บทที่ 277 – ใครกันแน่ที่เป็นถังใส่ข้าว
ผมกล่าวออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าตื่นแล้ว”
เธอยังจ้องมาที่ผมโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใด แต่ในแววตาซ่อนความผิดหวังบางอย่างเอาไว้ นั่นทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังลองทดสอบดูอีกครั้ง “ท่านช่วยออกไปนอกห้องก่อนได้หรือไม่? ข้าตื่นแล้ว จะลุกขึ้นแต่งตัว”
มู่จือทำเบ้ปากของเธอ “ฉันอยากจะช่วยนายแต่งตัวนะ จะได้เร็วหน่อย ดีมั้ย?”
หลังจากที่เธอพูดจบ ผมรีบกระโดดลงจากเตียงทันที เหลือบมองดูการแต่งกายของตัวเอง แล้วนึกโชคดีที่เมื่อคืนไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด ยังใส่ชุดบาง ๆ อยู่ ทำให้ไม่น่าอายเกินนัก
มู่จือเห็นท่าทางของผม ก็ยิ้มและกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “ทำตัวดี ๆ สิจางกง! ปล่อยให้ฉันช่วยนายแต่งตัวก่อน” หลังจากนั้น เธอก็หยิบชุดของผมมาจากด้านข้าง ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาอย่างไม่ลังเลใจเลย
เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผมบนศีรษะของตัวเองแล้ว ผมรีบกล่าวออกไปอย่างสั่น ๆ “ไม่..ไม่ต้องหรอก”
แต่มันก็สายไปแล้ว มู่จือเดินเข้ามาถึงตัวเรียบร้อย ทำให้ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่เป็นคนโง่ ปล่อยให้เธอจัดการแต่งตัวให้ผมไปตามสบาย สภาพของผมตอนนี้เหมือนวิ่งอย่างเต็มที่มาทั้งชั่วโมง เหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผากเลยทีเดียว
มู่จือใช้แขนเสื้อของเธอเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของผมให้ด้วย ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “เอาล่ะ! เรียบร้อยแล้ว รีบออกไปกินข้าวกัน ทุกคนกำลังรอนายอยู่นะ”
นั่นทำให้ผมต้องครางออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “อะไรนะ? พวกเขารู้ว่าท่านเข้ามาปลุกข้าอย่างนั้นหรือ?” นี่เธอเข้ามาในนี้ตั้งนาน ไม่มีทางที่เจ้าพวกนั้นจะไม่คิดอะไรแปลก ๆ แน่นอน
แต่เธอกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ “แล้วมีอะไรต้องกลัวด้วยละ? พวกเขารู้กันหมดแล้วว่างพวกเราเป็นอะไรกัน”
เหงื่อของผมซึมออกมาอีกครั้ง จะไม่ให้กลัวได้ยังไงกัน? “เรื่องแบบนี้จะทำให้ท่านเสียชื่อเสียงได้นะ!”
มู่จือถามออกมาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “อยู่กับนาย ฉันจะต้องกลัวเสียชื่ออะไรอีกล่ะ? ชื่อเสียงของฉันก็เป็นของนายทั้งหมดนั่นแหละ พวกเราจะออกไปได้หรือยัง? นายกลัวพวกเขาจะซุบซิบนินทา แต่กลับช้าเสียเองเนี่ยนะ”
ผมรีบกล่าวออกมาทันที “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ!”
เธอเดินนำผมไปอย่างอิ่มเอมใจ เพราะรู้ดีว่าในรอบนี้นั้น เธอเอาชนะผมได้อย่างขาดลอยเลยทีเดียว พวกเรามุ่งหน้าไปที่ห้องอาหารกันทันที
แน่นอน! มู่จือกับผมเป็นสองคนสุดท้ายที่มาถึง และเป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ ทุกคนมองมาที่พวกเราอย่างจับพิรุธ นั่นทำให้ผมต้องส่งยิ้มออกไปอย่างไม่เต็มปากนัก ก่อนจะกล่าวว่า “ต้องให้พี่น้องทุกคนต้องรอนานแล้ว ก่อนหน้านี้ข้า....”
พี่ใหญ่จ้านหู่ขัดขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบด้วยเสียงหัวเราะ “ไม่ต้องแล้ว! พวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มันมากความหรอก พวกเราเข้าใจดี!”
ผมล่ะอยากจะเป็นลมตายไปเสียตรงนี้ เข้าใจเรื่องบ้าอะไรกันล่ะ? ผมเป็นผู้บริสุทธิ์นะ ทำไมเขาต้องพูดอย่างนี้ด้วย?
มู่จือก็ทำหน้านิ่ง ไม่เอ่ยช่วยผมแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น แค่ลากผมไปนั่งลงประจำที่เท่านั้น
ซิวซือกล่าวออกมา “จางกง! นายนี่นอนได้อย่างมีความสุขจริง ๆ คราวนี้นายหลับไปทั้งวันเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหญิงมู่จือเข้าไปปลุก ฉันยังไม่แน่ใจว่านายจะตื่นได้ตอนไหนกันแน่ ข่าวจากกองทัพพันธมิตรออกมาแล้ว พวกเขาถอยทัพออกไป 15 กิโลเมตร ตามที่พวกเรากำหนดไว้เรียบร้อย ตอนนี้ความตึงเครียดในป้อมปราการลดลงไปมากเลยทีเดียว”
ซานหยุนกล่าวเสริมออกมา “หลังจากกองทัพผสมนั่นถอยออกไป ข้าก็ได้เจ้าประชุมกับผู้บัญชาการของอีกสองอาณาจักรทันที ซีตุนหยูจากอาณาจักรอ้ายเซี่ยของเจ้าช่างทรงพลังจริง ๆ เขาถึงกับสงสัยพลุไฟขนาดใหญ่เมื่อคืนนั่นด้วย โชคยังดีที่เขาเห็นมันจากระยะทางที่ไกลมาก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังสามารถบอกออกมาได้ว่ามันเป็นเวทย์มนต์แสง”
คิ้วของผมขมวดเป็นปมขึ้นมาทันที “สถานการณ์ตอนนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเราไม่น้อย รอจนเจ้าชายกลับมาพร้อมข่าวดี ว่าองค์ราชาของอาณาจักรซิวต้าเห็นด้วยกับการเจรจาในครั้งนี้ แล้วทุกอย่างก็จะสามารถเริ่มดำเนินการได้แล้ว แต่สิ่งที่พวกเราทำได้ตอนนี้คือการรอเท่านั้น หวังว่าทุกคนจะใช้เวลาในช่วงนี้ฝึกฝนตัวเองกันไปก่อน การต่อสู้กับเผ่ามารเมื่อคืนก่อน ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวเองไม่น้อย ความแข็งแกร่งของเผ่ามารนั่นน่ากลัวกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้เสียอีก ถ้าพวกเราไม่ตั้งใจอย่างเต็มที่ อาจจะถึงขั้นสิ้นเผ่าพันธุ์กันจริง ๆ ก็ได้”
พี่ใหญ่จ้านหู่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ “เจ้าพูดถูกแล้ว! ข้าเองถ้าไม่ทุ่มเทลงไปทั้งชีวิตก็คงจะไม่ได้อีกแล้ว การโจมตีของซาต้าตอนนั้น ทำให้ข้าต้องพักฟื้นอีกหลายวันทีเดียว ความมั่นใจที่เคยมีก็เริ่มหายไปไม่น้อย ความแข็งแกร่งของพวกเรายังห่างจากเจ้ามารเฒ่านั่นอีกเยอะ ตอนนี้ข้าเพียงแค่สามารถใช้พลังจากเกราะเทพสงครามได้สามส่วนเท่านั้น ยังไม่สามารถรับมือกับสุดยอดฝีมือระดับนั้นได้แน่ แต่ว่านะ! หลังจากลองฝึกฝนตามวิธีที่จางกงให้มา มันช่วยให้พัฒนาตัวเองขึ้นได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ข้าเริ่มถ่ายทอดวิธีพวกนี้ให้กับพี่น้องทุกคนแล้ว”
ผมเริ่มลูบท้องของตัวเองแล้ว “องค์หญิงบอกข้าก่อนหน้านี้ว่า พวกท่านเรียกมากินอาหาร แล้วอาหารอยู่ที่ไหนกันล่ะ น้องชายคนนี้กำลังจะหิวตายอยู่แล้ว!”
ซานหยุนหัวเราะออกมา “ข้าได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้เจ้าเอ่ยปากแค่นั้น” หลังจากได้ยินสิ่งที่เขากล่าว ทุกคนในห้องก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ผมกระซิบกันซานหยุนเอาไว้ก่อน “ท่านเตรียมอาหารเอาไว้ให้เยอะกว่าปกติสักหน่อยนะ ข้าเจริญอาหาร...”
เขารีบกล่าวขัดออกมา “สบายใจได้เลย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเจริญอาหารเป็นอย่างมาก ข้าสั่งให้ห้องครัวเตรียมเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว น่าจะเพียงพอให้พวกเจ้าทุกคนอิ่มหนำอย่างแน่นอน”
ใครบอกเขาล่ะว่าผมเป็นห่วงตัวเอง? มีคนที่กินได้เยอะกว่าผมที่เขานั้นไม่รู้อยู่อีกคนด้วยนะ เมื่อแอบมองไปที่มู่จือ ก็พบว่าเธอกำลังเฝ้ารอเวลาที่อาหารจะถูกนำขึ้นโต๊ะอยู่เลยทีเดียว นั่นทำให้ผมเริ่มคิดแล้วว่า เดี๋ยวพี่ใหญ่ซายหยุนต้องตกใจแน่ ๆ ถ้าเขาได้รู้ว่าคนที่เจริญอาหารเป็นอย่างมากไม่ใช่ผม เธอเกือบทำให้ผมล้มละลายเพราะค่าอาหารมาแล้ว ตอนที่ยังอยู่ที่สถาบันเวทย์มนต์หลวง
พี่ใหญ่ซานหยุนเตรียมอาหารเอาไว้ไม่น้อยอย่างที่เขาบอกจริง ๆ ทุกพื้นที่บนโต๊ะถูกปกคลุมไปด้วยอาหารนานาชนิด ถึงแม้ว่าฝีมือการตกแต่งจะดูหยาบไปบ้าง แต่ก็น่าจะมีรสชาติมากกว่าอาหารของเผ่าปีศาจ ทรัพยากรของสามอาณาจักรนั้นสนับสนุนมาที่นี่ไม่น้อย ทำให้ในป้อมปราการเต๋อหลุนแห่งนี้ไม่ต้องถูกจำกัดปริมาณอาหารและน้ำเลย พวกเขาส่งเสบียงที่สะสมเอาไว้ออกมาที่นี่อย่างไม่จำกัด และค่อย ๆ เริ่มสะสมของชุดใหม่เข้าไป ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทวีปตะวันออก นี่ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรเลย กลิ่นของอาหารเริ่มทำให้ท้องผมร้องขึ้นมาแล้ว แต่ผมต้องบอกอีกเรื่องกับเขาก่อน “พี่ใหญ่ซานหยุน ท่านช่วยให้คนเตรียมอาหารให้เสี่ยวจินด้วยนะ เจ้าหมอนั่นก็กินจุไม่เบาเหมือนกัน”
เขาตอบกลับมา “นั่นคงไม่จำเป็นแล้ว ตอนนี้ที่ป้อมรับรู้กันทั่วแล้วว่ามีสัตว์เวทย์ตัวใหญ่ได้รับอนุญาตบินเข้าออกได้ มันออกไปหาอาหารกินด้วยตัวเองแล้ว”
ผมกระแอมออกมา กวาดตามองไปที่ทุกคนก่อน “ถ้าอย่างนั้น! พวกเราก็เริ่มลงมือกันเถอะ” หลังจากกล่าวจบ ผมก็ไม่รีรออะไรแล้ว เริ่มจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าทันที และโดยไม่ต้องมอง ผมรู้ดีว่าคนที่จะลงมือตามมาติด ๆ ต้องเป็นมู่จืออย่างแน่นอน แขนอันเรียบเนียนเป็นลำสวยของเธอ ทำงานอย่างเป็นระวิงเลยเหมือนกัน
เสียงของจ้านหู่ร้องออกมา “ทุกคนรีบลงมือเลย! ถ้าไม่อยากหิวตอนหลัง ชักช้าไป คงไม่เหลืออะไรให้กินแน่” หลังจากเขาเตือนออกมาอย่างนั้น ศึกใหญ่บนโต๊ะอาหารก็ระเบิดขึ้นในทันที เหล่านักรบทั้งหลายกำลังทำสงครามแย่งชิงกันอย่างจริงจัง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเท่าไร ก็ไม่อาจที่จะต้านทานความเร็วของมู่จือ หรือแม้กระทั่งผมได้เลย อาหารอย่างน้อยครึ่งหนึ่งบนโต๊ะ ลงไปนอนสงบอยู่ในท้องของพวกเราสองคนแล้ว
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับอาหารนั้น ผมก็กล่าวอย่างอาย ๆ ไปที่ซานหยุน “พี่ใหญ่ซานหยุน ท่านให้ห้องครัวทำอาหารมาเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่? ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยพอกินเลย”
เขาเพิ่งกินไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากโชคร้ายนั่งอยู่ข้าง ๆ ผม ทำให้ไม่สามารถคีบอาหารที่เขาอยากกินได้เลย “เจ้าแค่ไม่ได้กินข้าวมาวันเดียวเท่านั้น ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ละเนี่ย? ผู้รับใช้ ไปบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารมาเพิ่มอีก”
หลังจากอาหารชุดที่สองถูกส่งขึ้นโต๊ะ ความเร็วของทุกคนก็เริ่มลดลงแล้ว ซานหยุนมีโอกาสได้กินมากขึ้นไม่น้อย หลังจากอาหารชุดนี้หมดลง แทบทุกคนพากันลูบท้องตัวเองอย่างพึงพอใจ แน่นอนว่า ในนั้นไม่รวมมู่จือกับผม
พอพวกเขาอิ่มกันแล้ว ความสนใจก็มุ่งไปหามู่จือ ที่ตอนแรกไม่ได้มีใครคาดคิดว่าจะกินได้เยอะขนาดนี้ เค้อหลุนตัวรีบกระซิบกับเธอทันที “เจ้าหญิง ท่านไม่คิดที่จะรักษากิริยาบ้างเลยหรือ?”