ตอนที่ 51 พลังกลืนเมฆา
เฉียนจี้เจียงใบหน้าแดงก่ำถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นความเร็วในการเผาไหม้ของเทียนในมือ เขาหันกลับไปมองคนอื่นและพบว่าพวกเขาตามมาทันแล้ว ขณะที่กำลังจะหันกลับมา สายตาเขาได้จับจ้องที่หญิงชราเฝิงอวี่
ใบหน้าเฝิงอวี่เปลี่ยนเป็นสีเขียว นั่นยังไม่แปลกเท่าไหร่ แต่ดวงตาเฝิงอวี่เปลี่ยนเป็นดำมืดซึ่งไม่มีอารมณ์ใดๆที่มนุษย์ควรมี ดวงตานี้มีแต่ความเยือกเย็น
เฉินเฟยที่ตามหลังเฉียนจี้เจียงเห็นสีหน้าเฉียนจี้เจียงเปลี่ยนไปมากหัวใจเขาถึงกับสั่นไหว เมื่อหันไปมองก็เห็นเฝิงอวี่แปลกไป
ปากเฝิงอวี่แย้มยิ้มราวกับสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของทั้งสอง รอยยิ้มนี้ฉีกไปถึงใต้ใบหู ความรู้สึกน่าขนลุกพุ่งตรงมายังหัวใจ
ง้างธนูแล้วยิงออกไป!
เมื่อครู่ทุกคนวิ่งอย่างสุดกำลัง มีเพียงเฉินเฟยเท่านั้นที่ยังมีกำลังเหลืออยู่ เฉินเฟยหันกลับมาและยิงธนูใส่เฝิงอวี่
“ปัง!”
ก่อนที่ลูกธนูจะไปถึงเฝิงอวี่ หัวเฝิงอวี่ได้ระเบิดออก เนื้อและละอองสีเขียวกระจายไปทุกทาง
เฉินเฟยกลั้นหายใจแต่ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่เล็กน้อย ดูที่เนื้อหนังของนางอีกครั้ง ตอนนี้ได้กลายเป็นสีเขียวแล้ว
เมื่อพุ่งออกจากสถานที่ซึ่งปกคลุมด้วยหมอกเขียว ขวดยาปรากฏขึ้นในมือเฉินเฟย เฉินเฟยกินโอสถแก้พิษสามสี่เม็ดในคราวเดียวจากนั้นโยนขวดโอสถให้คนอื่น คนอื่นรับมันไว้ เมื่อเห็นว่าเป็นโอสถล้างพิษพวกเขาจึงกินมันทันที
ทุกคนต่างตะลึงกับการกระทำของเฝิงอวี่ โชคดีที่ทุกคนมีประสบการณ์โชกโชน การกลั้นหายใจในเวลานั้นเป็นสิ่งที่ทำโดยจิตใต้สำนึก การกินโอสถล้างพิษนี้ถือได้ว่าเป็นการระงับพิษในร่างกาย
ไม่มีใครพูดอะไรเพราะไม่มีใครรู้ว่าเฝิงอวี่ถูกปกคลุมตั้งแต่เมื่อใด ในเวลานี้ทุกคนยังคงวิ่งไปข้างหน้าต่อไป
ผ่านไปไม่รู้กี่ชั่วยาม เฉียนจี้เจียงหยุดเท้า
เฉียนจี้เจียงพ่นเลือดออกมาเต็มปาก ใบหน้าแดงก่ำของเขาจางลง ในเวลานี้เทียนสีแดงในมือเขาเผาไหม้อย่างคงที่ หมอกโดยรอบสลายไปเช่นกัน
ใบหน้าฉือเต๋อเฟิงซีดขาวราวกับจะล้มได้ทุกเมือง เหยียนชิงเหยียนติงเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าพวกเขาซีดขาวมากเช่นกัน
เฉินเฟยเหนื่อยอย่างผิดปกติ เนื้อเน่าติดกระดูกแสดงอาการมากทำให้เขาใช้กำลังมากกว่าปกติ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วเขามีสภาพดีสุด
“ไปต่ออีกหน่อยแล้วค่อยหาที่พัก”
เฉียนจี้เจียงหายใจเข้าลึก แม้ตอนนี้จะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เดินทางอีกหน่อยเพื่อความปลอดภัยดีกว่า
ไม่มีใครคัดค้าน ในเวลานี้ทุกคนวางใจเฉียนจี้เจียงมาก
การจ่ายเงินสามร้อยตำลึงไม่ใช่เรื่องผิดเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียนจี้เจียง วันนี้คงยากบอกได้ว่าจะมีคนตายกี่คนหรือถูกกวาดล้างทั้งหมด
เฉินเฟยเหลือบมองเทียนสีแดงในมือเฉียนจี้เจียงและตัดสินใจว่าหลังจากถามอย่างชัดเจนแล้วจะต้องซื้อเทียนหลายสิบเล่มเก็บไว้ในช่องมิติ โลกภายนอกนี้อันตรายเกินไป
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เฉียนจี้เจียงหยุดเท้าลง
เฉียนจี้เจียงตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวังและพยักหน้าให้ทุกคน ในเวลานี้ทุกคนต่างปล่อยตัวปล่อยใจโดยสิ้นเชิง แม้จะรอดจากหายนะมาได้แต่ความกลัวยังคงฝังลึกอยู่ในใจ
หาสถานที่เหมาะสมและเริ่มตั้งค่าย ทุกคนงีบหลับไปอย่างเหนื่อยล้า
เฉินเฟยนั่งไขว่ห้างฝึกฝนเคล็ดชำระใจและค่อยๆฟื้นฟูพละกำลัง ตั้งแต่กลางคืนจนถึงรุ่งสางไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
เดินทางต่อในตอนกลางวัน เมื่อเทียบกับสภาพหย่อนยานเมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้ทุกคนมีพลังเต็มเปี่ยม
“ข้าคิดว่าตัวเองเหนื่อยเกินไป ข้าได้กลิ่นเนื้อย่างกลิ่นสุราด้วย ช่างหอมจริงๆ!”
ในช่วงพัก ฉือเต๋อเฟิงสูดหายใจเข้าและพูดพึมพำอย่างช่วยไม่ได้
เฉินเฟยมองฉือเต๋อเฟิง ชายคนนี้จมูกดีเสียจริง
เมื่อครู่นี้เพื่อจะปลอมใจตัวเอง เฉินเฟยนำเนื้อย่างจากช่องมิติออกมากินในระหว่างไปถ่ายเบา ในเวลานี้ฉือเต๋อเฟิงจึงได้กลิ่นของมัน
“เนื้อย่างกลิ่นสุราอะไรหรืออะไรก็แล้วแต่ พรุ่งนี้เข้าเมืองซิ่งเฝินแล้วข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง!”
เฉียนจี้เจียงมองฉือเต๋อฟางแล้วหัวเราะ
แม้ว่าเทียนสีแดงและเทียนสีขาวจะถูกใช้จนหมด แต่ตราบใดที่พวกเขาไปถึงเมืองซิ่งเฝินได้อย่างปลอดภัยก็ถือว่าเป็นชัยชนะ
ฉือเต๋อเฟิงหัวเราะฮึฮึแล้วโบกมือหยุดพูด
รีบพักผ่อนแล้วรีบไป
ในที่สุดโครงร่างเมืองได้ปรากฏต่อสายตาทุกคน หัวใจทุกคนสั่นไหว ในที่สุดก็มาถึงเมืองซิ่งเฝิน
ห้าวันไม่ใช่เวลายาวนาน หากไม่ได้เจอหมู่บ้านนั้น ด้วยพละกำลังของนักยุทธ์มันจึงไม่ใช่เรื่องหนักหนา แต่สิ่งแปลกประหลาดทำให้ทุกคนกลัวแทบตาย และหญิงชราเฝิงอวี่ยังตายจากไป
ทั้งห้าคนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ครึ่งชั่วยามต่อมาได้มาถึงประตูเมืองซิ่งเฝิน
เมื่อเทียบกับเมืองอำเภอของอำเภอผิงหยิน เมืองซิ่งเฝินใหญ่กว่าอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้ล้วนเห็นได้จากความสูงของกำแพงเมือง เมื่อเทียบกับอำเภอผิงหยินซึ่งตอนนี้ไร้ชีวิตชีวา เมืองซิ่งเฝินที่มีผู้คนสัญจรไปมามีชีวิตชีวามาก
หลังมอบตำลึงเงินสำหรับเข้าเมือง ทั้งห้าคนยืนมองหน้ากันอยู่บนถนน
“มาถึงเมืองซิ่งเฝินแล้ว พวกเราขอแยกกับทั้งสามตรงนี้ ไว้พบกันใหม่!” เหยียนชิงกับภรรยาประสานมือแล้วหายไปที่มุมถนน
“เจ้าจะทำอย่างไรต่อ?” ฉือเต๋อเฟิงมองเฉินเฟย
“ข้าต้องการไปต่อที่เมืองเซียนเมฆา”
เฉินเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ ไม่พูดถึงเรื่องเข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆาได้หรือไม่ แค่สภาพแวดล้อมมั่นคงของที่นั่นอย่างเดียวก็เหมาะสำหรับเฉินเฟยที่จะพัฒนาตัวเอง
และยังไม่พูดถึงว่าที่นั่นมีวิชายุทธ์มากกว่าที่นี่ ที่นั่นไม่ควรเหมือนอำเภอผิงหยินซึ่งเก็บรักษาวิชาไว้อย่างเข้มงวด
“ในเมืองซิ่งเฝินมีกองคาราวานไปยังเมืองเซียนเมฆา มันจะปลอดภัยกว่าหากเจ้าติดตามกองคาราวานไป” เฉียนจี้เจียงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ว่ากันว่าสำนักกระบี่เซียนเมฆาไร้เปรียบในโลกนี้ ตอนนี้ออกมาจากอำเภอผิงหยินแล้ว ข้าต้องการไปดูสักหน่อย”
ฉือเต๋อเฟิงมองเฉินเฟยแล้วหัวเราะ “เราสองคนไปด้วยกันดีหรือไม่?”
“เชิญเลย” เฉินเฟยกุมมือ
“อย่ามายืนคุยตรงนี้เลย ไปหาที่พักแล้วกินอาหารดีๆกันเถอะ!”
ทั้งสามหัวเราะเสียงดังและเดินไปตามถนน
ตกกลางคืน เฉินเฟยนั่งไขว่ห้างอยู่ในห้องพักโรงเตี๊ยม
หลังดื่มกินเมื่อครู่ เฉียนจี้เจียงเดินออกไปข้างนอกสองครั้งพร้อมกับได้ข้อมูลกลับมา
หลังจากนี้หนึ่งเดือนกว่ากองคาราวานเซียนเมฆาจะมาถึงเมืองซิ่งเฝินจากที่อื่น จากนั้นกองคาราวานจะเดินทางกลับไปยังเมืองเซียนเมฆา
ใช้ชื่อเซียนเมฆาเป็นชื่อของกองคาราวาน ใครๆต่างจินตนาการถึงความสัมพันธ์เบื้องหลังได้แน่นอน ดังนั้นกองคาราวานนี้จึงแข็งแกร่งมาก ถ้าขอติดรถไปด้วยได้ การไปเมืองเซียนเมฆาจะปลอดภัยขึ้น
สำหรับค่าโดยสารนั้นย่อมมีราคาแพงเป็นธรรมดา แต่เฉินเฟยไม่ตระหนี่กับเงินเพียงเล็กน้อยนี้
“ต้องขายโอสถอีกครั้ง ไปดูก่อนว่าที่นี่มีขายสูตรโอสถกับวิชายุทธ์ดีๆหรือไม่”
เฉินเฟยพึมพำกับตัวเองแล้วหลับตาลง
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเฟยปรากฏตัวที่หน้าร้านค้า
อาวุธ โอสถ หรือแม้แต่วิชายุทธ์ ร้านนี้มีขายทุกอย่าง
“วิชาพลังภายใน? แน่นอนว่ามี คุณลูกค้าคิดว่าเล่มนี้เป็นอย่างไร?”
เจ้าของร้านได้ยินคำขอของเฉินเฟยจึงหยิบตำราวิชาจากชั้นวางมาวางไว้ตรงหน้าเฉินเฟย “เมื่อไม่นานนี้มีศิษย์นิกายจนตรอกจึงนำวิชายุทธ์มาขายให้เรา”
สีหน้าเฉินเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองที่ตำรา
พลังกลืนเมฆา!