรือร้นกับ หลินฟาน มาก และให้การต้อนรับ หลินฟาน อย่างในฐานะของแขกผู้มีเกียรติ
หลินฟาน ยิ้มเล็กน้อย : “ผมชื่อ หลินฟาน”
หยุน เสี่ยวชี ได้ยิ้ม แล้วพูดว่า : “ที่แท้คือพี่ใหญ่หลิน เชิญทางนี้ พี่ใหญ่หลิน ข้าจะพาท่านไปที่ห้องพัก”
สิ่งที่เรียกว่า ‘ห้องพัก’ เป็นสถานที่รับรองแขกของทาง หยุนเหมิน ทาง หยุนเหมิน เองได้มีพื้นที่เฉพาะเพื่อใช้เป็นที่สถานที่พักสําหรับแขก…
“พี่ใหญ่หลิน ท่านอย่าได้หาว่าข้านินทาเลย ข้าขอถามหน่อยเถอะว่าท่านเป็นแฟนของ ศิษย์พี่หญิงชิงเหยา งั้นหรือ?” หยุน เสี่ยวชี ได้ถามในขณะที่เดินไปพลาง
หลินฟาน เหงื่อตก และแทบจะเดินเซไปในทันที.. ความเข้าใจผิดนี้มันใหญ่ไปหน่อยนะ : “ทําไมคุณถึงถามผมแบบนี้?”
หยุน เสี่ยวชี กล่าวว่า : “ท่านอย่าหาว่าข้านินทาเลย ข้าเองเห็นท่านเพิ่งแบกศิษย์พี่หญิงชิงเย้า และที่ผ่านมา นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็น ศิษย์พี่หญิงชิงเย้า ดูสนิทสนมกับบุรุษขนาดนี้”
หลินฟาน ร้องโอ้ออกมา : “โอเค..”
หยุน เสี่ยวชี กล่าวว่า : “พี่ใหญ่หลิน ข้าขอเตือนท่านอย่างหนึ่ง ท่านเองต้องระวังเอาไว้ให้มากๆ นะ บุตรสาวตระกูลหยุนของเรา เข้มงวดกับการเลือกบุตรเขยมาก ข้าเองไม่รู้ว่า ศิษย์พี่หญิงชิงเย้า เคยได้บอกเรื่องนี้กับท่านหรือยัง แต่อย่างไรข้าก็ขอให้ท่านผ่านมันไปได้อย่างราบรื่น”
ยิ่งฟัง หลินฟาน ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น : “เธอไม่เคยบอกผม..”
หยุน เสี่ยวชี รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่.. หลินฟาน ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ? แต่กลับถูก ศิษย์พี่หญิงชิงเย้า พากลับมา.. งั้นความเป็นไปได้เดียว ผู้ชายคนนี้ ความกล้านี้ไม่น้อยเลยจริงๆ
หยุน เสี่ยวชี กล่าวว่า : “ข้าจะบอกกับท่านคร่าวๆ แล้วกัน ก่อนอื่นเลยเราในฐานะสำนักนิกายซ่อนเร้น โดยทั่วไปจะไม่แต่งงานกับสำนักนิกายซ่อนเร้นอื่นๆ ดังนั้นถ้า พี่ใหญ่หลิน เป็นศิษย์สาวกของสำนักนิกายซ่อนเร้นอื่นๆ ในเรื่องนี้ก็ต้องขออภัยแล้ว”
หลินฟาน กล่าวว่า : “ทําไม?”
หยุน เสี่ยวชี กล่าวว่า : “เพราะนี่จะเกี่ยวข้องกับปัญหาที่จะตามมามากมาย ระหว่างสองตระกูล หรือสองกองกําลัง และมันจะมีความยุ่งเหยิงมากมายที่ไม่สามารถผลักดันออกไปได้ ฮ่าฮ่าๆ พี่ใหญ่หลิน ท่านถามข้าแบบนี้ งั้น.. แสดงว่าท่านไม่ใช่คนจากสำนักนิกายซ่อนเร้น นั่นก็เพราะท่านกลับไม่รู้ถึงเรื่องนี้”
หลินฟาน ได้หัวเราะออกมา หยุน เสี่ยวชี คนนี้ค่อนข้างฉลาด และเขาได้พูดไปว่า : “อืม.. ผมไม่รู้เรื่องนี้จริง ยังมีอะไรอีก?”
หยุน เสี่ยวชี พูดว่า : “..ปัญหาอื่นๆ อืม.. คือบุรุษในหยุนเหมินเรา ต้องแต่งงานมีภรรยา และมีบุตร ลูกหลานของพวกเขาที่เกิดมาล้วนเป็นสมาชิกชนเผ่าหยุน ส่วนสตรีในหยุนเหมินเรา ต้องแต่งงาน และให้กำเนิดเด็กๆ เด็กๆ ที่พวกเขาให้กำเนิดก็ต้องเป็นของเราเผ่าหยุนเช่นกัน นี่คือการสืบสานสายเลือดของ หยุนเหมิน ของเรา หากท่านไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ ท่านก็ไม่สามารถเป็นบุตรเขยของตระกูลหยุนของเราได้”
หลินฟาน กล่าวว่า : “ที่กล่าวมานี่คือ ..ภาระบุตรเขย ไม่ใช่หรือ?”
หยุน เสี่ยวชี ยิ้ม และพูดว่า : “อืม ก็คือลูกเขยเข้าบ้าน นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราไม่แต่งงานกับสำนักนิกายซ่อนเร้นอื่นๆ ท่านลองคิดดูสิ บุรุษจากสำนักนิกายซ่อนเร้นอื่นๆ จะมายอมเป็นลูกเขยเข้าบ้านได้อย่างไร พี่ใหญ่หลิน ท่านเองก็ต้องคิดดูให้ดีๆ ในเรื่องนี้ด้วย”
หลินฟาน รู้สึกขบขันอยู่ในใจ แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่แฟนของ หยุน ชิงเย้า และเขาก็ไม่จําเป็นต้องไปคิดเกี่ยวกับปัญหานี้เลย
เมื่อพูดถึงลูกเขยเข้าบ้าน หลินฟาน ก็ใช่ว่าจะไม่เคย เขาเคยเป็นลูกเขยเข้าบ้านของตระกูลเว่ย ในหยุนเฉิง แม้จะเป็นการแต่งงานปลอมๆ ก็ตาม แต่เขาเองก็รู้ว่าการเป็นลูกเขยเข้าบ้านนั้น มันไม่ง่ายขนาดนั้น…
และแน่นอน.. เขาจะไม่เป็นลูกเขยเข้าบ้านคนอื่นอีกตลอดชีวิต และเขายังจำเป็นต้องสืบทอดสายเลือดของตระกูลหลิน ของเขา ดังนั้นเขาจะกลายไปเป็นเครื่องมือให้คนอื่นสืบทอดไปได้อย่างไร
ลูกเขยเข้าบ้าน โดยพื้นฐานแล้วเป็นเครื่องมือในการสืบสายเลือด ฐานะน่าอายมาก และก็มักจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ
ในฐานะที่เป็นสำนักนิกายซ่อนเร้นที่มีกําลัง และทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง มันเลยไม่ใช่เรื่องยากสําหรับผู้หญิงที่จะหาลูกเขยเข้าบ้าน ในความเป็นจริงแล้ว ชายโสดมีจํานวนมากในโลกนี้ และพวกเขาก็ย่อมยินยอมที่จะกินข้าวนุ่มๆ และหวังว่าจะได้มีภรรยาที่ร่ำรวยเลี้ยงดู
ขณะที่พูดกันอยู่ หยุน เสี่ยวชี จึงได้พา หลินฟาน มาถึงที่บ้านพักหลังหนึ่ง พอผลักประตูเข้าไป ก็ได้เชิญ หลินฟาน ให้เข้าไปข้างในบ้าน
ข้างในดูเป็นห้องไม่ใหญ่นัก แต่สะอาดมาก และสะดวกสบายมาก มีที่นอน โต๊ะ และเก้าอี้ สิ่งอํานวยความสะดวกเหล่านี้ก็ดูเรียบง่ายมาก แต่กลับไม่มีเครื่องใช้ในบ้านที่ทันสมัย
ที่แท้ หยุนเหมิน ก็ยังคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตแบบโบราณ ซึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ มองว่า เครื่องมือสมัยใหม่แม้จะสะดวกมากกว่า แต่ก็จะทำให้ผู้คนตกอยู่ในความขี้เกียจ และไม่ขยันขันแข็ง ดังนั้นจึงเลือกที่จะยังคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตแบบโบราณ
หยุนเหมิน ทั้งหมู่บ้าน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้มน้ำหุงข้าวก็ใช้ไม้ฟืน ตะเกียงน้ำมัน ก็ใช้สําหรับส่องสว่าง เนื่องจากไม่มีถนนเข้าถึงที่นี่ และไม่มียานพาหนะเช่น รถยนต์ ดังนั้นการออกไปข้างนอกก็มักจะอาศัยการเดินเท้า ไม่ก็ขี่ม้า…
“พี่ใหญ่หลิน ท่านเชิญนั่งลงก่อน เดี๋ยวข้าจะไปต้มน้ำมาให้ จริงสิ.. ท่านอยากกินอะไร” หยุน เสี่ยวชี ได้ถามเขาอย่างสุภาพ
หลินฟาน กล่าวว่า : “อะไรก็ได้ ผมไม่จู้จี้จุกจิกในเรื่องกิน ขอแค่ให้ได้อิ่มท้องเท่านั้น”
หยุน เสี่ยวชี ยิ้ม แล้วพูดว่า : “ได้ พี่ใหญ่หลิน พักผ่อนก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
หยุน เสี่ยวชี ได้กล่าว และออกไป
หลินฟาน จึงได้มาที่เตียง และนั่งลง เตียงที่นุ่มสบายในตอนนี้ ทําให้ หลินฟาน มีความอยากที่จะนอนมากขึ้น เขาไม่ได้หลับตามาทั้งวันทั้งคืนแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจจะค้างหนึ่งคืนที่เมืองเฟิ่งเซี่ยน และออกเดินทางต่อในตอนกลางวัน แต่สิ่งต่างๆ มันไม่ได้เป็นไปตามที่เขาหวัง ต่อมา หยุน ชิงเย้า ก็ได้หลบหนีไป เขาเองก็ต้องออกตามหาตลอดทั้งคืน ทั้งยังต้องมาทรมานไปเต็มๆ หนึ่งคืน
อย่างไรก็ตาม เขาได้คาดว่าฝ่าย หยุน ชิงเย้า คงจะไม่มาหาเขาในเร็วๆ นี้แน่ ดังนั้น หลินฟาน จึงได้นอนลง และงีบหลับไป
อีกด้านหนึ่ง หยุน ชิงเย้า ได้ตามชายหนุ่มอีกคนที่ชื่อ เสี่ยวเจี้ยน เข้าไปในหมู่บ้าน
“เสี่ยวเจี้ยน ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะไม่ไปหาท่านอาจารย์ก่อน เจ้าพาข้าไปหาท่านยายของข้าก่อนเถอะ” หยุน ชิงเย้า กล่าว
ท่านยาย ที่ออกมาจากปากของเธอ เป็นผู้อาวุโสที่ได้รับเคารพนับถืออย่างสูงในหยุนเหมิน ผู้อาวุโสคนนี้ไม่เพียงแต่มีการบ่มเพาะที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นมือศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์อีกด้วย
เสี่ยวเจี้ยน เมื่อเห็นว่า หยุน ชิงเย้า ได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย ก็คิดว่า หยุน ชิงเย้า แค่ไปหาท่านยาย เพื่อให้ได้รักษาอาการบาดเจ็บที่มือเท้า จึงไม่ได้ถามอะไรให้มาก เขาได้พยักหน้า และจากนั้นจึงพา หยุน ชิงเย้า เลี้ยวเข้าไปในเส้นทางเล็กๆ สายหนึ่ง
หยุน ชิงเย้า ที่ไปหาท่านยาย เธอไม่ได้ต้องการรักษาอาการบาดเจ็บที่มือเท้า แต่เธอต้องการให้ท่านยายช่วยเธอปลดผนึกเข็มที่อยู่ในจุดตันเถียน เพื่อฟื้นฟูการบ่มเพาะของเธอ
แม้ว่า หลินฟาน จะปล่อยเธอไป แต่ก็ไม่ได้ปลดผนึกจุดตันเถียน ให้กับเธอ แน่นอนว่า หลินฟาน ต้องคิดจะใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องในการต่อรอง และคงคิดว่ายังไง หยุน ชิงเย้า ก็อยู่ในมือของเขาแล้ว
ทาง หลินฟาน เองคงไม่ได้คาดคิดว่าจะมีมือศักดิ์สิทธิ์อยู่ในหยุนเหมิน และตราบใดที่เธอไปหาท่านยาย เพื่อปลดผนึกเข็มที่กักขังจุดตันเถียนแล้ว เธอก็จะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของ หลินฟาน อีก ในเวลานั้น หลินฟาน ก็จะขาดเบี้ยต่อรองในการเจรจา ด้วยวิธีนี้ พอถึงเวลานั้น ความคิดริเริ่มก็จะตกไปอยู่ในมือของ หยุน ชิงเย้า…