บทที่ 34
บทที่ 34
“สวี่ล่าย! ไปลงนรกซะ!”
คำพูดของหลินหยูหลินเพิ่งแผ่วลง คนก็มาถึงแล้ว ง้าวกรีดนภากวาดไปที่คอของสวี่ล่ายอย่างโหดเหี้ยม
“สารเลว! คิดหรือว่าข้าจะยอมจบเพียงเท่านี้!” ขณะนี้ มันสายเกินไปที่สวี่ล่ายจะหลบ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสกัดกั้นด้วยดาบกระหายเลือด
“สะบั้นกระหายเลือด!”
บรึ้ม——!
ง้าวกรีดนภากวาดไปทางดาบกระหายเลือด หากไม่ใช่เพราะวิชาสะบั้นกระหายเลือดฟาดฟันออกไป ขวางทางไว้ หัวของสวี่ล่ายคงหลุดจากบ่าไปแล้ว
“อ๊อก~!” อย่างไรก็ตาม ผลพวงที่ส่งผ่านเข้ามานั้นแรงเกินไป สวี่ล่ายกระอักเลือดเต็มปาก
“นายน้อย?!” พวกสวี่หูตกใจ อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาต้องการเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่มันสายเกินไปแล้ว
เปรี๊ยะ!
รัศมีสายฟ้าฟาดอีกดวงทอวาบ หลินหยูหลินปรากฏตัวอีกครั้งด้านหลังสวี่ล่าย
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” สวี่ล่ายกัดฟันและหันกลับมาโจมตี อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดสายฟ้าแลบ หลินหยูหลินก็หายตัวไปอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า! สวี่ล่าย! เจ้ามันขยะ! หยุดดิ้นรนอย่างไร้ความหมายเสีย ด้วยความเร็วในตอนนี้ของเจ้า เจ้ามองไม่เห็นร่างข้าด้วยซ้ำ แต่วางใจได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายอย่างสงบ ข้าจะเริ่มจากตัดแขนเจ้าแล้วตามด้วยขา ตัดมันทีละข้าง ทีละข้าง ให้เจ้ากลายเป็นคนพิการอย่างสิ้นเชิง”
ขณะนี้ สถานการณ์รบเอนเอียงไปทางหลินหยูอย่างชัดเจน และสวี่ล่ายจะพ่ายแพ้ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา
“ฮ่าฮ่า! พี่ใหญ่สู้ๆ!”
เอาเลย! กำจัดไอ้ขยะสวี่ล่าย”
หม่าเฉียง และคนคุ้มกันที่หลินหยูหลินนำมาพากันโห่ร้องปรบมือด้วยความตื่นเต้น
ทันทีที่สวี่หูเห็นว่าสวี่ล่ายกำลังพ่ายแพ้ ใจเขากระวนกระวาย ตะโกนใส่สวี่หวู่ “สวี่หวู่!”
“ข้าอยู่นี่”
“จงสาบานว่าจะปกป้องนายน้อยจนตัวตาย!”
“ขอรับ!”
สวี่หวู่และสวี่หูชักอาวุธออกมาและกำลังจะพุ่งไปข้างหน้า
“รอก่อน อย่างเพิ่ง”ฉีเจี้ยนหมิงเอื้อมมือข้างหนึ่ง หยุดพวกเขาสองคนอีกครั้ง
“ออกไปให้พ้น! อย่ามาขวางทางเราช่วยนายน้อย!” สวี่หูเลิกคิ้ว และกำลังจะเพิ่มแรงฝ่าออกไป
“ใจเย็นๆ นายน้อยของเจ้ามีวิธีรับมือ”
“คุณชายฉี ท่านหมายความว่าอย่างไร ...” เหยาหว่านซินก็ตะลึงเช่นกัน
“ข้าหมายถึง คุณชายสวี่สามารถหาวิธีตอบโต้วิชาของหลินหยูหลินได้แล้ว” ฉีเจี้ยนหมิงยิ้มบาง นิ้วชี้ไปที่สถานการณ์การสู้รบในระยะไกล
ณ เวลานี้ แสงสีเลือดสว่างวาบ
ฟัฟฟฟ
“อ๊าาาา!”
ง้าวกรีดนภาสับเข้าที่สะบักแขนซ้ายของสวี่ล่าย
“สวี่ล่าย ข้าจะเริ่มจากตัดแขนข้างหนึ่งของเจ้าก่อน!”
เพียงแต่ในตอนนั้นเอง สวี่ล่ายซึ่งกำลังเสียเปรียบ ทันใดนั้นมุมปากเขาก็โค้งขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจ
“สวี่ล่าย! เจ้ายังยิ้มได้เมื่อความตายมาเยือน? เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าหัวเราะไม่ออก!” หลินหยูหลินกางแขนออก กำด้ามง้าวด้วยมือทั้งสองข้าง เพิ่มแรงตัดแขนสวี่ล่าย
“ข้ายิ้มเพราะกำลังหัวเราะเยาะเจ้าที่กำลังจะโชคร้าย!”
เสียงของสวี่ล่ายแผ่วลง ทันใดนั้นมือขวาเขาคว้าด้ามง้าวกรีดนภา พร้อมกับกระทืบเท้าเบาๆ ปราณบริสุทธิ์ถูกส่งจากฝ่าเท้าลงสู่พื้น
ติ๊ง!
รัศมีแสงวิญญาณสว่างขึ้นใต้เท้าของสวี่ล่าย แทบจะในทันทีหลังจากนั้น ค่ายกลใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น
“อะไรกัน!” หลินหยูหลินพบความผิดปกติและต้องการล่าถอย อย่างไรก็ตาม ง้าวกรีดนภานั้นอยู่ในเงื้อมมือของสวี่ล่ายแล้ว จึงเกิดเสี้ยวความลังเลว่าควรปล่อยมันไปหรือออกแรงดึงดี จนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมของหลินหยูหลิน
“เถาวัลย์พัวพัน!”
บรึ้ม——!
เถาวัลย์เขียวขจีหนาเท่าสองแขนแทงขึ้นมาจากพื้นดิน เลื้อยมาตามเท้าของหลินหยูหลินเถาวัลย์นี้ไม่เพียงยากที่จะหลุดพ้น แต่มันยังความดูดซับปราณบริสุทธิ์ในร่างกายของหลินหยูหลินออกมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่มัน ... ค่ายกลเถาวัลย์?”
“ไม่...เป็นไปไม่ได้!”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ที่ค่ายกลใหญ่เช่นนี้ถูกจัดตั้งในชั่วพริบตา?”
“หรือว่า ... หรือว่าคนแซ่สวี่จะใช้หินประสานค่ายกล?”
ถูกตัอง! ตั้งแต่ปะทะกันครั้งแรกจนเกิดอาการแขนด้านชา สวี่ล่ายก็ตั้งใจที่จะใช้หินประสานค่ายกลแล้ว!
หลังจากเกิดการปะทะกันหลายครั้ง สวี่ล่ายก็แอบฝังหินหินประสานค่ายกลเถาวัลย์ไว้ข้างใต้ จากนั้นจงใจหลบซ้ายป่ายขวา เพื่อนำหลินหยูหลินมาสู่กับดัก และเนื่องจากกังวลเรื่องความเร็วอันน่าทึ่งของหลินหยูหลิน สวี่ล่ายจึงต้องจำใจรับง้าวกรีดนภา
ด้วยประการฉะนี้ ต่อให้หลินหยูหลินไวแค่นั้น ก็ยากที่จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของค่ายกลใหญ่
แม้ว่าการกระทํานี้ สวี่ล่ายจะปกปิดมันจากทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไเ้ แต่ไม่ใช่กับวิชาเนตรของฉีเจี้ยนหมิง และนี่คือสาเหตุที่เขาหยุดการกระทำหุนหันพลันแล่นของสวี่หู
“สวี่ล่าย! เจ้า ...... เจ้าโกง!” หลินหยูหลินสำแดงทักษะทางกายภาพที่ช่วยเสริมพละกำลังออกมาทันที กระนั้นก็ยังหนีไม่พ้นพันธนาการของเถาวัลย์
“ฝีมือไม่ดีเท่าผู้อื่นยังจะมาเล่นลิ้น! วันนี้คือคราวเคราะห์ของเจ้า!”
“เจ้า...เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? ข้า... ข้าคือคนของนิกายเทียน...”
ยังไม่รอให้หลินหยูหลินพูดจบ สวี่ล่ายเหวี่ยงเท้าออกไป!
“ลูกเตะทำลายเผ่าพันธุ์!” สวี่ล่ายเตะเข้าที่จุดสำคัญของหลินหยูหลิน
ป้าง!
“อ๊าาาา——!เจ้า……”
การเตะครั้งนี้ทำให้ใบหน้าของหลินหยูหลินเปลี่ยนเป็นสีเขียวในพริบตา ดวงตาทั้งสองข้างเหมือนตากระเปาะของปลาทอง นูนออกมาพร้อมกัน ความรู้สึกเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
“อูว~!”
“คงเจ็บน่าดี!”
“นี่ ... กระบวนท่านี้ ...”
ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกของหลินหยูหลิน เอาแค่เฉพาะผู้ชายที่มามุงดู ไม่มีใครเลยที่ไม่เลื่อนมือมาปิดจุดสำคัญของตัวเอง ทั้งยังแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจหลินหยูหลินเล็กน้อย
“พี่ ... พี่หู นายน้อยเขา ...... ไร้ปรานีจริงๆ” แก้มของสวี่หวู่กระตุกหลายครั้ง
“อา ข้าเกรงว่าลูกเตะนี้คงเจ็บมาก” สวี่หูหัวเราะอย่างขมขื่นเป็นคำตอบ
“นี่...” แม้แต่เหยาว่านซินที่อยู่ด้านข้างก็แอบขมวดคิ้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีกระบวนท่าต่อมา สวี่ล่ายยังไม่ยอมจบ!
“จงดูเพกาซัสหมัดดาวตกของข้า!”
ป้าง! ป้าง!
ป้าง!
“เอาไปอีก! หมัดดาวเหนือ!”
อะ ต๊า! ต๊า! ต๊า! ต๊า!
สวี่ล่ายใช้หลินหยูหลินเป็นกระสอบทราย ปล่อยมากกว่าร้อยหมัดในหนึ่งลมหายใจ พลังทำลายรุนแรงกระทั่งเถาวัลย์เขียวที่พัวพันรอบหลินหยูหลินยังแตกสลาย
บรึ้ม——!
หลินหยูหลินดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ ปลิวไปไกลกว่าสิบหมี่ถึงจะร่วงลงพื้น
[ติ๊ง!]
[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณทำภารกิจ: ยั่วยุผู้ที่ไม่คาดไม่ถึง สำเร็จ]
[รางวัลที่ได้รับ: 500 แต้มสะสม , 500 ค่ากิตติศัพท์ , 10 ค่าปราณสังหาร , อาวุธระดับสมบัติขั้นสูง 1 ชิ้น]
“นายน้อย!?”
“พี่ใหญ่หลิน!?”
คนคุ้มกันและสหายของหลินหยูหลินกรูกันเข้ามาเพื่อช่วยเขา
“นายน้อย!” พวกสวี่หูก็วิ่งเช่นกัน รีบไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของสวี่ล่าย
“ถุด!” สวี่ล่ายพ่นเลือดคั่งออกจากปาก รับโอสถจากสวี่หูหยุดเลือดที่ไหล่ตัวเอง จากนั้นค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“นายน้อย ท่านเป็นอะไรไหม?”
“ไม่เป็นไร ข้ายังไม่ตาย แต่เจ้าสกุลหลินผู้นั้นไม่แน่ ข้าคิดว่าแม้เขาจะไม่ตาย แต่หลังจากรักษาหายแล้วคงพิการ” มุมปากของสวี่ล่ายโค้งงอเล็กน้อย ยิ่งเมื่อนึกถึงลูกเตะทำลายเผ่าพันธุ์ ก็รู้สึกว่าโหดเหี้ยมพอดู
“คุณชายสวี่ ท่าน ... เฮ้อ!” เดิมเหยาว่านซินต้องการตำหนิซักสองสามคำ แต่เธอรู้ดีว่าใครถูกและใครผิด ครึ่งประโยคหลังจึงถูกกลืนกลับไปลง
“คุณชายสวี่ การกระทำนี้โหดร้ายต่อผู้อื่นนัก หลังจากเหตุการณ์นี้ เกรงว่าตระกูลสวี่คงต้องทานรับแรงแค้นจากทั้งตระกูลหลินและนิกายเทียนเยว่”
ขณะนี้ ฉีเจี้ยนหมิงยิ้มเจื่อน เชื่อมต่อประโยคหลังของเหยาว่านซิน
“มันช่วยไม่ได้ หากข้าคือผู้พ่ายแพ้ เกรงว่าจุดจบคงเลวร้ายยิ่งกว่านี้ เหมือนที่สกุลหลินผู้นั้นเคยกล่าวไว้ ที่จะทำร้ายข้าจนพิการ”
สวี่ล่ายจัดการกับอาการบาดเจ็บที่ไหล่ ค่อยๆลุกขึ้น
“เฮ้อ ......” ฉีเจี้ยนหมิงส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
แม้ว่าสิ่งที่สวี่ล่ายทำจะมากเกินไปหน่อย แต่ลองมองในมุมที่ต่างออกมา ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน
“สวี่ล่าย จดจำไว้ให้ดี ‘หนี้เลือด’ นี้เป็นเจ้าที่ผูกมันกับตระกูลหลินเรา แล้วจะได้เห็นดีกัน!”
“พวกเรากลับ!”
ผู้คุ้มกันของตระกูลหลินกล่าวถ้อยคำรุนแรง ช่วยกันแบกหลินหยูหลินบาดเจ็บสาหัสจากไป
“ฮึ่ม! เจ้าทำดีจริงๆ! ตระกูลหลินไม่ใช่เรื่องง่ายหากคิดล่วงเกิน ขอให้โชคดี!” หลิวเซี่ยงตะคอกเย็นชา เดินผ่านสวี่ล่ายไป
แต่ดูท่าทางแล้ว แม้ว่าหลิวเซี่ยงผู้นี้จะเป็นสมาชิกของนิกายเทียนเยว่ กระนั้นคล้ายกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินหยูหลินจะไม่ค่อยดีนัก มิฉะนั้นตอนนี้คงกระโดดออกมาท้าทายตนตั้งนานแล้ว
“ข้าก็โชคดีจริงๆนั่นแหละ” สวี่ล่ายยิ้มเจื่อน จากนั้นหันไปประสานสองกำปั้นให้เหยาว่านซิน
“ก่อกวนงานเลี้ยงของคุณหนูเหยาแล้ว ผู้แซ่สวี่รู้สึกผิดมาก บัดนี้ข้าได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าคงไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ ขอตัวลา”
สวี่ล่ายพูดจบ เขาขยิบตาให้พวกสวี่หู ทั้งสามคนหันหลังกลับและรีบจากไป
“คุณชายสวี่ ......เฮ้อ!”เหยาว่านซินแอบส่ายหัวและถอนหายใจเบา ๆ ไม่มีใครสามารถจินตนาการว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้
“คุณหนูเหยา เกรงว่าข้าจะหมดความสนใจในงานเลี้ยงวันนี้แล้ว ข้าอำลา”
“คุณหนูเหยา ขอตัวก่อน”
“พวกเราก็จะกลับเหมือนกัน”
ตระกูลนับสิบพากันทยอยออกไป งานรวมตัวของเหล่าชนชั้นนำพังครืน
“ฮึ่ม สวี่ล่ายผู้นี้เป็นดาวไถหรือไร มีปัญหาตามเขามาทุกที่ งานเลี้ยงดีๆถึงได้ถูกเขาทำลายเช่นนี้” หลิวเฟยเยี่ยนย่นจมูก กล่าวถ้อยคำประชดประชันจากด้านข้าง
“เอาเถอะพี่สาวหลิว ในเมื่อเริ่มงานเลี้ยงไม่ได้ เช่นนั้นไว้พบกันใหม่ที่งานประมูลในอีกเจ็ดวันข้างหน้า”
ตอนนี้เหยาว่านซินก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน
“ตกลง เมื่อถึงเวลาข้าจะไปอุดหนุนแน่นอน ลาก่อน” หลิวเฟยเยี่ยนกล่าวลาเหยาว่านซิน หมุนตัวขึ้นนั่งเกี้ยวเพื่อจากไป
“คุณหนูเหยา ผู้แซ่ฉีก็ขอลาเช่นกัน เมื่อถึงเวลางานประมูล ข้าจะต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน” ฉีเจี้ยนหมิงประสานกำปั้นพร้อมที่จะจากไป
“เข้าใจแล้ว คุณชายฉีดูแลตัวเองด้วย”
เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว เหยาว่านซินมองคฤหาสน์กลางหุบเขาไผ่ม่วงที่ยุ่งเหยิง ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ จากนั้นมอบหมายผู้ใต้บังคับบัญชาทำความสะอาดลานบ้าน ส่วนตนเองกลับไปพักผ่อน
ระหว่างนั้น สวี่ล่ายพาพวกสวี่หู กลับมาอย่างมีความสุข
“นายน้อย ท่านดู ข้าใช้ประโยชน์จากความสับสนวุ่นวาย หยิบง้าวกรีดนภามาให้ท่านด้วย”
สวี่หวู่ลูบแหวนมิติ นำง้าวกรีดนภาของหลินหยูหลินออกมา ส่งมอบให้กับสวี่ล่ายอย่างมีความสุข
“ฮ่าฮ่า ทำได้ดีมากสวี่หวู่! สวี่ล่ายเอ่ยคำชมอย่างไม่ตระหนี่
“เฮ่ะ เฮ่ ยังไงไอ้คนที่ชื่อหลินหยูหลินนั่นคงไม่มีโอกาสได้ใช้สิ่งนี้อีกแล้ว เช่นนั้นคงดีกว่าหากปล่อยมันให้นายน้อย” สวี่หวู่หัวเราะ ยักคิ้วตาโต
“อาวุธนี้ค่อนข้างดี สิ่งนี้ถือเป็นรางวัลของข้า อ้อกลับไปเมื่อไหร่ ข้าก็มีรางวัลดีๆให้พวกเจ้าเช่นกัน” สวี่ล่ายยิ้มเล็กน้อย เก็บง้าวกรีดนภา
“นายน้อย รางวัลอะไร?” ทันทีที่สวี่หวู่ได้ยินว่ามีรางวัล ในใจเบิกบานทันใด
“ทรัพย์สมบัติในมือของข้าผู้เป็นนายน้อยของเจ้า แน่นอนว่าย่อมเป็นของดี แต่ตอนนี้รีบกลับกันก่อนดีกว่า” สวี่ล่ายกังวลว่าจะมีใครบางคนสร้างปัญหาให้พวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงรีบกลับไปที่โรงเตี๊ยมหอจูเซียนโดยไม่หยุดพัก
ระหว่างทางก็ผ่านไปด้วยดี ไม่พบปัญหาใดๆ
เมื่อทั้งสามคนกลับมาถึงหอจูเซียนอย่างปลอดภัย สวี่ล่ายเรียกสวี่หูและสวี่หวู่มาหาตน แล้วมอบกล่องไม้เล็กๆสองกล่องแก่พวกเขา
“นายน้อย นี่... มันคืออะไร?” สวี่หูกระพริบตา มองกล่องไม้เล็กๆ ก่อนสลับขึ้นมามองสวี่ล่ายอีกครั้ง
“อยากรู้ก็เปิดดูสิ”
“โอ้” สวี่หวู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เปิดกล่องไม้ตามใจชอบ
เห็นแค่เพียงรัศมีแสงวิญญาณสว่างไสว ผลึกน้ำสดใสวางอยู่ข้างในกล่องอย่างเงียบๆ
“นี่มัน... หินประสานค่ายกลรวมวิญญาณ!?”