ตอนที่ 43 เฝ้าติดตาม
“ค้นพบวิชายุทธ์ ต้องการใช้เงินหนึ่งตำลึงทำให้ธนูหวนคืนศูนย์เป็นแบบง่ายหรือไม่?”
“ธนูหวนคืนศูนย์แบบง่าย...ทำให้เป็นแบบง่ายสำเร็จ...ธนูหวนคืนศูนย์ → หมี่แห้ง!”
เป็นผลลัพธ์แบบง่ายที่คาดไม่ถึงอีกอย่าง เฉินเฟยกระพริบตาปริบ อะไรคือความเชื่อมโยงระหว่างธนูกับบะหมี่? มีเส้นเหมือนกัน?
แต่เส้นบะหมี่มันไม่ใช่เส้นเอ็นนะ
เฉินเฟยยิ้มกว้าง เขาหาอาหารที่เก็บไว้แต่ไม่เจอบะหมี่เลย แต่ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายๆด้วยการให้ตระกูลจ้าวนำมาให้พรุ่งนี้
ตระกูลจ้าวมองเฉินเฟยเป็นลูกจ้างทองคำ หากเขาต้องการกินบะหมี่พวกเขาก็ต้องนำมาให้
ตอนนี้ยังเพิ่มความชำนาญวิชายุทธ์ไม่ได้ชั่วคราว เฉินเฟยจึงหยิบสมุนไพรหลอมโอสถจิตเบาของวันนี้ออกมา
ความชำนาญโอสตจิตเบาห่างจากระดับรู้แจ้งเล็กน้อย คาดว่าน่าจะไปถึงในอีกไม่กี่วัน แต่การหลอโอสถจิตเบาไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ปริมาณโอสถที่หลอมได้มีไม่น้อย
เฉินเฟยเริ่มหลอมโอสถจิตเบา แต่ละครั้งจะมีอย่างน้อยสองเม็ดถ้าโชคดีจะมีสามเม็ด ดังนั้นการแลกเปลี่ยนสมุนไพรหนึ่งชุดกับโอสถจิตเบาหนึ่งเม็ดและได้รับเงินหกตำลึงจึงเป็นข้อตกลงที่ทำให้เขาร่ำรวย
ท้ายที่สุดแล้วการความรู้เป็นรหัสผ่านสู่ความมั่งคั่ง
ยิ่งมีความรู้สูงความมั่งคั่งก็ยิ่งมาก หากเป็นนักหลอมโอสถคนอื่นคงหลอมโอสถจิตเบาระดับเชี่ยวชาญได้เพียงหนึ่งเม็ดต่อหนึ่งเตา นั่นจึงทำได้แค่หาเงินจากการทำงานหนักเท่านั้น
ตอนบ่ายวันต่อมา หลังจากตระกูลจ้าวได้รับคำขอของเฉินเฟย พวกเขาก็ส่งบะหมี่หนึ่งกล่องมาให้โดยตรง
ปรุงบะหมี่ หลอมโอสถ ฝึกฝนพลังภายใน ตารางงานของเฉินเฟยถูกจัดใหม่จนสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันเขายังคงรอข่าวจากฉือเต๋อเฟิง
เนื่องจากการกระทำของสิ่งแปลกประหลาด กองทัพกบฏจึงเข้าไปในภูเขาผิงหยินบ่อยขึ้น ดูเหมือนกองทัพกบฏจะวางแผนจัดการอำเภอผิงหยินเป็นอย่างดี
ไม่รู้ว่าเป็นผลจากการทำงานหนักของกองทัพกบฏหรือไม่ แต่สิ่งแปลกประหลาดบนภูเขาผิงหยินค่อยๆลดลงและไม่ออกมาฆ่าคนเหมือนแต่ก่อน
คนในอำเภอผิงหยินมีทัศนคติต่อกองทัพกบฏดีขึ้น อย่างไรแล้วคนธรรมดาก็ยังกลัวสิ่งแปลกประหลาดมาก แต่เฉินเฟยไม่มีความสุขเลยเพราะเนื้อเน่าติดกระดูกตรงข้อมือเขายังแสดงอาการเช่นเดิม
เมื่อเวลาผ่านไปมันยังแสดงอาการรุนแรงขึ้น
หากไม่ใช่เพราะว่าคำพูดของเขาไร้ซึ่งน้ำหนักหลักฐาน เฉินเฟยอยากรายงานสถานการณ์นี้จริงๆ แต่น่าเสียดายที่กองทัพกบฏไม่ไว้ใจนักหลอมโอสถตัวเล็ก
“ปัก!”
ในลานบ้าน ท่อนไม้ที่แกว่งไหวไปมาถูกเฉินเฟยหักด้วยลูกธนู
เขาวางธนูยาวในมือลง ธนูหวนคืนศูนย์ถึงระดับรู้แจ้งได้อย่างง่ายดายเพราะการทำบะหมี่แห้งนั้นไม่ได้บอกว่าต้องทำครั้งละเท่าไหร่
เฉินเฟยเรียบง่ายมากเช่นกัน เขาทำบะหมี่แห้งครั้งหนึ่งเส้นเท่านั้น นั่นทำให้บะหมี่หนึ่งกล่องสามารถพาไปถึงจุดสูงสุด เมื่อครู่เขาเพิ่งกินบะหมี่แห้งทั้งหมดไปซึ่งมันค่อนข้างเค็ม
สำหรับพลังของธนูนี้ถือว่าธรรมดามาก ท้ายที่สุดแล้วตอนทำเป็นแบบง่ายมันใช้เงินเพียงหนึ่งตำลึง นั่นแสดงให้เห็นว่าวิชาธนูนี้เป็นเพียงของพื้นฐาน
หากเทียบกับวิชาระดับเดียวกัน มันเทียบได้กับหมัดจีซานที่เขาเรียนรู้ในตอนนั้น
แต่เฉินเฟยค่อนข้างพอใจกับมัน เขาใช้เวลาไม่กี่วันในการเปลี่ยนจากมือใหม่ที่ไม่เข้าใจอะไรเลยเป็นนักธนูที่สามารถยิงเป้าได้ ผลลัพธ์แบบนี้จึงไม่มีอะไรให้ต้องบ่น
ยังมีวิชาธนูอีกสองชุด เฉินเฟยคาดเดาว่าต้องใช้เวลาห้าหกวันถึงจะฝึกเสร็จ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะไปซื้อธนูยาวที่ดีกว่านี้แม้ว่าจะฝึกเสร็จแล้วก็ตาม
ตอนกลางคืน ตลาดมืด
“นี่เป็นของสำหรับวันนี้”
เฉินเฟยวางโอสถฟื้นฟูสมรรถภาพและโอสถจิตเบาไว้บนโต๊ะ เจ้าของร้านตรวจสอบเล็กน้อยและรับมันด้วยรอยยิ้ม ในขณะเดียวกันเขามอบเงินกับสมุนไพรโอถจิตเบาห้าชุดให้
เฉินเฟยเก็บสิ่งของหันหลังจากไป ไม่ไกลจากตลาดมืด เขาหยุดเดิน
“ใต้เท้า ตระกูลหลักต้องการทราบว่าสามารถพบหน้าท่านได้หรือไม่?”
คนชุดดำหลายคนเข้าปิดล้อม ดาบในมือสะท้อนแสงจันทร์เย็นยะเยือก
สีหน้าเขายังคงสงบ เขาคิดไว้แล้วว่าการขายโอสถในตลาดมืดวันนี้จะมีปัญหา ท้ายที่สุดแล้วนักหลอมโอสถล้วนเป็นที่ชื่นชอบ
วิธีที่ดีที่สุดคือมัดตัวพากลับไปและให้พวกเขาหลอมโอสถอย่างสิ้นหวัง
“ตอนนี้สายแล้ว ไว้วันหลังเถอะ”
หลังเฉินเฟยพูดจบก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าคนคนนั้นแล้วใช้ดาบที่ใช้ในการปลอมตัวฟันใส่
“หักขาได้ แต่ห้ามทำร้ายมือ!”
ดูเหมือนเฉินเฟยจะไม่ยอมแพ้ คนชุดดำออกคำสั่ง ดาบในมือหลายคนฟันใส่เขา
เฉินเฟยยิ้มแล้วใช้เคล็ดชำระใจทันที ทุกสิ่งรอบตัวในการรับรู้เขาเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
การเคลื่อนไหวต่อไปของคนชุดดำทั้งห้าถูกเปิดเผยต่อสายตาเฉินเฟย ความรู้สึกควบคุมทุกอย่างเกิดขึ้นในใจอีกครั้ง
เฉินเฟยตวัดดาบในมือเหมือนฟันแบบสุ่ม แต่คนทั้งห้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและปล่อยอาวุธในมือทิ้ง
ทั้งห้าตกใจกลัวจนถอยไปโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่กำข้อมือไว้จู่ๆพวกเขาก็เจ็บขาอย่างรุนแรงพร้อมกับมีเลือดพุ่งออกมา
“อ๊าาาก!!”
ทั้งห้าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปจนต้องกรีดร้องออกมา จากนั้นล้มตัวลงพื้น
เฉินเฟยหัวเราะเสียงดัง ร่างเขากระโจนหายไปจากจุดนั้น
ไม่ว่าใครเป็นคนส่งคนเหล่านี้มาหรือว่ามีคนอื่นคอยเฝ้าดูอยู่รอบนอก แต่เฉินเฟยบรรลุจุดประสงค์ในครั้งนี้แล้ว
จุดประสงค์คือทำให้ตระกูลเข้าใจว่านักหลอมโอสถคนนี้ควบคุมไม่ง่าย นักหลอมโอสถที่มีระดับบ่มเพาะแบบนี้จะโต้กลับหากไม่ระวังให้ดี ดังนั้นการร่วมมือกันแบบปัจจุบันอาจเป็นเรื่องปลอดภัยกว่า
เฉินเฟยคาดการณ์ไว้แล้ว แต่เพื่อแยกตัวเองออกจากตัวตนเดิมเขาจึงไม่ใช้วิชากระบี่
หากต้องการสร้างรายได้ จำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยง
“สายตาดี วิชาดาบปานกลาง”
ไม่ไกลนัก หลิงฮั่นจุนมองการเคลื่อนไหวของเฉินเฟยแล้วส่ายหัว
“พวกเราตามไปเถอะ คนคนนี้มีวิชาปลอมตัวที่ดี ข้าไม่สามารถเห็นใบหน้าเดิมของเขาได้ หากได้เห็นภาพเหมือนเขาอาจเจออะไรบางอย่าง” ซิงเหวินเซียงด้านข้างพูด
“ได้!”
หลิงฮั่นจุนพยักหน้า ทั้งสองสั่นไหวติดตามเฉินเฟยไป
เฉินเฟยกำลังจะสลัดผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังหลุด แต่ทันใดนั้นสัมผัสได้ว่ามีสองร่างพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เฉินเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อกำลังคิดว่าจะใช้ท่าร่างสลัดอีกฝ่ายดีไหมก็เห็นหน้าหลิงฮั่นจุนอย่างชัดเจน
สองคนนี้อยู่ในตลาดมืดแต่ไม่ได้ปิดบังหน้าตาเลย พวกเขากล้ามาก!
ความคิดหลายอย่างแวบเข้ามาในหัว ปรากฎว่าตัวตนแรกอาจถูกตัดออกไปแล้ว และรัศมีของหลิงฮั่นจุนทั้งสองไม่เหมือนจะมาฆ่าใคร
เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจดูว่าทั้งสองต้องการทำอะไร เหตุผลหลักคือเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงสองคนนี้ได้หากต้องการซื้อขายในตลาดมืดต่อไป
ครู่ต่อมา หลิงฮั่นจุนกับซิงเหวินเซียงมาหาเฉินเฟย
“ขออภัยด้วย มีเรื่องที่ต้องตรวจสอบ”
ซิงเหวินเซียงกุมมือให้เฉินเฟย ส่วนหลิงฮั่นจุนด้านข้างจ้องมองเฉินเฟย
ส่วนสูง หน้าตา โครงหน้าไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แน่นอนว่าหากฝึกวิชาปลอมตัวถึงขั้นละเอียดอ่อนจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ แต่น้อยคนนักที่จะทำได้
ความว่องไวที่คนนี้แสดงให้เห็นเมื่อครู่ยังแตกต่างจากคนในคืนนั้นมาก สง่างามและว่องไวกว่าซึ่งต่างกันลิบลับ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะพัฒนาความว่องไวถึงระดับนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ
หลิงฮั่นจุนถอนสายตาและยื่นภาพเหมือนออกไป