บทที่ 39
บทที่ 39
“ทักษะฝึกระดับธรณีหรือ?” ดวงตาของสวี่ล่ายเบิกกว้างเล็กน้อย แม้ตัวเขาจะครอบครองทักษะฝึกระดับธรณีอยู่เช่นกัน แต่ก็ยังอดสนใจไม่ได้
เพราะสิ่งที่เรียกว่าทักษะฝึกระดับธรณี มันมักจะปรากฏในระดับนิกายใหญ่เท่านั้น
ดังนั้นงานประมูลครั้งนี้ คงแก่งแย่งกันจนเกิดพายุนองเลือดขึ้นอย่างแน่นอน
“โฮ โฮ่ เอาหล่ะ เราผู้เฒ่าจะไม่ถ่วงเวลาของทุกท่าน แต่ก่อนเริ่มประมูลสมบัติตกทอดจากบรรพชน ตามปกติแล้วต้องมีอาหารเรียกน้ำย่อยก่อน”
ปรมาจารย์ฟางเพิ่งพูดจบ หลายคนในงานประมูลที่ลุกขึ้นยืนเพราะประโยคครึ่งท่อนแรก พอฟังท่อนหลังก็สะดุดขาตัวเองล้มครืนทันที
ปุก ปุก โครม...
“ไอ้หยา……”
“เรียกน้ำย่อยแม่เจ้า!”
“ตาแก่อย่ามาแกล้งกันนะ! พวกเรารอมาตั้งครึ่งค่อนวัน ตอนนี้เบื่ออาหารเรียกน้ำย่อยแล้ว”
“พัฟฟ!” สวี่ล่ายอดหัวเราะไม่ได้ ไม่คาดหวังว่าปรมาจารย์ฟางผู้นี้จะตลกขนาดนี้! ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลานซินฝีปากดีมาก ที่แท้ก็ได้ลูกเล่นมาจากอาจารย์นี่เอง
“โฮะ โฮ่ ทุกท่านโปรดสงบใจ ไม่ต้องกังวล! ที่ทำแบบนี้ก็เพราะในเมื่อมันคือสมบัติตกทอดจากบรรพชน เช่นนั้นแน่นอนว่าพวกเราต้องเก็บมันไว้ในตอนท้าย”
ปรมาจารย์ฟางพูดจบ ก็ปรบมือเบาๆ อีกสองสามครั้ง
แป๊ะ แปะ!
สาวใช้อีกกลุ่มเดินเข้ามาในงาน
“ถัดไป มาดูกันก่อนว่ามีอาหารเรียกน้ำย่อยอะไรให้ทุกท่านได้ลิ้มลองบ้าง” ปรมาจารย์ฟางพูดพร้อมกับยกผ้าไหมสีแดงขึ้น บนถาดเงินกระพริบไปด้วยแสงงดงามหลายสาย
“เอ๊ะ อันนั่นมัน...?”
“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นสมบัติชิ้นนี้”
“หรือนี่จะเป็น......”
ปรมาจารย์ฟางยิ้มเล็กน้อย “ดูท่าเราผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องแนะนำ สหายหลายท่านก็ล่วงรู้แล้ว ถูกต้อง นี่คือผลงานชิ้นเอกของผู้เชี่ยวชาญค่ายกลประสานวิญญาณ : หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณ!”
“เป็นอย่างที่คิด ...”
“มันคือหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณจริงๆ”
เวลานี้สวี่ล่ายผุดยิ้มเล็กน้อย “ในที่สุดก็ถึงคราวสมบัติข้า”
“หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณในมือเราผู้เฒ่ามีทั้งสิ้นสามก้อน หนึ่งผนึกสัตว์ปีศาจหมาป่ายักษ์ระดับ 1 ขั้นสูงสุด , หนึ่งผนึกเม่นหางลูกศรระดับ 1 ขั้นสูง และสุดท้ายผนึกแรดฟันฉลามระดับ 2 ขั้นกลาง”
ปรมาจารย์ฟางยกหนึ่งในนั้นขึ้นมา แล้วบีบแรงๆ
ติ๊ง!
รัศมีแสงวิญญาณสว่างวาบ ค่ายกลดาวหกแฉกก่อตัวขึ้นข้างปรมาจารย์ฟางอย่างรวดเร็ว
กรร~!
พร้อมกับเสียงคำราม หมาป่ายักษ์ยาวกว่าสิบอิงฉื่อพุ่งออกมา
“หมาป่ายักษ์เงาขั้นสูงสุด พลังรบของมันเทียบได้กับผู้ชำนาญการต่อสู้ในขอบเขตรวมวิญญาณ แถมยังใช้ซ้ำได้อีกจนกว่าปราณวิญญาณบนหินประสานค่ายกลจะหมดลง” ปรมาจารย์ฟางขยับมืออย่างไม่เป็นทางการ รัศมีแสงวิญญาณของหมาป่ายักษ์สลายไป รวมกันเป็นหินประสานค่ายกลอีกครั้งและบินกลับมาที่ฝ่ามือเขา
“ในการสู้ตัวต่อตัวบนสังเวียนประลอง หากท่านมีสัตว์ปีศาจเช่นนี้ในครอบครอง ผลลัพธ์การต่อสู้แทบไม่ต้องกังวลเลย”
แม้ว่าปรมาจารย์ฟางไม่ได้มีทักษะฝีปากที่เกินจริงเหมือนหลานซิน แต่คำง่ายๆ สองสามคำที่เขาพูด มันให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เหมือนได้กลับมาคุยกับคนที่บ้าน
“เอาล่ะ เวลามีจำกัด หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณหมาป่ายักษ์ระดับ 1 ขั้นสูงสุด ราคาเริ่มประมูลคือ 1,000 หินดวงดาวขั้นต้น เริ่มประมูลได้”
“1,100 หินดวงดาว!”
“1,500!”
“ข้าให้ 2,000...!”
การประมูลเป็นไปอย่างร้อนแรง สวี่ล่ายเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ราคาก็ไล่สูงขึ้นมากกว่า 6,000!
หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณระดับ 1 ขั้นสูงสุด มีค่ามากกว่าอาวุธสมบัติชั้นยอดอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วในสนามรบ การมีหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณในครอบครอง มันจะช่วยชีวิตท่านได้แน่นอน
“ข้าจะเสนอหินดวงดาว 7,500 ก้อน!”
สวี่ล่ายหันศีรษะมอง เห็นเพียงชายอ้วนคนหนึ่งลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นและเสนอราคา
“7,500 หินดวงดาวครั้งที่หนึ่ง!”
“ครั้งที่สอง ......”
ป้าง!
“จบประมูล! ขอแสดงความยินดีกับสหายผู้นี้ด้วย”
“เยี่ยมไปเลย!” ชายอ้วนพูดอย่างตื่นเต้น แทบรอไม่ไหวที่จัตรงเข้าไปจ่ายเงิน
“ข้ารวยแล้ว! หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณระดับ 1 ขายได้ราคา 7,500 เช่นนั้นแสดงว่าระดับ 2 ต้องขายได้มากกว่า 10,000 ถูกไหม? นั่นราคาพอๆกับอาวุธระดับสมบัติชั้นยอดในมือข้าเลย!”
ในความเป็นจริง สวี่ล่ายยังไม่เข้าใจความหมายของเรื่องนี้ แม้ผู้ชำนาญการต่อสู้จะแก่กล้าแค่ไหน มีอาวุธคู่กายที่ดีเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์หนึ่งต่อสอง พวกเขายังถือว่าเสียเปรียบอยู่สามส่วน ฉะนั้นหากมีหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณในมือ สถานการณ์ก็จะกลายเป็นสองต่อสอง มีโอกาสรอดชีวิตสูงมาก”
“เอาล่ะ มาดูกันต่อไป หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณเม่นหางลูกศรระดับ 1 ขั้นสูง ...”
เวลาผ่านไป หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณที่เหลืออยู่สองก้อนถูกประมูลออกอย่างรวดเร็ว
หินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณเม่นหางลูกศรระดับ 1 มันถูกขายในราคา 5,800 หินดวงดาว ส่วนแรดฟันเลื่อยระดับ 2 มีราคาสูงถึง 14,000!
สวี่ล่ายลอบสังเกตอย่างระมัดระวัง และเมื่อพบว่า ‘นายน้อย’ ที่เคยเสนอราคาแย่งอาวุธระดับสมบัติชั้นยอดกับเขาก่อนหน้านี้ก็เสนอราคาเช่นกัน ตนจึงอดผสมโรงร่วมประมูลด้วยไม่ได้
สวี่ล่ายเติมเชื้อไฟแข่งเสนอราคากับเขา แล้วสุดท้ายแสร้งทำเป็นหินดวงดาวในมือไม่พอ ยอมปล่อยด้วยความเกลียดชัง
และสุดท้ายหินประสานค่ายกลเรียกวิญญาณระดับ 2 ก็ถูกอีกฝ่ายซื้อไปได้จริงๆ
“เหอะ! ก็แค่พวกตระกูลต่ำต้อย คิดแย่งของกับข้า”
‘นายน้อย’ คนนั้นแสดงท่าทีสูงส่ง เอ่ยยกตนข่มท่าน โดยไม่รู้ว่าสวี่ล่ายแอบเยาะเย้ยเขาในใจ มองอีกฝ่ายเป็นคนโง่เง่าอย่างสื้นเชิง
“โฮะ โฮ่ ไม่คิดว่าความกระตือรือร้นของสหายทุกท่านจะยังไม่ลดน้อยลง เช่นนั้นก็ดี!ต่อไปเรายังมีสมบัติที่หายากอีกชิ้นหนึ่ง ...”
ปรมาจารย์ฟางพูดจบก็หินสีแดงอีกก้อนหนึ่งขึ้นมา
“หินประสานค่ายกลรวมวิญญาณ!?”
“ถูกต้อง! มันคือหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณจริงๆ”
“สมบัติประเภทนี้ไม่ได้ออกสู่ท้องตลาดมานานมากแล้ว”
“เป็นมันจริงๆหรือ?”
นักบู๊หลายคนในสถานที่จัดงานแทบอดใจไม่ไหว พากันยืนขึ้นและเพ่งมองให้ชัดๆ
“โฮะ โฮ่ ดูท่าเราผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากกว่านี้ ถูกต้อง ทั้งสองก้อนนี้คือหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณ และยังคงเป็นสมบัติที่ปรมาจารย์ท่านเดิมหลอมขึ้น”
ปรมาจารย์ฟางยิ้มเล็กน้อย อธิบายต่อไปว่า “ตอนนี้ ข้าเกรงว่าสหายทั้งหลายคงมีคำถาม เหตุใดหลายปีที่ผ่านมา หินประสานค่ายกลรวมวิญญาณจึงไม่ค่อยมีขายตามท้องตลาด อันที่จริง ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์แห่งพันธมิตรประสานค่ายกลไม่ต้องการที่จะหลอม แต่เป็นวัสดุที่จำเป็นสำหรับการสร้างหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณ มันหาได้ยากเต็มที”
“เท่าที่เราผู้เฒ่ารู้ สมบัตินี้ต้องการเลือดสัตว์ปีศาจระดับสองและสามจำนวนมาก ประกอบกับสกัดจากสมุนไพรหายากบางชนิด ซึ่งมีข่าวลือว่าต้องเข้าไปในส่วนลึกของป่าหมอกเท่านั้นจึงจะสามารถรวบรวมได้ ด้วยเหตุนี้หินประสานค่ายกลรวมวิญญาณในปัจจุบันจึงหายากมาก”
สวี่ล่ายกระพริบตาหลังจากได้ยิน เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตอนหลอมหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณ ตนได้นำวัสดุจำนวนมากที่ได้จากป่าหมอกมาผสม แค่แก่นโลหิตของสัตว์ปีศาจอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 7-8 ชนิดแล้ว
“เอาล่ะ ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายประสิทธิภาพของหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณมากไปกว่านี้ ราคาเริ่มประมูลคือ 2,000 หินดวงดาวต่อก้อน เริ่มประมูลได้!”
ปรมาจารย์ฟางเพิ่งพูดจบ คนในห้องประมูลก็เสนอราคาอย่างบ้าคลั่งทันที
“2,200!”
“ข้าจะจ่าย 2,500!”
“ข้าจะเสนอราคา 3,000”
“เจ้าคิดจะครอบครองมันแค่ในราคา 3,000 กระนั้นหรือ? ข้ายินดี 5,000 ต่อก้อน!”
“สารเลว! เจ้ากล้าเพิ่มราคาโดดๆเช่นนี้ได้อย่างไร? เช่นนั้นข้าจะจ่าย 6,000 หินดวงดาว!”
“ข้าจ่าย 6,500!”
สวี่ล่ายไม่คาดคิดมาก่อนว่าสองคนนี้ต้องการหินประสานค่ายกลรวมวิญญาณทั้งสองก้อน พวกเขาเสนอสู้ราคาจนเกือบจะทะเลาะกัน
ป้าง!
“หินดวงดาว 11,500 ก้อน จบประมูล!”
ในที่สุด
หินประสานค่ายกลรวมวิญญาณทั้งสองก้อนก็ถูกซื้อโดยชายร่างอ้วนและชายชุดดำอีกคน
สวี่ล่ายถึงกับแอบแลบลิ้น ตอนแรกเขาตั้งใจว่าน่าจะขายมันได้ 6,000 ถึง 7,000 หินดวงดาวต่อก้อน แต่ใครจะคิดว่าจะไปจบที่ราคาเกือบสองเท่า บัดนี้สวี่ล่ายถือได้ว่าเป็นคนร่ำรวยอย่างแท้จริง!
“เอาล่ะ สมบัติชิ้นต่อไปที่เราจะประมูล คือหินเก้าสงัดระดับ 4 ที่นำมาจากสระเย็นเก้าสงัด สมบัตินี้เป็นวัสดุที่ดีที่สุดสำหรับการหลอมอาวุธระดับวิญญาณ ...”
ถัดมา ปรมาจารย์ฟางเริ่มประมูลวัสดุสำหรับงานหลอมที่หาได้ยาก แล้วก็พวกวัสดุสำหรับทำโอสถชั้นดี
ของพวกนี้สวี่ล่ายยังเอาไปทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ เขาจึงไม่สนใจมัน
เวลาผ่านไป เหลือเพียงสมบัติชิ้นสุดท้ายบนถาดเงิน
ในเวลานี้ ปรมาจารย์ฟางยกชาจิตวิญญาณขึ้นจิบให้ชุ่มคอ จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อย
“เอาล่ะ สมบัติชิ้นสุดท้ายนี้ มันคือ 'สมบัติตกทอดจากบรรพชน' ที่ทุกท่านรอคอย”
พรึ่บ!
ปรมาจารย์ฟางกระชากผ้าไหมแดง เผยให้เห็นกล่องไม้สีชาดที่มีอายุกว่าศตวรรษวางอยู่บนแผ่นเงิน
“เยี่ยม! ในที่สุดที่เรารอคอยก็มาถึง!”
“สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ บิดาต้องคว้ามาให้ได้”
“ฮึ่ม! เจ้าต้องการที่จะขโมยมันจากข้า? ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีหินดวงดาวเพียงพอหรือไม่!”
สมบัติตกทอดจากบรรพชนปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างแทบจะรีบวิ่งขึ้นไปแย่งกัน
ปรมาจารย์ฟางยิ้มเล็กน้อย “สหายทุกท่านอย่าใจร้อน ให้ข้าเล่าที่มาของสมบัติชิ้นนี้ให้พวกท่านฟังก่อน”
“โอ้? สมบัติตกทอดจากบรรพชนก็มีประวัติศาสตร์ด้วย?”
“เฮ้ย เฮ้ย ปรมาจารย์ฟาง ได้โปรดเริ่มประมูลเถอะ อย่าทำลายความอยากอาหารของพวกเราเลย”
“แต่ข้าว่าฟังก่อนก็ไม่เห็นเป็นไร”
ขณะนี้ สวี่ล่ายกำลังนับหินดวงดาวในมือตัวเอง ประเมินว่าตนพอจะสู้ได้ในราคาเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม เขายังไม่รู้เลยว่าทักษะฝึกระดับธรณีที่ว่านี้คือประเภทใดกันแน่
ปรมาจารย์ฟางกระแอมในลำคอ พูดช้าๆ “ประมาณหนึ่งพันปีที่แล้ว เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในรัฐต้าหยาน ว่ากันว่ามีนักบู๊จากต่างถิ่น เหยียบย่ำแผ่นดินเรา สังหารพลเรือนตามใจชอบ และคนผู้นี้มีฐานบำเพ็ญเพียรสูงมาก แถมเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญการประสานค่ายกลอีกด้วย”
“ในเวลานั้น หลายสิบตระกูลและนิกายต่างๆ ของรัฐต้าหยาน เข้าร่วมในการปิดล้อม หลังจากต่อสู้กันเจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดเขาก็ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และสมบัติตกทอดนี้ คือหนึ่งในสินสงครามที่ริบมาได้ในครั้งนั้น”
ปรมาจารย์ฟางเล่าสั้นๆถึงประสบการณ์ที่ตระกูลเจ้าของสมบัติชิ้นนี้ได้รับมันมา ก่อนยิ้มอย่างลึกลับว่า “จนถึงวันนี้ ตระกูลนั้นค่อยๆเสื่อมถอย สุดท้ายกัดฟันขายสมบัติชิ้นนี้ออกประมูล”
ปรมาจารย์ฟางทางหนึ่งกล่าว ทางหนึ่งค่อยๆ เปิดกล่องไม้สีชาดอย่างช้าๆ เผยใบหยกให้ทุกคนได้เชยชม
“ข้าเกรงว่าสหายหลายคนคงพอรู้ข่าวไปบ้างแล้ว แต่เราผู้เฒ่าจำเป็นต้องบอกทุกท่านอีกครั้ง ภายในใบหยกใบนี้ คือทักษะฝึกระดับธรณีของนักบู๊ต่างถิ่นผู้นั้น——ทักษะฝึกประสานหนึ่งไร้ขอบเขต!”
“ว่ากระไรนะ!?”