บทที่ 42
วันนี้ลง 42 43 44
บทที่ 42
“สหายน้อยผู้นี้โปรดหยุดก่อน! ห้องโถงด้านหลังเป็นพื้นที่เฉพาะของผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล ห้ามบุคคลภายนอกเข้า หากเจ้ามีภารกิจใดอยากมอบหมาย สามารถลงทะเบียนได้ที่ห้องโถงด้านหน้า”
สวี่ล่ายเงยหน้าขึ้น เห็นชายชราชุดดำสามดาวคนหนึ่งขวางทาง
“โอ้ ผู้อาวุโส ผู้เยาว์มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการรับรองคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล ไม่ทราบต้องไปทางไหน?” สวี่ล่ายประสานกำปั้นด้วยสองมือ ตอบกลับอย่างสุภาพ
“โอ้?” ชายชรามองสวี่ล่ายขึ้นๆลงๆ จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย “สหายน้อยก็ฝึกฝนประสานค่ายกลด้วยหรือ?”
“ขอรับ ผู้เยาว์พอมีความสามารถอยู่บ้าง” สวี่ล่ายตอบอย่างสุภาพ
ชายชราพยักหน้า แม้จะยังมีข้อสงสัยในใจอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ตอบอย่างรวดเร็วอย่างแผ่วเบา “การประเมินคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลอยู่ในห้องโถงด้านหลัง ขอสหายน้อยตามเราผู้เฒ่ามา”
“ขอบคุณผู้อาวุโส” สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย เดินตามหลังเขา
ทันทีที่เข้าสู่ห้องโถงด้านหลัง สวี่ล่ายตกตะลึง
เห็นเพียงศาลาหลังไม่ใหญ่ แต่ทั้งหมดสร้างจากหยกที่ดีที่สุด เพิงหลังคาประดับด้วยมุกราตรีที่มีสีสันแตกต่างกันอักขระยันต์กระพริบในห้องโถง และมีกลิ่นอายสังหารซ่อนอยู่
“นี่มัน......? ค่ายกล?” ในที่สุด สวี่ล่ายก็สังเกตเห็นของดีบางอย่างเข้าให้แล้ว
“โฮ่ โฮ่ ถูกต้อง” ชายชรายิ้มเล็กน้อย คล้ายชอบดูสีหน้าประหลาดใจของผู้มาใหม่มาก
สวี่ล่ายมองไปรอบๆ พบว่าโถงด้านในมีเสาผลึกสีต่างๆตั้งสิบสองต้น แต่ละเสาสูง 5-6 หมี่ และมีสัตว์ปีศาจดุร้ายประเภทต่างๆถูกผนึกไว้ข้างใน พวกมันแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนสิ่งมีชีวิต ไม่สิ ถ้าพูดให้ชัดๆคือพวกมันยังมีชีวิตอยู่
“ว้าว!? นี่คือ...?” ดวงตาของสวี่ล่ายเบิกกว้าง มองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ
“โฮ่ โฮ่ สำหรับผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลที่มายังนี่เป็นครั้งแรก เกือบทุกคนล้วนแสดงสีหน้าแบบเจ้า” ชายชรายิ้มเล็กน้อย
“นี่สมควรจะเป็นค่ายกลอัญเชิญอะไรสักอย่างที่คล้ายๆกับหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณ” สวี่ล่ายยื่นมือลูบเสาผลึกตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
เห็นเพียงสัตว์ปีศาจในเสาผลึก กระโดดขึ้นลง ส่งเสียงคำรามใส่สวี่ล่ายเป็นครั้งคราว คล้ายปรารถนาจะกระโจนออกมา อย่างไรก็ตาม อักขระยันต์บนเสาผลึกกลายเป็นโซ่ตรวน เข้าพัวพันกับมัน ไม่ยอมให้หลุดพ้น
“ไม่เลว เจ้าก็พอมีความรู้อยู่บ้าง ค่ายกลใหญ่นี้มีชื่อว่า : ค่ายกลสิบสองสัตว์ปีศาจ สร้างขึ้นจากการร่วมมือกันของเหล่าผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลในพันธมิตร”
ชายชราแนะนำอย่างภาคภูมิใจ
“ค่ายกลสิบสองสัตว์ปีศาจ? เช่นนั้นวิญญาณสัตว์ปีศาจที่ถูกผนึกเหล่านี้ ต้องเก่งอย่างน้อยระดับ 3ขึ้นไป” สวี่ล่ายลอบอุทาน
“โฮ่ โฮ่ สายตาหลักแหลมนัก ถูกต้อง วิญญาณสัตว์ปีศาจที่ผนึกไว้ในค่ายกลสิบสองสัตว์ปีศาจนี้ ทุกตนล้วนเป็นสัตว์ปีศาจที่มีพลังรบเหนือระดับ 3 ขึ้นไป ไม่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อค่ายกลนี้ถูกเปิดใช้งาน สัตว์ปีศาจทั้งสิบสองตนจะร่วมมือกับค่ายกลใหญ่ พลังรบสามารถต่อกรได้กระทั่งราชานักสู้ในขอบเขตรวมจิต”
“ท่านว่ากระไร!?” สวี่ล่ายได้ยินแบบนั้น ดวงตาเขาเป็นประกาย
“โฮ่ โฮ่ สหายน้อย ผ่านทางเดินด้านหน้าเข้าไปก็นจะถึงห้องโถงด้านในแล้ว นั่นคือจุดประเมินผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล เจ้าสามารถเดินทางไปได้ด้วยตัวเอง ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี” ชายชรายิ้มเล็กน้อย ชี้ทางให้สวี่ล่าย
“ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับคำแนะนำ”สวี่ล่ายหันกลับมาประสานสองกำปั้น จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินไปที่ห้องโถงด้านใน
ตลอดทาง สวี่ล่ายแอบคิด ‘จุ๊จุ๊จุ๊ ค่ายกลสิบสองสัตว์ปีศาจนี้เท่สุดๆ หากมีโอกาสได้มันมาครอง ต่อไปมันจะต้องเป็นค่ายกลที่ดีที่สุดในการช่วยชีวิตแน่นอน”
สวี่ล่ายคิดถึงภารกิจของระบบเป็นอันดับแรก ความยากระดับ 4 ดาวไม่ใช่เรื่องตลก แต่หากสามารถครอบครองค่ายกลสิบสองสัตว์ปีศาจนี้มาอยู่ในมือ มันจะเพิ่มโอกาสในการชนะได้อย่างมากอย่างแน่นอน
คิดได้แบบนี้ จู่ๆสวี่ล่ายก็เต็มไปด้วยพลัง วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องโถงด้านใน
ทันทีที่ เข้าไปในห้องโถงด้านใน เห็นเพียงกลุ่มคนจากตระกูลหลิน พูดคุยกับชายชราที่มีเครายาวในชุดคลุมสีขาว
“อะไรนะ? ที่แท้เจ้าก็มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง? ข้าลบหลู่แล้ว ลบหลู่แล้ว!”
ชายชราเครายาวยืนตะลึง ท่าทีกลายเป็นเคารพทันที รีบประสานสองกำปั้น เอ่ยชมเชยว่า “ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูจากตระกูลผู้ประสานค่ายกลจะมายังพันธมิตรเพื่อเข้าร่วมการประเมินคุณสมบัติ เป็นเกียรติอย่างยิ่ง มาเถิด เชิญเข้าไปข้างใน”
“ขอบคุณมาก” หญิงตาฟ้าโน้มตัวเล็กน้อย แสดงความเคารพตอบ หันหลังกลับและเดินไปยังห้องด้านในพร้อมกับทุกคน
“จิ๊ส์!” สวี่ล่ายม้วนริมฝีปากตัวเอง ดูท่าไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดในโลกนี้ เจ้าก็ต้องถูกถามถึงสถานะและภูมิหลังของตัวเอง
“ดังคำกล่าวที่ว่า หากเป็นที่รู้จัก การทำสิ่งต่างๆก็ง่ายขึ้นเยอะ”
จู่ๆ ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในใจสวี่ล่าย เขาคิดกลอุบายหนึ่งออก
“เฮ่ะ เฮ่ ขอข้าลองดูบ้างแล้วกัน” สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้า
“สหายน้อยผู้นี้ เจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมในการประเมินใช่หรือไม่?” ชายชราในชุดขาว เครายาวหันกลับมา เห็นสวี่ล่ายพอดี รีบสอบถาม
สวี่ล่ายเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงดาวสีเงินห้าดวงสลักอยู่บนหน้าอกของชายชราในชุดขาว แม้ว่าจะไม่ชัดเจนถึงตำแหน่งของอีกฝ่าย แต่เขายังคงยิ้ม ประสานกำปั้นกล่าว “ผู้อาวุโสท่านนี้ รุ่นเยาว์ฟางเซี่ยน เดินทางไกลมาเข้าร่วมในการประเมินตามคำสั่งของอาจารย์”
“โอ้? เช่นนั้นอาจารย์ของสหายน้อยฟางคือผู้ใด?” ชายชราเครายาวผงะ ไม่คาดหวังว่าเด็กน่าเกลียดตรงหน้า ก็เป็นคนที่มีภูมิหลัง
“เอ่อ~!นี่...” สวี่ล่ายแสร้งแสดงสีหน้าลำบากใจ
“อะไร? สหายน้อยฟางมีปัญหาใดหรือเปล่า?” ชายชราเครายาวถามอย่างสงสัย
“เรียนอาวุโส จริงๆ แล้ว อาจารย์ข้าเป็นคนที่ค่อนข้างแปลก เขาไม่ยอมให้ข้าเข้าประเมินโดยอ้างชื่อตน และในทุกๆวันที่เอ่ยสอน ... ท่านก็ไม่เคยเอ่ยนามตัวเองมาก่อนเลย ดังนั้น ข้า...” สวี่ล่ายผายมือด้วยความยุ่งยากใจ
“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว” ชายชรามีเครากระพริบตา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่แปลกใจเลย
ว่ากันตามจริงมีอาจารย์หลายคนที่เก่งกาจ แต่อุปนิสัยพิลึกไม่น้อย หลายคนเมื่อรับลูกศิษย์ มักไม่ชอบให้เอ่ยชื่อตนพล่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าร่วมการประเมินของพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกล เพราะในกรณีที่สอบไม่ผ่านหรือทำได้ไม่ดี พวกเขาจะได้ไม่เสียหน้า
“ไม่ทราบว่าอาจารย์ของสหายน้อย มีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร?”
ณ เวลานี้ ชายชราอีกคนในชุดคลุมขาวเดินออกมาจากห้องด้านใน คนนี้รูปร่างสูง ใบหน้าแดง มีดวงตาที่สดใส เดินอย่างกระฉับกระเฉง
สวี่ล่ายเพ่งมองอย่างรอบคอบ เห็นเพียงหน้าอกของชายชราหน้าแดงคนนี้ สลักไว้ด้วยดาวเงิน 7 ดวง
“โอ้ ศิษย์พี่ว่าน ไม่ทราบข้างในเตรียมการไปถึงไหนแล้ว?” ชายชราเครายาวยิ้มเล็กน้อย ประสานหมัดทําความเคารพ
“โอ้ เบื้องต้นได้เตรียมการไว้แล้ว ว่าแต่ทางศิษย์น้อยไป๋มีปัญหาใด?” ชายชราแซ่ว่านประสานสองกำปั้นขึ้นเป็นการรับความเคารพ
“ยังมีเวลาเหลืออีกสองสามชั่วยาม ข้าเลยอยากลองคาดเดาอาจารย์ของสหายน้อยฟางผู้นี้ดู” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายชราแซ่ไป๋ตอบช้าๆ
“งั้นก็ดี” ชายชราแซ่ว่านพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองสวี่ล่าย ยิ้มเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าอาจารย์ของสหายน้อยฟางมีลักษณะอย่างไร พวกเราสองคนจะช่วยวิเคราะห์ให้เอง”
สวี่ล่ายกลอกตาขึ้นบน ในใจเริ่มจินตนาการรูปลักษณ์ที่คิดโกหก เอ่ยปากว่า “อาจารย์ตัวไม่สูง ร่างผอมแห้ง หลังค่อมเล็กน้อย ใบหน้าใหญ่ ...”
ยังไม่รอให้สวี่ล่ายแต่งเรื่องจบ ชายชราแซ่ว่านผงะไปครู่หนึ่ง “หรือว่าจะเป็นปรมาจารย์เชียนเฉิน?”
‘ให้ตายเถอะ! ไม่มีทาง? นี่ข้ามั่วเอาล้วนๆ แล้วเจ้าจะไปรู้จักเขาได้ยังไง?’ สวี่ล่ายได้ยินแบบนี้ ก็แตกตื่นตกใจทันที เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามหน้าผาก
ปรับอารมณ์สักพักก็รีบเอ่ยต่อว่า “นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยังมีฟันเหยิน ...”
“โฮ่ โฮ่ ศิษย์น้องไป๋ ครั้งนี้ไม่ผิดพลาดแล้ว เขาคือศิษย์ของปรมาจารย์เฉินจริงๆ” ชายชราแซ่ว่านยิ้มแป้น ขยิบตาให้ชายชราแซ่ไป๋
‘ไม่ผิดพลาดปู่เจ้า! แบบนี้ก็ได้หรอ!?’ ครั้งนี้สวี่ล่ายรู้สึกอึดอัดมาก เดิมเขาคิดหาลักษณะอื่นแต่งแต้มเพิ่มเติม หลีกเลี่ยงคนที่พวกเขารู้จัก แต่กลับกลายเป็นยิ่งตรงกว่าเดิม
“ใช่ใช่ ปรมาจารย์เฉินเป็นคนบุคลิกประหลาด เขาเคยสาบานว่าจะไม่รับศิษย์ ไม่คาดหวังว่าหลานฟางเซี่ยนจะเป็นข้อยกเว้น น่ายินดีจริงๆ” ชายชราแซ่ไป๋ปัดเครายาวด้วยมือตัวเอง ยิ้มเล็กน้อย
เห็นชายชราดูมีความสุขกันสองคน สวี่ล่ายยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่เขลา ไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ
สวี่ล่ายลอบส่ายหัว ‘ดูท่าต่อไปข้าจะโมเมอะไรมั่วๆไม่ได้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นจับพลัดจับผลูเป็นลูกศิษย์ของคนอื่นที่มีตัวตนจริงๆอีก’
เส้นเลือดดำปูดขึ้นข้างขมับสวี่ล่าย ตกอยู่ในสถานการณ์ขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก ทำได้เพียงยอมรับอย่างเงียบๆ เพราะต่อให้ปรมาจารย์เฉินคนนั้นจะปรากฏตัวในตอนนั้น แต่ตราบใดที่เจ้าตัวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ก็สามารถหาข้ออ้างหลุดพ้นไปได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘ศิษย์ของปรมาจารย์เฉินผู้นี้ เขาไม่ใช่คนพูดเอง ดังนั้นไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ และใช้ความเข้าใจผิดนี้ไปก่อนก็ไม่เห็นเป็นไร’
เมื่อคิดได้สวี่ล่ายก็กลับมามีท่าทีปกติเหมือนเดิม เขายิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ผู้อาวุโสทั้งสอง ... อาจารย์ไม่ให้ข้าเอ่ยนาม ฉะนั้นจะดีมากหากพวกท่านไม่พูดมันออกไป”
“โอ้ เข้าใจแล้ว เราทุกคนเข้าใจดี” ชายชราแซ่ว่านยิ้ม กล่าวต่อ “หลานฟางเซี่ยน การประเมินผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลยู่ข้างใน ลุงจะพาเจ้าไปที่นั่นเอง”
‘ตามน้ำไปก็แล้วกัน!’ สวี่ล่ายบ่นในใจ และสังเกตได้ว่าตัวเองจากเดิมถูกเรียก ‘สหายน้อยฟาง’ ตอนนี้กลายเป็น ‘หลานฟางเซี่ยน’ ไปซะแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแผนจะได้ผล สวี่ล่ายมีความสุขในใจ ประสานสองกำปั้น “ขอบคุณ ปรมาจารย์ว่าน”
ตอนนี้สวี่ล่ายไม่สนใจแล้วว่าเขาจะสวมรอยผู้ใดหรือไม่ ขอแค่ตลอดหนึ่งวันนี้ ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่นก็พอ
สวี่ล่ายอำลาชายชราแซ่ไป๋ เดินตามลุงว่านเข้าไปในห้องด้านใน
เมื่อเข้าไปในห้องด้านใน สายตามากกว่าสิบคู่จับจ้องมาที่เขาทันที
“หือ เหตุใดเจ้าผีอัปลักษณ์ถึงเข้ามาด้วยล่ะ?”
สวี่ล่ายเงยหน้าขึ้นมอง เห็นคนตระกูลหลินจ้องมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ
กระนั้น ตอนนี้สวี่ล่ายกลายเป็นผู้มีภูมิหลังแล้ว ดังนั้นไม่หวั่นเกรง เชิดหน้าสูง เดินตามหลังชายชราแซ่ว่านไป
“เฮ้ย เจ้าผีน่าเกลียด มาที่นี่ทำไม จงไสหัวออกไปให้ข้า!” หลินจื่อชิงเห็นสวี่ล่ายไม่สนใจเขา ในใจโกรธขึ้นมาทันที
“อย่าหยาบคาย!” ชายชราแซ่ว่านขมวดคิ้ว ตะโกนก้อง “หลานฟางเซี่ยนเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เฉิน เชียนเฉิน ในแง่ของสถานะนั้นไม่ต่ำต้อยไปกว่าตระกูลหลินของเจ้า หากหยาบคายอีก ระวังโดนตัดสิทธิ์จากการประเมิน”
“ห๊ะ!? เอ่อ ข้า...” หลินจือชิงหุบปากลงทันที ใบหน้าเริ่มกลายเป็นเขียวคล้ำ