ตอนที่ 329 มู่เสียวเต๋า vs เซี่ยเฟย
ตอนที่ 329 มู่เสียวเต๋า vs เซี่ยเฟย
“นี่มันจะโหดร้ายเกินไปแล้ว ไอ้หนุ่มนั่นไม่ได้คิดจะมาพูดคุยธุรกิจเลยด้วยซ้ำ แต่มันกำลังพยายามฉวยโอกาสจากสงคราม!!!” เอ็มวิลล่ากล่าวขึ้นมาอย่างเดือดดาลหลังจากที่เซี่ยเฟยได้เดินออกจากห้องไป
แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้สึกไม่พอใจที่เซี่ยเฟยได้พยายามมาฉวยโอกาสจากพวกเขาไปแบบนี้
“ทำไมเราไม่ฉวยโอกาสเอาสินค้าของเขามาเลยล่ะ แล้วสร้างสถานการณ์ว่าเขาถูกโจรสลัดปล้นฆ่าในระหว่างการเดินทาง แบบนี้เท่ากับว่าพวกเราจะยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว” ชายชราผู้มีหนวดเครากล่าว
“ตอนนี้เซี่ยเฟยเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของกรมทหาร การสังหารเขาก็เท่ากับการประกาศสงครามกับกองทัพของพันธมิตร พวกคุณคงจะเข้าใจดีใช่ไหมว่าการเป็นศัตรูของกองทัพมันหมายความว่ายังไง?” ย่าเหวยคัดค้านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
คำเตือนนี้ทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงไป เพราะกรมทหารย่อมปกป้องซัพพลายเออร์ระดับสูงของตัวเองอย่างที่ย่าเหวยได้กล่าวเอาไว้จริง ๆ และในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอย่างในตอนนี้ มันก็คงจะไม่มีใครโง่พอที่จะเข้าไปกระตุ้นความโกรธของจอมพลไทสัน
“ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในสงครามไม่ใช่เหรอ? และสิ่งที่เขากำลังหยิบยื่นมาก็คือโอกาสที่จะช่วยให้พวกเราสู้รบในสงครามครั้งนี้ได้เนิ่นนานมากยิ่งขึ้น ฉันยอมรับว่าข้อเสนอที่เขาพยายามบีบบังคับเราเป็นการเอาเปรียบพวกเรามากจนเกินไป แต่ว่าพื้นที่ที่เขาขอมันไม่ใช่พื้นที่ในภูมิภาคดาวมฤตยูของเราด้วยซ้ำ แต่เป็นพื้นที่ในภูมิภาคดาวเหวทมิฬอันไกลโพ้น”
“อย่าลืมว่าถ้าเราพ่ายแพ้ในสงครามเราจะสูญเสียทุกอย่างในมือของเราไปแล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงพื้นที่ที่เขาได้ร้องขอมาด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งสำคัญในตอนนี้คือเราต้องพยายามทำยังไงก็ได้ให้พวกเราชนะสงครามให้ได้ก่อน” ลู่ชิวผู้ซึ่งเป็นหญิงคนเดียวในหมู่ผู้นำพยายามกล่าวเตือนสติทุกคน
ในช่วงเวลาปกติเธอแทบที่จะไม่พูดแสดงความเห็นใด ๆ ออกมาเลย แต่เมื่อเธอเริ่มพูดออกมาเธอก็จะมีมุมมองที่ผู้ชายมักจะมองข้ามไปอยู่เสมอ
คำพูดของลู่ชิวเป็นเหมือนมีดที่กรีดเข้าไปในหัวใจของทุกคน และมันก็ทำให้ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบทันที
“ผมเห็นด้วย ในฐานะที่ผมเป็นทหารผมเกลียดความพ่ายแพ้เป็นที่สุด ดังนั้นหากใครทำให้ผมได้รับชัยชนะผมจะถือว่าเขาคนนั้นคือผู้มีพระคุณ ความจริงผมไม่สนใจพื้นที่ในภูมิภาคดาวเหวทมิฬบ้า ๆ นั้นหรอก สิ่งที่ผมต้องการคือชัยชนะในสงครามครั้งนี้มากกว่า” ย่าเหวยกล่าวขึ้นมาอย่างหนักแน่น
“เอาละลู่ชิวกับย่าเหวยพูดถูกแล้ว ตอนนี้ทางเลือกเดียวของเราคือการพยายามทำยังไงก็ได้ให้เราได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนี้” เอ็มวิลล่ากล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
—
ในที่สุดผู้มีอำนาจทั้งห้าก็มีมติอย่างเอกฉันท์ที่จะตกลงยอมรับเงื่อนไขของเซี่ยเฟย เพราะถึงแม้ว่ามันจะไม่มีใครเต็มใจแต่เซี่ยเฟยก็กำลังหยิบยื่นความหวังมาในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังรู้สึกสิ้นหวังอยู่จริง ๆ
โอกาสชิ้นใหญ่มักจะตกอยู่ในมือของผู้ที่สามารถฉกฉวยโอกาสได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำเสมอ ซึ่งเซี่ยเฟยก็เริ่มทำการเคลื่อนไหวทันทีหลังจากที่เขาได้รู้ข่าวเกี่ยวกับสงคราม ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้โอกาสนี้ในการได้ครอบครองพื้นที่ดาวเป็นของตัวเอง
“นายดูตื่นเต้นมากเลยนะ อย่าลืมว่าสัญญานี้จะมีผลก็ต่อเมื่อภูมิภาคดาวมฤตยูได้รับชัยชนะ ไม่อย่างนั้นสัญญาที่นายได้รับไปมันก็ไม่ต่างไปจากกระดาษเปล่า” ย่าเหวยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ของแบบนี้มันก็เหมือนกับการซื้อหวยนั่นแหละครับ ทุกคนที่ซื้อหวยต่างก็มีความหวังว่าพวกเขาจะร่ำรวย ดังนั้นผมจึงมีความสุขเพราะอย่างน้อยรางวัลที่ผมจะได้รับมันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ผมได้เดิมพันลงไป” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายนี่มีจิตวิญญาณแห่งนักเสี่ยงโชคฝังอยู่ในกระดูกจริง ๆ อันที่จริงฉันก็อยากจะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้เหมือนกัน ฉันหวังว่านายจะได้รับของรางวัลที่นายได้วาดฝันไว้” ย่าเหวยกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า
“ต้องบอกว่าพวกเราทั้งคู่ต่างก็จะได้รับรางวัลที่พวกเราวาดฝันไว้ต่างหากล่ะครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
ย่าเหวยส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจพร้อมกับตบไหล่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างเบา ๆ
“เอาล่ะนายได้รับสัญญาไปแล้ว ว่าแต่สินค้าจะเดินทางมาถึงเมื่อไหร่?”
“อีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้วครับ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างสบาย ๆ
ย่าเหวยเดินมาส่งเซี่ยเฟยออกจากศูนย์สื่อสารแต่ไม่ได้เดินไปพร้อมกับชายหนุ่มด้วย เพราะท้ายที่สุดกลุ่มผู้นำทั้งห้ายังมีเรื่องที่จะต้องหารือกันอีกมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่กำลังเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสงคราม
ระหว่างที่ชายหนุ่มเดินบนถนนที่เงียบสงบสัญชาตญาณที่เฉียบคมของเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตราย เขาจึงหยุดยกบุหรี่ขึ้นมาจุดและจ้องมองไปยังพื้นที่ด้านหน้าอย่างระแวดระวัง
“มีอะไรหรือเปล่า?” อันธถามด้วยความสงสัย
“ความรู้สึกนั้นมันกลับมาอีกแล้ว”
“ความรู้สึกอะไร?”
“ความรู้สึกว่าฉันกำลังถูกใครบางคนแอบตามมา ไม่สิ ครั้งนี้มันแตกต่างจากครั้งก่อนอยู่เล็กน้อยเพราะฉันสัมผัสได้ถึงร่องรอยของจิตสังหาร”
“เซี่ยเฟยนายรู้สึกแบบนี้มา 2-3 ครั้งแล้วนะ แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย ฉันว่านายควรหาเวลาไปพบหมอแล้วจริง ๆ และสัญชาตญาณที่นายภาคภูมิใจก็ดูเหมือนจะไม่ได้แม่นยำเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว” อันธกล่าวพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
“นายนั่นแหละที่ควรไปหาหมอ คนที่ไหนตายไปแล้วมันจะกลายเป็นวิญญาณมาสิงอยู่ในสร้อยแบบนี้” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
หลังจากที่เริ่มออกเดินไปอีกสองก้าวเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าภาพรอบ ๆ ตัวเริ่มบิดเบี้ยวไปจากเดิม!
จู่ ๆ อาคารสื่อสารก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่เสาสื่อสารขนาดใหญ่ที่เคยอยู่สองฟากฝั่งถนนก็หายไปเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามถนนด้านหน้ากับเศษใบไม้แห้งบนถนนยังคงมีอยู่ แต่หัวมุมโค้งของถนนกลับหายไปกลายเป็นถนนที่ทอดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“แย่แล้ว! ตอนนี้นายได้เข้าไปในมิติจินตภาพที่คนอื่นได้เตรียมเอาไว้” อันธอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“มิติจินตภาพ!?”
“นายจำตอนแรกที่พวกเราเจอกันได้ไหม? ตอนนั้นฉันก็พานายเข้าไปในมิติจินตภาพของฉันเหมือนกัน” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและสามารถจดจำได้ในทันทีว่ามิติจินตภาพคือเขตแดนที่เจ้าของสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ตามใจชอบ ซึ่งย้อนกลับไปในตอนที่เขาได้เจอกับอันธช่วงแรก ๆ เขาก็ไม่สามารถแยกแยะสภาพแวดล้อมในมิติจินตภาพกับสภาพแวดล้อมในโลกแห่งความเป็นจริงได้ด้วยซ้ำ
“ใจเย็น ๆ มิติจินตภาพทุกแห่งต่างก็มีแก่นของมิติอยู่ ตราบใดก็ตามที่นายทำลายแก่นมิติลงไปได้ มิติจินตภาพก็จะถูกทำลายไปพร้อม ๆ กัน” อันธกล่าว
“แล้วฉันจะหาแก่นมิติได้ยังไง?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับตั้งท่าป้องกันโดยพร้อมจะปล่อยเซเลสเชียลมูนออกไปจู่โจมได้ทุกเมื่อ
“นายจะต้องใช้ความรู้สึกหาแก่นมิติให้เจอ แก่นมิติคือจุดที่จะต้องเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ดังนั้นแสงและอุณหภูมิของแก่นมิติจะแตกต่างจากพื้นที่ส่วนอื่น ๆ อยู่เล็กน้อย แต่แก่นมิติจะมีขนาดที่เล็กมาก นายจึงจำเป็นจะต้องจู่โจมให้แม่นยำถึงจะสามารถทำลายแก่นมิติลงไปได้” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและเริ่มกวาดสายตามองพื้นที่บริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง แต่ในสายตาของเขาพื้นที่โดยรอบก็แทบที่จะไม่มีความแตกต่างกันเลย ดังนั้นการพยายามหาแก่นมิติขนาดเล็กให้เจอจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่เขาได้คิดเอาไว้
ทันใดนั้นเองเศษฝุ่นเป็นจำนวนมากก็ค่อย ๆ ก่อตัวกลายเป็นร่างของชายคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเซี่ยเฟย ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งท่าป้องกันอย่างระมัดระวังโดยไม่จู่โจมอย่างผลีผลาม เพราะมันเห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายมีพลังพิเศษเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ จนทำให้เขาไม่สามารถที่จะสัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้
มู่เสียวเต๋าเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับนำมีดผีเสื้อออกมาควงเล่นภายในมือ จากนั้นเขาก็ใช้มีดออกมาแคะฟันคล้ายกับพวกนักเลงข้างถนน
“นายคือเซี่ยเฟยสินะ?”
“ใช่ ฉันคือเซี่ยเฟย แล้วนายเป็นใคร?” เซี่ยเฟยถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันชื่อมู่เสียวเต๋า”
“ใครเป็นคนว่าจ้างนายมา?”
“ผู้ว่าจ้างขอแค่ลูกกะตากับมือของนายเท่านั้น เขาไม่ได้สั่งให้ฉันตอบนายถึงตัวตนของเขา” มู่เสียวเต๋ากล่าวพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
“ถ้าอยากได้ลูกกะตาของฉันก็เข้ามาเอาไปสิ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างใจเย็นพร้อมกับก้าวเท้าออกไปด้านหน้า
“นายเป็นคนมั่นใจดีนี่ แต่ฉันขอเตือนว่าตอนนี้นายได้อยู่ในมิติเวเนสซ่า ซึ่งจะอนุญาตให้นายเดินได้เพียงแค่ 10 ก้าวเท่านั้น ตอนนี้นายได้เดินไปแล้ว 1 ก้าวหากนายเดินอีก 9 ก้าวนายก็จะตายในที่สุด” มู่เสียวเต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันจะเดินแล้วทำไม” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มและยังคงก้าวเท้าไปด้านหน้าต่อไป
“อ้า~ ไม่เชื่อกันเลยสินะ” มู่เสียวเต๋ากล่าวพร้อมกับถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
“ก็ฉันจะเดินแล้วมันจะทำไม!” เซี่ยเฟยกล่าวโดยยังคงก้าวเท้าต่อไปอีกหนึ่งก้าว
“ดูเหมือนว่านายจะไม่เชื่อฉันจริง ๆ” มู่เสียวเต๋ากล่าวอย่างหมดหนทาง
“ฉันจำเป็นต้องเชื่อคนที่จะมาฆ่าฉันด้วยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามกลับ
“นั่นสินะ นายจะมาเชื่อฉันทำไม” มู่เสียวเต๋าตอบกลับอย่างไร้หนทาง
“อันที่จริงมันไม่มีใครขอให้ฉันฆ่านายหรอก ฉันแค่จะเอามือกับลูกกะตาของนายไปแลกเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น และฉันก็จะใช้พลังในการจัดการกับนายอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการให้เกียรตินักรบที่แท้จริงอย่างนาย” มู่เสียวเต๋ากล่าว
“นักรบที่ดีควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฉันก็จะจัดการกับนายโดยการใช้พลังอย่างเต็มที่ด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ขอบใจมาก ใครกันนะที่ทำให้พวกเราต้องไปที่ดาวมรดก มันถึงทำให้จุดจบกลายเป็นพวกเราต้องมาไล่สังหารกันแบบนี้” มู่เสียวเต๋ากล่าว
“อะไรนะ?! นายก็เคยไปดาวมรดกด้วยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามออกไปด้วยความตกตะลึง
“ตอนนี้นายก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องฆ่านาย นั่นก็เพราะคนที่กลับมาจากดาวเคราะห์มรดกจะต้องสังหารคนที่เคยไปดาวเคราะห์มรดกอีก 3 คน เพื่อที่จะได้มีโอกาสกลับไปฝึกฝนที่นั่นเป็นเวลาอีก 1 ปี” มู่เสียวเต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใครก็ตามที่กลับมาจากดาวเคราะห์มรดกจะกลายเป็นผู้สืบทอด และผู้สืบทอดต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของดาวเคราะห์มรดกให้ผู้ใดทราบ มิฉะนั้นผู้สืบทอดก็จะต้องตายในทันที” เซี่ยเฟยกล่าวเสริมคำพูดของมู่เสียวเต๋า
“ผู้สืบทอดที่รอดจากดาวเคราะห์มรดกเป็นครั้งที่ 2 จะได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง และถ้าหากว่าผู้สืบทอดสามารถสังหารผู้สืบทอดได้อีก 3 คน เขาคนนั้นก็จะมีโอกาสได้ฝึกฝนในดาวเคราะห์มรดกเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งถ้าหากผู้สืบทอดสามารถทำตามเงื่อนไขทั้งหมดได้สำเร็จ ผู้สืบทอดคนนั้นก็จะกลายเป็นนักรบผู้ซึ่งได้ครอบครองพลังของกฎแห่งมิติ” มู่เสียวเต๋ากล่าวเงื่อนไขของผู้สืบทอดของดาวมรดกจนจบ
“พวกเราคนใดคนหนึ่งจะต้องตายในวันนี้ นั่นก็เพราะว่าพวกเราต่างก็เป็นผู้สืบทอดเหมือน ๆ กัน” มู่เสียวเต๋ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ไม่มีใครหยุดฉันจากการได้ครอบครองกฏแห่งมิติได้ หากใครที่เข้ามาขวางทางฉันจะต้องตายไปให้หมด!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหยิบเซเลสเชียลมูนขึ้นมาสวมที่แขนขวา
พริบตาต่อมาจิตสังหารของผู้สืบทอดทั้งสองคนก็ระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน ทำให้ทั่วทั้งมิติจินตภาพเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น
***************