บทที่ 278 – การเจรจาสงบศึกเริ่มมีความหวัง
มู่จือยื่นมือออกไปคว้าขามาไว้ที่จานของเธอข้างหนึ่งก่อน “ทำไมข้าต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ? ทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นเพื่อน ๆ ของจางกงกันหมด ดังนั้น พวกเขาก็ถือว่าเป็นเพื่อนของข้าด้วย ข้าจะต้องระวังอะไรไปทำไม? แล้วนี่ก็นานแล้วเหมือนกัน ที่ข้าไม่ได้กินอย่างเต็มอิ่มแบบนี้”
ซิวซือหันไปกล่าวกับตงรื่อ “พวกเรามาพนันกันดีมั้ย? ว่าใครจะเป็นคนที่กินได้เยอะที่สุด?”
นั่นทำให้ตงรื่อสนใจไม่น้อย เขายิ้มก่อนจะตอบกลับ “ได้เลย! ให้ทุกคนมาพนันกันว่าใครจะเป็นคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่”
“ข้าคิดว่าน่าจะต้องเป็นจางกงอย่างแน่นอน”
“นั่นมันก็ไม่แน่หรอก ข้าคิดว่าเจ้าหญิงมู่จือดูยังไม่ค่อยอิ่มเลยนะ”
............
ในที่สุด ซิวซือก็เป็นคนสรุปออกมา “เอาอย่างนี้เป็นยังไง? ข้าจะเป็นเจ้ามือเอง คนที่พนันว่าจางกงจะชนะแทง 1 ได้ 1 ส่วนคนที่พนันว่าเจ้าหญิงชนะ แทง 1ได้ 2 มา! ทุกคนวางเดิมพันลงมาได้เลย”
“ข้าพนันข้างจางกง 10 เหรียญเพชร”
“ข้าพนันข้างจางกง 20 เหรียญเพชร” ด้วยความที่ผมนั้นเป็นผู้ชาย มันมีความได้เปรียบตามธรรมชาติอยู่ไม่น้อย และยังมีฉายาติดตัวว่าถังข้าวธาตุแสงอีก นั่นทำให้เกือบทุกคนพนันข้างผม
ตอนนั้นผมกำลังเริ่มลงมือกับอาหารชุดที่สามอยู่ เอ่ยถามพวกเขาออกไปว่า “ข้าสามารถเดิมพันได้ด้วยหรือไม่”
ซิวซือยิ้มออกมา “นายตั้งใจกินไปเถอะ อย่าทำให้เหล่าผู้ชมผิดหวัง! จะมาวางเดิมพันด้วยเพื่ออะไร? พวกเรากลัวว่านายจะยอมอ่อนข้อให้เธอนะสิ”
ผมรีบกล่าวออกไปอย่างสำนึกผิด “ฉันสัญญาด้วยเกียรติของตัวเองเลย ฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อในศึกครั้งนี้โดยเด็ดขาด ฉันจะไม่หยุดกินจนกว่าจะอิ่มจริง ๆ”
ซิวซือยอมให้ในที่สุด “ก็ได้! ก็ได้! นายจะพนันด้วยก็ได้ แต่ว่านะ แทง 1 ได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น!”
“ตกลงตามนั้น!” แล้วผมก็หยิบเอาผลึกเวทย์มนต์สีเขียวคุณภาพสูงออกมาจากกระเป๋ามิติ แล้วโยนให้เขาไป “ฉันวางเดิมพันว่าเจ้าหญิงมู่จือจะชนะ!”
นั่นทำให้ทุกคนที่วางเดิมพันข้างผมถึงกับยืนอึ้งราวกับเป็นคนโง่ เค้อหลุนตัวแทบอยากจะขอเงินเดิมพันของเขากลับทันที เขารู้ตัวได้อย่างรวดเร็วไม่น้อย ว่าผมนั้นอยู่กับมู่จือมาเป็นระยะเวลานาน ในกรณีที่ผมไม่ได้โกงอะไรเลยแบบนี้ การวางเดิมพันของผมนั้นน่าจะเกิดจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ล้วน ๆ
แต่ซิวซือรีบปกป้องกองเงินเดิมพันเอาไว้อย่างดี “ห้ามใครโกงเด็ดขาด วางแล้ววางเลย ผลมันยังไม่แน่นอนเสียหน่อย บางทีจางกงอาจจะไม่แพ้ก็ได้”
ความจริงผมนั้นหิวมากจริง ๆ เพราะไม่ได้กินอะไรมาเลยทั้งวัน แต่ผมก็เป็นแต่มนุษย์คนหนึ่ง มีขีดจำกัดของตัวเองอยู่ หลังจากจัดการกับอาหารชุดที่สามไปได้เกือบครึ่ง ผมก็เริ่มอิ่มแล้ว พยายามที่จะฝืนกินต่ออีก 2-3 คำ แต่ก็พบว่าไม่ไหวแล้วจริง ๆ นั่นทำให้ผมหยุดมือลงในที่สุด
ตอนนี้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่มู่จือ ซึ่งกำลังกินต่ออยู่อย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาของพวกเขาถลนออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังมองอยู่
ในที่สุดความเร็วของเธอก็ลดลง ระยะเวลาในการเคี้ยวแต่ละคำเริ่มนานขึ้น แต่คำว่าช้าลง ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหยุดมือ เธอยังคงค่อย ๆ ละเลียดไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด อาหารชุดที่สามก็หมดลงจนได้ เธอใช้ผ้าสะอาดเช็ดปาก ก่อนจะตอบลงไปที่ท้องของตัวเองอย่างพึงพอใจ นั่นทำให้ทุกคนที่กำลังลุ้นอยู่ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ตอนที่ผมกำลังจะไปรับเงินที่ตัวเองชนะมาอยู่นั่นเอง เสียงของมู่จือก็ดังขึ้น “ขอโทษด้วย มื้อนี้มีของหวานหรือไม่?”
คำถามของเธอทำให้แก้วชาในมือของพี่ใหญ่จ้านหู่ล่วงลงแตกกระจายกับพื้นทันที เหรียญเพชรที่ซิวซือกำลังเก็บก็ตกกลับไปบนโต๊ะอีกครั้ง ซานหยุนแทบจะตกจากเก้าอี้ ซิงโอวกับเกาเต๋อพากันไอจากการสำลักน้ำชา เจี้ยนซานพ่นชาที่กำลังดื่มอยู่ออกมา มันพุ่งเข้าหน้าของเค้อหลุนตัวแบบเต็ม ๆ แม้แต่ผมที่รู้ความสามารถของเธออยู่แล้ว ก็ยังตกใจไม่น้อยเหมือนกัน
ใบหน้าอันสวยงามน่ารักของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจนัก “ทำไมทุกคนถึงได้กินน้อยกันมากเลยล่ะ? ไม่กินของหวานกันหรือ?”
ขณะที่เจี้ยนซานกำลังช่วยเค้อหลุนตัวเช็ดน้ำชาบนหน้า เขาพึมพำออกมา “นี่ยังถือว่าน้อยอีกหรือ ถ้ากินเยอะจะเป็นยังไงเนี่ย อาหารไม่หมดป้อมเลยหรือยังไง?”
ผมไม่สนใจอะไรอย่างอื่นแล้ว รับเงินที่ผมชนะมาจากซิวซือ ก่อนจะกล่าวกับทุกคน “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนอิ่มกันหมดแล้ว ไปเดินย่อยอาหารกันเสียหน่อย แล้วรีบกลับมาฝึกฝนต่อ เวลาของพวกเราเหลือไม่มากแล้ว”
...........
พวกเราใช้ช่วงเวลาที่รอข่าวจากอาณาจักรซิวต้า ทุ่มเทฝึกฝนกันอย่างหนัก ทุกคนต่างก็พยายามอย่างเต็มที่ ใช้ประสบการณ์จากหนังสือของลุงฟืนเป็นเครื่องอ้างอิง นั่นทำให้พี่ใหญ่จ้านหู่และทุกคนที่ฝึกฝนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก้าวหน้ากันไปได้เร็วมาก และพวกเขายอมยกโทษให้เค้อหลุนตัว อนุญาตให้มาร่วมฝึกฝนอยู่ด้วยกัน ส่วนตัวของผมเองนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็เพิ่มพลังทั้งสามชนิดในร่างกายได้ไม่น้อย การผสานพลังเพื่อควบคุมดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ดีขึ้นมาก
ช่วงนี้มู่จือจะขลุกอยู่กับเสี่ยวโร่ว ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ห่างจากผมไปมากนัก คอยดูแลเรื่องอาหารการกินและการใช้ชีวิตประจำวันให้ตลอด ผมนั้นรู้สึกได้ถึงความรักความห่วงใยที่มู่จือทุ่มเทให้กับตัวเอง ทำให้ความสนใจของผมนั้นตกอยู่ที่เธอไม่น้อยเหมือนกัน ทำไมผมจะไม่ประทับใจกับสิ่งที่เธอเฝ้าดูแลอยู่ล่ะ? ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ผมไม่ได้เรียกเธอว่าเจ้าหญิงอีกแล้ว แต่กลับมาเรียกว่ามู่จือเหมือนเดิม เธอไม่ได้พยายามที่จะกดดันหรือเร่งรัดความรู้สึกของผมเลย ปล่อยให้เวลาค่อย ๆ ทำงานของมันไปเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงของผมที่แสดงต่อเธอ ทำให้เธอค่อนข้างพอใจอยู่ไม่น้อย และยิ่งดูแลผมดีขึ้นไปอีก ส่วนเสี่ยวโร่วก็คอยเล่นซนอยู่รอบ ๆ ตัว คอยสลับกันกับมู่จือมาดูแลผม นับวันเธอจะยิ่งเชื่อใจและผูกพันกับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความฉลาดของมู่จือ ไม่มีทางที่เธอจะสังเกตเรื่องนี้ไม่ออก แต่ก็ยังปล่อยให้เสี่ยวโร่วทำตัวสนิทสนมกับผมได้ตามปกติ ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขมาก
และเวลาแห่งการรอคอยก็ผ่านไปสองเดือนอย่างรวดเร็ว
“จางกง! จางกง!”
“พี่ใหญ่ซานหยุน ท่านกลับมาแล้ว!”
“จางกง! ข้ามีข่าวดีมาบอก ท่านพ่อกลับมาแล้ว แต่ตอนนี้กำลังมุ่งตรงไปที่กองบัญชาการใหญ่ก่อน ท่านบอกให้มาแจ้งเจ้าล่วงหน้าว่า องค์ราชาตกลงที่จะเปิดการเจรจาแล้ว”
นั่นทำให้ผมยินดีเป็นอย่างมาก มันเป็นข่าวที่ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด “นี่มันสุดยอดไปเลย! แล้วข้าจะต้องไปพบท่านลุงเมื่อไร?”
ซานหยุนยิ้มออกมา “ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้! ท่านพ่อต้องแจ้งเรื่องนี้ และทำการปรึกษากับผู้บัญชาการของทั้งสองอาณาจักรก่อน ท่านจะแจ้งการตัดสินใจของอาณาจักรซิวต้าให้พวกเขารับทราบ และเมื่อถึงเวลาที่เจ้าจะต้องปรากฏตัว เราจะแจ้งให้เจ้ารู้อีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมเข้าไว้ก่อน”
“พี่ใหญ่ซานหยุน ขอบคุณท่านมากจริง ๆ”
เขาหยุดยิ้ม และแสดงท่าทางที่จริงจังออกมา “จางกง! เจ้ารู้หรือไม่? ช่วงเวลาที่พวกเจ้าอยู่ที่นี่ เป็นเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว?”
คำพูดของเขากินใจมาก “ข้าเองก็เหมือนกัน พี่ใหญ่”
“เอาล่ะ! ไปฝึกฝนต่อเถอะ ข้ายังมีธุระบางอย่างที่ต้องจัดการ เจ้าน่าจะได้รับกำหนดการที่แน่ชัดภายในสองวันนี้ เตรียมตัวเอาไว้ให้ดีล่ะ”
หลังจากที่ซานหยุนเดินจากไป ผมก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่น้อย อีกไม่นานผมต้องไปพบกับอาจารย์ซีตุนหยู กับจอมพลของอาณาจักรต้าลู่ ‘ฟงห้าว’ ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะปฏิบัติกับผมอย่างไร
“จางกง! ทำไมนายไม่ยอมฝึกฝน? เริ่มขี้เกียจแล้วอย่างนั้นหรือ?” เสียงที่ไพเราะราวกับเสียงสวรรค์ของมู่จือดังขึ้นข้างหลังผม ตอนนี้เธออยู่ในรูปลักษณ์ที่งดงามตามเดิมของตัวเอง พวกเราหลายคนพากันยืนตะลึง ตอนที่ได้เห็นหน้าตาแบบนี้ของเธอเป็นครั้งแรก แต่เธอไม่ได้สนใจพวกเขาเลย ผมเคยบอกให้เธอปิดบังโฉมหน้าของตัวเองเอาไว้ แต่เธอไม่ยินดี เอาแต่กล่าวว่าต้องการให้ผมเห็นเธอแบบนี้ จะได้ไม่ลืมเธอตลอดไป
พอหันกลับมาเห็นมู่จือ ผมก็ตอบกลับเธอไปด้วยรอยยิ้มอันนุ่มนวล “ฉันไม่ได้ขี้เกียจ แต่พี่ใหญ่ซานหยุนเพิ่งมาแจ้งข่าวเมื่อสักครู่นี้ เจ้าชายกลับมาจากอาณาจักรซิวต้าแล้ว เขาประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ราชาแห่งซิวต้า ยอมเปิดการเจรจาสงบศึกกับพวกเรา ตอนนี้พวกเรามีความหวังที่จะทำภารกิจให้สำเร็จได้แล้ว”