บทที่ 33
วันนี้ลง 33 34 35
บทที่ 33
บรึ้ม~!
ป้าง! ป้าง! ป้าง!
ด้านนอกคฤหาสน์กลางหุบเขาไผ่ม่วง เมื่อฝูงชนมาถึง สวี่ล่ายกับหลินหยูหลินต่างก็แลกหมัดกันแล้ว
สิ่งที่สวี่ล่ายไม่ชอบที่สุดในชีวิตคือคนที่กลับผิดเป็นถูก และคนที่ใช้มีดแทงข้างหลังผู้อื่น ซึ่งหลินหยูหลินผู้นี้เป็นของประเภทนั้น
เอาจริงๆ สวี่ล่ายไม่รู้จักเขาเลย เพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเองได้ที่นั่งแถวหน้า กลับเกิดความมริษยา ใจคดแคบสร้างความเกลียดชังไปทั่ว สวี่ล่ายจะไม่มีวันก้มหัวให้เขาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ประมือกัน สวี่ล่ายก็พบว่าชายผู้นี้พอมีพลังรบอยู่บ้าง
“ผันเปลี่ยนพิรุณอัสนี!”
“เมฆาเปิดหมอก!”
บรึ้ม——!
แสงเปล่งประกาย รัศมีขนาดใหญ่สีครามและสีขาวระเบิดต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง
หวืออออ หวืออออ!
จากนั้นร่างทั้งสองก็แยกจากกัน กระเด็นถอยไปคนละทางอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มไล่ล่ากัน
“สวี่ล่าย! เจ้าไม่เหลือลูกเล่นแล้วหรือไร? เหตุใดตอนนี้ถึงวิ่งไปมาเหมือนหนูขี้ขลาด?” หลินหยูหลินทางหนึ่งไล่ตามเขา ทางหนึ่งเอ่ยเสียดสีสวี่ล่าย
“หึ!” สวี่ล่ายไม่กล้าอยู่ที่เดิม ร่างเขาวูบไหว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหลินหยูหลินตรงๆ
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ~!
สวี่ล่ายขมวดคิ้วแน่น ก้มลงมองกระแสไฟฟ้าบริเวณแขนขวาตัวเอง อาการอัมพาตบรรเทาลงเล็กน้อย
“พี่หู เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อย? ทำไมเขาเอาแต่หลบ?” สวี่หวู่หันศีรษะด้วยท่าทางประหลาดใจ เอ่ยถามสวี่หูที่อยู่ข้างๆ
“ข้าก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน แต่ในแง่พลังรบ นายน้อยจะไม่มีวันพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายที่ชื่อหลินหยูหลินแน่นอน”สวี่หู่ขมวดคิ้ว ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนนัก
“ฮ่าฮ่า ข้าจะบอกให้ นั่นเพราะนายน้อยของพวกเจ้ามันเป็นขยะไง! พวกเจ้าดูสิ มันทำได้แค่หลบไปรอบๆ ไม่มีการตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น แบบนี้ข้าคิดว่า อีกไม่นานคงแพ้พี่ใหญ่หลิน”
เวลานี้ หม่าเฉียงกอดอกมองพวกสวี่หูด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
“เจ้า ......”สวี่หูแค่อยากระบายความโกรธ แต่ก็ถูกฉีเจี้ยนหมิงหยุดไว้
“อย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าสังเกตเห็นที่แขนขวาของคุณชายสวี่ตอนนี้หรือไม่?”
“โอ้? คุณชายฉีเห็นอะไรงั้นหรือ?” เหยาว่านซินถามอย่างสงสัย
“มีข่าวลือว่า ตระกูลหลินมีวิชายุทธระดับลึกล้ำชุดหนึ่ง เรียกว่าเพรียกอัสนี วิชายุทธนี้ทรงพลังมาก และมีคุณสมบัติรองคือไฟฟ้าสถิต คุณสมบัติใหญ่คือธาตุสายฟ้า เมื่อได้สัมผัสกับคู่ต่อสู้แล้ว ฝ่ายหลังจะเกิดอาการอัมพาตในระดับหนึ่ง”
ฉีเจี้ยนหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ตอนนี้หลินหยูหลินน่าจะกำลังวิชายุทธที่ว่า แขนขวาของคุณชายสวี่เลยเป็นอัมพาต ไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้”
“อะไรนะ? งั้นนายน้อยเขาก็ได้รับบาดเจ็บ ......”
หัวใจของสวี่หูราวกับถูกบีบรัด ต้อการก้าวไปข้างหน้า
“ช้าก่อน แม้ว่านายน้อยของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่เขาตอบสนองฉับไว ถีบร่างถอยหลังทันเวลา และถ่ายเทปราณบริสุทธิ์สะกดสายฟ้าที่แขนขวาเอาไว้ได้ทัน ตอนนี้น่าจะไม่เป็นอะไรมาก” ฉีเจี้ยนหมิงหยุดแรงกระตุ้นของสวี่หู และอธิบายเล็กน้อย
ตามที่ฉีเจี้ยนหมิงคาดไว้ ตอนแรกสวี่ล่ายและหลินหยูหลินปะทะกันอย่างหนัก เป็นผลให้กระแสไฟฟ้าอันทรงพลังส่งผ่านอาวุธ ตรงเข้าสู้แขนขวาของสวี่ล่าย หากไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาที่รวดเร็วของสวี่ล่าย ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะ
ณ ขณะนี้ สวี่ล่ายได้บังคับกระแสไฟฟ้าทั้งหมดออกจากร่างกายแล้ว แขนเริ่มกลับมาควบคุมได้อีกครั้ง
“บ้าชิบ! ไม่คิดว่าหลินหยูหลินจะเก่งขนาดนี้ ดูท่าข้าจะประมาทไปหน่อย”
สวี่ล่ายแอบกัดฟันตัวเอง สะบัดแขนขวาเล็กน้อย พบว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว วกย้อนกลับไปหาหลินหยูหลินที่กำลังไล่ตามมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องอย่างนี้สิสวี่ล่าย! นับเป็นเกียรติของเจ้าที่ได้ตายด้วยน้ำมือข้า”หลินหยูหลินระเบิดเสียงหัวเราะ ง้าวกรีดนภาวาดเป็นวงกลมในอากาศ กระแสไฟฟ้าปกคลุมไปทั่ว
“ฮึ่ม” สวี่ล่ายตะคอกอย่างเย็นชา โคจรปราณบริสุทธิ์ภายในร่างกาย ดาบกระหายเลือดในมือขวาสาดแสงสีแดง
“สะบั้นกระหายเลือด~!” สวี่ล่ายฟันไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี เส้นแสงอาชาโลหิตถูกเหวี่ยงออกไป
“ไม่ได้การ!” หลินหยูตกใจมาก ไม่คาดหวังว่าสวี่ล่ายจะมีวิชายุทธโจมตีระยะไกล เขาไม่เสียเวลาคิด สะกิดง้าวกรีดนภาในมือตัวเองลงกับพื้น
“กำบังแสงอัสนี!” ง้าวกรีดนภาสว่างวาบ ลำแสงสายฟ้าแลบออกมา ถักทอเป็นโล่สายฟ้ารอบตัวหลินหยูหลิน
ฟู่~!
บรึ้ม——!
เส้นแสงอาชาโลหิตฟาดลงบนโล่สายฟ้าอย่างดุเดือด ประกายไฟฟ้าขนาดใหญ่ปะทุขึ้น
เปรี๊ยะ~!
“แข็งชะมัด!” สวี่ล่ายประหลาดใจมาก ไม่คาดหวังว่าสะบั้นกระหายเลือดที่แก่กล้าที่สุดตัวเอง จะไม่สามารถตัดผ่านโล่สายฟ้าของคู่ต่อสู้ได้
“ให้ตายสิ!” สวี่ล่ายกัดฟัน ถีบร่างถอยออกมาอีกครั้ง
“หือ? วิชายุทธที่คุณชายสวี่ใช้ คล้ายไม่สมควรมาจากตระกูลสวี่?” ฉีเจี้ยนหมิงเบิกตาด้วยความสนใจที่มากขึ้น เฝ้าดูสถานการณ์รบตรงหน้าอย่างรอบคอบ
“มีข่าวลือว่าก่อนคุณชายสวี่เข้าร่วมงานประลอง เขาเคยเข้าไปในป่าหมอกเพื่อฝึกฝน และได้รับบางสิ่งบางอย่างมา” เหยาว่านซินยิ้มอย่างมีความหมาย
“ผู้แซ่ฉีก็เคยได้ยินเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าวิชายุทธเมื่อครู่น่าจะได้รับมาจากในตอนนั้น ดูท่าโชคของคุณชายสวี่จะไม่ตื้นเขิน” ฉีเจี้ยนหมิงชำเลืองมองสวี่หู เขายอมรับว่าอิจฉาไม่น้อย
“คุณชายฉี ข้าสงสัยว่าวิชายุทธของตระกูลหลินนี้ ต้นกำเนิดของมันคืออะไร? คล้ายสมควรจะเป็นวิชายุทธทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ” เหยาหว่านซินก็เป็นคนฝึกศิลปะการต่อสู้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นมากกับวิชายุทธที่หายากของตระกูลหลิน
“มีข่าวลือว่า วิชายุทธชุดนี้ของตระกูลหลินเป็นของชนเผ่าในสมัยโบราณ ต่อมาในยุคช่วงชิงอำนาจ บรรพบุรุษของตระกูลหลิน ติดตามประมุขนักสู้ของรัฐต้าหยานไปต่อสู้ในสนามรบ กวาดล้างชนเผ่านี้ ต่อมาเพื่อตอบแทนผลงานที่โดดเด่นของตระกูลหลินในสนามรบ จึงได้มอบวิชายุทธนี้ให้เป็นกรณีพิเศษ”
“แต่น่าเสียดาย วิชายุทธนี้ถูกทำลายในสงคราม ที่หลงเหลือและส่งทอดต่อๆกันมาเป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น” ฉีเจี้ยนหมิงบอกสั้นๆ เกี่ยวกับต้นกำเนิดของศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหลิน
“คุณชายฉี หรือว่านายน้อยของข้าไม่มีความหวังที่จะชนะ?” สวี่หูได้ฟัง ในใจก็ยิ่งร้อนรน
“ก็ไม่แน่ เท่าที่ข้ารู้ วิชายทุธของตระกูลหลินเป็นเรื่องยากมากที่จะฝึกฝน และวิชายุทธนี้มีเพียงสองขั้นแรกเท่านั้น เพื่อกระตุ้นไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการใช้งาน ผู้ใช้ต้องพึ่งพาอาวุธระดับสมบัติคุณภาพสูงที่มีธตุสายฟ้าจึงจะทำได้”
ฉีเจี้ยนหมิงกล่าว นิ้วชี้ไปที่ง้าวกรีดนภาในมือของหลินหยูหลิน “พวกเจ้าดู ที่อยู่ในมือคุณชายหลิน คือง้าวกรีดนภาที่มีคุณสมบัติสายฟ้า อาวุธนี้ต้องมีค่ายกลสายฟ้าติดตั้ง อยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่มันสามารถกักเก็บสายฟ้าไว้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขีดจำกัดของระดับอาวุธ สายฟ้าที่เก็บไว้คงมีจำกัด”
“ตอนนี้ คุณชายหลินใช้วิชายุทธของตัวเองไปแล้วสองครั้ง หนึ่งในนั้นคือทักษะการป้องกันที่กินปริมาณสายฟ้ามากที่สุด จากการอนุมานของข้า สายฟ้าที่เหลืออยู่ของคุณชายหลิน สมควรใช้ได้อีกไม่เกินสามครั้ง”
บรึ้ม!
ตามที่คาดไว้ สวี่ล่ายและหลินหยูหลินปะทะกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้หลินหยูหลินไม่ได้ร่ายวิชายุทธสายฟ้า แต่กลับใช้วิชายุทธระดับอำพันแทน
“เหอะ!” มุมปากของสวี่ล่ายโค้งงอเล็กน้อย ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาด สายฟ้าในง้าวกรีดนภาของหลินหยูหลินมีไม่มากแล้ว
“ให้ตายเถอะ! เจ้าหมอนี่รับมือยากจริงๆ ดูท่าหากไม่เอาจริงคงยากที่จะกำจัดเขา” หลินหยูหลินกัดฟัน ตัดสินใจใช้ทางเลือกสุดท้ายในการจัดการกับสวี่ล่าย
“สวี่ล่าย! ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าอีกแล้ว!”
แค่เสียงก็แผ่วลง หลินหยูหลินเหวี่ยงง้าวกรีดนภาในมือตัวเอง ปากท่องพึมพำ
“หืม?” สวี่ล่ายผงะเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลินหยูหลินกำลังจะแสดงศาสตร์ลับอะไรอีก เพื่อความปลอดภัย สวี่ล่ายถอยห่างออกมาเพื่อเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
คำร่ายที่ฟังไม่ชัดออกมาจากปากหลินหยูหลิน
เปรี๊ยะ~!
กระแสไฟฟ้าปะทุจากง้าวกรีดนภาในมือของหลินหยูหลินอย่างต่อเนื่อง พวกมันพรั่งพรูออกมา แต่ไม่กระจาย เพียงไหลเวียนอยู่รอบขาของหลินหยูหลิน
ฮ่า!
เปรี๊ยะ~!
พร้อมเสียงตะคอก ขาของหลินหยูหลินสว่างวาบด้วยประกายสายฟ้าอันน่าทึ่ง
“นั่นมัน...?” สวี่ล่ายตะลึงตัวแข็ง ไม่เข้าใจเจตนาของหลินหยูหลิน
“มันจบแล้ว” ดวงตาของฉีเจี้ยนหมิงเกิดการเปลี่ยนแปลง
“คุณชายฉี ท่านพบอะไร”
เหยาว่านซินถามฉีเจี้ยนหมิงที่อยู่ข้างๆเธออย่างอยากรู้อยากเห็น อย่างไรก็ตาม เห็นเพียงดวงตาของฉีเจี้ยนหมิงที่กำลังเปล่งประกายด้วยแสงสีน้ําเงิน
“เอ๊ะ? วิชาเนตร!?” เหยาว่านซินผงะเล็กน้อย “มีข่าวลือว่าวิชาเนตรของตระกูลฉีนั้นลึกล้ำเป็นที่สุด แต่คุณชายฉีกลับสามารถฝึกฝนใช้งานมันได้สำเร็จ”
“อะไรนะ! วิชาเนตร!?”
“ซู้ดดด~!ร้ายกาจจริงๆ!”
นักบู๊รอบข้างได้ยินคำ ‘วิชาเนตร’ แต่ละคนแสดงสีหน้าตื่นตกใจ
“พี่หู วิชาเนตรนี้มันคือทักษะประเภทใด?” สวี่หวู่เอนตัวเข้ามา เอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ
“ข้าเคยอ่านเรื่องนี้ในตำราของตระกูลสวี่ ว่ากันว่าในทวีปชางหวู่ มีวิชาลึกลับหลายอย่าง และวิชาเนตรก็เป็นหนึ่งในนั้น” สวี่หูลูบคางตัวเอง จมหายไปในความคิด
ณ ขณะนี้ เหยาว่านซินเม้มริมฝีปากและยิ้ม เอ่ยช้าๆ “วิชาเนตร เมื่อฝึกฝนสำเร็จ ผู้ใช้สามารถทำลายกฎพันหมื่น มองเห็นจากระยะไกลนับพันลี้และเปิดมิติได้ กล่าวกันว่าหากฝึกฝนถึงขีดสุดจะสามารถสร้างเขตแดนลวงตาและสังหารคนที่ไม่อยู่ในสายตาได้”
“อะไรนะ!”
“นี่มัน... ทรงพลังขนาดนั้นเลย?”
สวี่หวู่ และนักบู๊หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ฮี่ ฮี่ แต่เนตรของข้ายังอ่อนด้อยนัก เกรงว่าคงทำให้คุณหนูเหยาต้องหัวเราะเยาะแล้ว” “ฉีเจี้ยนหมิงหลับตา ถอนปราณบริสุทธิ์ที่ใช้ในดวงตาทั้งสองข้าง จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อย
“วิชาเนตรนั้นมีความลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม วิชาเนตรของตระกูลฉีเป็นเพียงวิชาผิวเผิน ผู้แซ่ฉียังไม่ชำนาญ อย่างมากที่สุด ข้าสามารถมองเห็นได้เฉพาะทิศทางการไหลเวียนของปราณบริสุทธิ์เท่านั้น”
เหยาหว่านซินยิ้มบาง “ถึงกระนั้น ยามคุณชายฉีต้องต่อกรกับผู้อื่น ท่านสมควรเป็นคนแรกที่เข้าใจการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม สามารถเตรียมพร้อมทั้งรุกและรับ”
“ฮ่าๆ” ฉีเจี้ยนหมิงหัวเราะเล็กน้อยเป็นการตอบกลับ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ชัดเจน เห็นได้ชัดว่ากำลังบ่ายเบี่ยง
“คุณชายฉี บอกข้าทีว่าตอนนี้หลินหยูหลินกำลังจะทำอะไรกันแน่?” ในเวลานี้ สวี่หูไม่ได้สนใจเกี่ยวกับวิชาเนตร ความกังวลเพียงอย่างเดียวคือนายน้อยจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
ฉีเจี้ยนหมิงกระแอมเบาๆ “อะแฮ่ม ตอนนี้หลินหยูหลินดึงสายฟ้าทั้งหมดที่เหลืออยู่ในง้าวกรีดนภาออกมาแล้ว และอาบมันไว้ทั่วขา จุดประสงค์สมควรทำเพื่อเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวของตัวเอง ในกรณีนี้ข้าเกรงว่า ...”
ก่อนที่ฉีเจี้ยนหมิงจะอธิบายเสร็จ การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้น
เปรี๊ยะ!
ประกายไฟฟ้าสว่างวาบ หลินหยูหลินกลายเป็นเส้นแสงสายฟ้า ปรากฏตัวต่อหน้าสวี่ล่ายในทันใด
“สวี่ล่าย! ไปลงนรกซะ!” หลินหยูหลินโบกมือขวา ง้าวกรีดนภากวาดไปที่เอวของสวี่ล่าย
“ไม่ได้การ!” สวี่ล่ายหน้าซีดด้วยความตกใจ รีบยกดาบขึ้นมาฟันด้วยความลุกลี้ลุกลน
เคร้ง~!
ง้าวกรีดนภาเป็นอาวุธหนัก ขณะที่สวี่ล่ายใช้อาวุธเบา เมื่ออาวุธทั้งสองปะทะกัน ประกายไฟขนาดใหญ่ก็ปะทุขึ้น
“อ๊าาาา!”สวี่ล่ายก็รู้สึกแขนทั้งสองข้างชา โอดโอยคำหนึ่ง ถีบร่างนั้นถอยหลังอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหน!?”
ความเร็วของหลินหยูหลินนั้นเหมือนกับสายฟ้าแลบ เพียงเสียงแผ่วลง คนทั้งคนก็ปรากฏตัวข้างหลังสวี่ล่ายแล้ว
“ห๊ะ?! เสร็จกัน!”
“ตาย——!”
บรึ้ม——!