ตอนที่ 39 กระบี่สามเซียน
ในลานหลังบ้านของที่ว่าการอำเภอ ถานเจิ้นอันกำลังแสดงวิชาหมัดอย่างช้าๆ ในทิศทางของหมัด พลังหมัดก่อให้เกิดเสียงทุ้มราวกับกลองศึกถูกตีอย่างแรง นั่นทำให้หัวใจผู้คนบีบแน่นขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
ครู่ต่อมา ถานเจิ้นอันดึงมือกลับแล้วมองฮั่วซือจงด้านข้าง “เห็นชัดหรือไม่?”
“เห็นชัดแล้ว”
ฮั่วซือจงพยักหน้า “ในอำเภอผิงหยิน วิชาพลังภายในที่ดีที่สุดคือพลังฮั่วหลินของตระกูลจ้าว เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลจ้าวนำกลับมาจากภายนอก มันไม่อ่อนด้อยสำหรับระดับขัดเกลาอวัยวะภายในเลย นอกจากนี้ยังมีกระบี่หยดน้ำของตระกูลลี่และวิหคย่ำเมฆาของตระกูลจาง สิ่งเหล่านี้ล้วนดีมาก”
“หลังจากนี้สิบวันให้นำคนกลับและนำวิชายุทธ์เหล่านี้มาด้วย” ถานเจิ้นอันพยักหน้า
“เกรงกว่าคนเหล่านั้นจะปฏิเสธ”
“หาข้ออ้างแล้วรวมตระกูลเหล่านั้นเข้าด้วยกัน ต้องมีบางคนยินดีช่วยเราแน่นอน”
“ขอรับ!”
ฮั่วซือจงอดยิ้มชั่วร้ายไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุด การให้ตระกูลเหล่านั้นนำเงินและเสบียงมาให้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น
ขั้นต่อไปคือการกินเลือดเนื้อตระกูลแล้วทำความสะอาด(ได้ประโยชน์แล้วไม่รับผิดชอบ) วิธีนี้จะทำให้เกิดการต่อต้านน้อยสุดและได้ประโยชน์สูงสุด
“มีเพื่อนสองสามคนจากป่าต้องการเข้าร่วมกับเรา จะยอมรับหรือไม่?”
“เจ้าตัดสินใจเถอะ” ถานเจิ้นอันจับถ้วยชาขึ้นดื่มแล้วพูด “เมื่อได้ตำราวิชาแล้วให้ส่งมาให้ข้า”
“ขอรับ!”
ฮั่วซือจงกุมมือมองถานเจิ้นอันกลับไปในห้องตำรา ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเคารพ
เช้าวันรุ่งขึ้น ตระกูลจางเรียกเฉินเฟยไปพบและขอให้เขาหลอมโอสถฟื้นฟูสมรรถภาพ
เงื่อนไขที่กองทัพกบฏมอบให้ตระกูลจางไม่ได้มีเพียงเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโอสถและอาหารจำนวนมหาศาล
ก่อนหน้านี้ถูกกองทัพราชสำนักนำเสบียงไปแล้วจึงทำให้ตระกูลจางมีเหลือไม่มากนัก ในเวลานี้พวกเขาต้องทำตามเงื่อนไขภายในสิบวันซึ่งทำให้ตระกูลจางจนมุม
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงตระกูลจางเท่านั้น ตระกูลทั้งหมดในอำเภอผิงหยินต่างเป็นเช่นนี้
เมื่อเผชิญกับกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่า ตระกูลเหล่านี้ก็ดูไม่ต่างจากคนธรรมดา
เมื่อได้รับคำขอของตระกูลจาง เฉินเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบตกลง
แม้จะไม่ค่อยพอใจตระกูลและมีความขัดแย้งเรื่องสูตรโอสถจิตเบาในครั้งก่อน แต่โดยรวมแล้วยังอยู่ในตระกูลจางต่อไปได้
เหตุผลหลักคือเฉินเฟยไม่รู้ว่าควรออกจากอำเภอผิงหยินเมื่อใด
ข้างนอกนั้นอันตรายมากซึ่งทำให้เฉินเฟยรู้สึกกลัวและไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
ระดับบ่มเพาะของเฉินเฟยต่ำเกินไป แม้ตอนนี้พลังต่อสู้จะเทียบได้กับระดับหลอมกระดูก แต่ในโลกภายนอกระดับหลอมกระดูกไม่ถือว่าเป็นอะไร
ความรู้ของเฉินเฟยเกี่ยวกับโลกนี้มาจากอำเภอผิงหยิน การเดินทางไกลเป็นเรื่องเสี่ยงและเขาไม่มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในป่า เฉินเฟยรู้สึกว่าจะล้มเหลวมากกว่าทำสำเร็จ
งานหลอมโอสถที่ตระกูลขางมอบให้เฉินเฟยครั้งนี้เป็นเรื่องหนักหนามากสำหรับนักหลอมโอสถธรรมดา
แต่การหลอมโอสถฟื้นฟูสมรรถภาพของเฉินอยู่ในระดับรู้แจ้ง ปริมาณโอสถที่หลอมได้ในแต่ละเตาก็ถึงจุดสูงสุด ดังนั้นเฉินเฟยจึงใช้เวลาเพียงสองชั่วยามในการทำงานของตระกูลจางให้สำเร็จ
สำหรับสมุนไพรที่เหลือ แน่นอนว่าเฉินเฟยต้องเก็บเอาไว้เอง ตอนนี้อำเภอผิงหยินไม่สามารถหาซื้อสมุนไพรได้อีกต่อไป และไม่สามารถจ้างผู้ลี้ภัยให้ออกจากเมืองได้เนื่องจากกองทัพกบฏปิดล้อมอำเภอผิงหยินทั้งหมดทำให้ผู้คนเข้าออกไม่ได้
ก่อนหน้านี้เฉินเฟยกังวลเรื่องการมาของกองทัพกบฏจึงตั้งใจกักตุนอาหารเอาไว้ แต่จู่ๆเขาก็ได้ใช้มันอย่างไม่คาดคิด
ในตลาดมืด
ตลาดมืดเปิดอีกครั้งหลังปิดไปสามวัน เมื่อเทียบกับความพลุกพล่านในอดีต ในเวลานี้ตลาดมืดว่างเปล่า สินค้าที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดคืออาหารและสมุนไพรโอสถ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอาหาร โอสถสมุนไพรสามารถแลกเปลี่ยนเป็นอาหารกับตระกูลได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือการกิน
“ไม่มีวิธีออกไปจากอำเภอผิงหยินเลยหรือ?”
ในกระท่อม เฉินเฟยมองฉือเต๋อเฟิงแล้วถาม แม้ฉือเต๋อเฟิงจะหลอกเฉินเฟยด้วยสมุนไพรปลอมทุกครั้ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ไม่เลว
ในความคิดเฉินเฟย ฉือเต๋อเฟิงเป็นพ่อค้าในตลาดมืดมาหลายปี ด้านการค้านั้นต้องเก่งกว่าเฉินเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย
“ยังพอมีวิธีออกจากอำเภอผิงหยินอยู่ แต่ไม่มีกองคาราวานไปสำนักเซียนเมฆาอย่างที่เจ้าต้องการ” ฉือเต๋อเฟิงที่นอนบนเก้าอี้พูดอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่จำเป็นต้องไปสำนักเซียนโดยตรง แค่ไปที่อื่นก่อนก็ได้” เฉินเฟยกระซิบ
เนื่องจากตระกูลต่างๆในอำเภอมณฑลผิงหยินกำลังส่งเสบียงและกองทัพกบฏต้องควบคุมทหารของตัวเอง ดังนั้นอำเภอผิงหยินจึงร้างมากกว่าปกติ ไม่มีการเผาฆ่าและปล้นครั้งใหญ่
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคล็ดชำระใจที่เขาฝึกหรือไม่ เฉินเฟยสัมผัสได้ถึงอารมณ์เศร้าที่กำลังจะมาถึง หลังผ่านไปสิบวันอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้เฉินเฟยหวังว่าถ้ามีโอกาสก็จะออกจากอำเภอผิงหยิน
“ไม่มี” ฉือเต๋อเฟิงส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้มีกองคาราวานน้อยมาก ช่วงนี้ยิ่งไม่มีผ่านมาเลย”
“แล้วเจ้ามีแผนอย่างไร?”
ฉินเฟยมองฉือเต๋อเฟิงอย่างสงสัย คนคนนี้ฉลาดมาก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เตรียมแผนเอาไว้
“รอให้กองทัพกบฏออกไปก่อน”
ฉือเต๋อเฟิงยืนขึ้นเท้าเอว “กองทัพกบฏมุ่งเป้าไปที่ตระกูลเหล่านั้น ไม่มีใครสนใจคนอย่างพวกเรา ตราบใดที่เจ้าระวังตัวก็จะผ่านพ้นเรื่องนี้ได้”
เฉินเฟยมองฉือเต๋อเฟิงอย่างสงสัยแล้วหันกลับเดินออกไปจากตลาดมืดโดยไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ตระกูลจางนำสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถมาให้ทุกวัน
กฎระเบียบในอำเภอผิงหยินเสื่อมลงเรื่อยๆ ทหารเหล่านั้นเริ่มปล่อยตัวไปตามสัญชาตญาณ การปล้นสะดมและการฆ่าปรากฏขึ้นในอำเภอผิงหยิน
ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากกบฏ มีเพียงบางส่วนที่เกิดจากคนอำเภอผิงหยิน ในสภาพแวดล้อมนี้บางคนจึงปลดปล่อยความชั่วร้ายในใจโดยตรง
เสียงร้องไห้และตะโกนดังขึ้นเป็นครั้งคราว เฉินเฟยได้ยินแต่ไม่ขยับเขยื้อน เรื่องนี้เกินความสามารถของเขา เฉินเฟยฝึกฝนหนักขึ้นไม่ยอมปล่อยให้เวลาเสียเปล่าแม้แต่นาทีเดียว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงกดดันเช่นนี้หรือไม่ ในวันที่ห้าเฉินเฟยทลายสูตรโอสถจิตเบาและหลอมโอสถจิตเบาได้เป็นครั้งแรก
[การหลอมโอสถ: โอสถจิตเบา(เริ่มต้น1/100)]
“โอสถจิตเบาแบบง่าย...ทำให้เป็นแบบง่ายสำเร็จ...โอสถจิตเบา → โอสถฟื้นฟูสมรรถภาพ!”
เฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ช่วงนี้ไม่สามารถซื้อโอสถจากร้านค้าในเมืองได้ แต่ตอนนี้หลอมโอสถจิตเบาได้แล้ว ด้วยสมุนไพรที่เฉินเฟยแอบเก็บไว้จึงสามารถหลอมโอสถจิตเบาไว้ใช้เองได้
วันที่แปด เฉินเฟยผสานท่าร่างทั้งสามที่ได้รับจากตระกูลจางได้อย่างสมบูรณ์
[วิชายุทธ์: เหินเมฆา(รู้แจ้ง)]
เมื่อเทียบระดับรู้แจ้งกับระดับเริ่มต้น ตอนนี้ความเร็วปกติของเฉินเฟยเพิ่มขึ้นเป็นความเร็วในตอนวิ่งก่อนหน้านี้ หากตอนนี้เฉินเฟยวิ่งอีกครั้งเขาคงรู้สึกรวดเร็วปานฟ้าแลบ
แม้มันเกินจริงไปหน่อย แต่ความเร็วของเฉินเฟยก้าวหน้าสู่ระดับที่สูงขึ้น
ตอนเย็นวันที่สิบเอ็ด เฉินเฟยจุ่มหัวลงในน้ำเย็น
โลกเหมือนเงียบสงบไปช่วงหนึ่ง เฉินเฟยเงยหน้าขึ้น มองสภาพแวดล้อมรอบด้านและรับรู้ถึงทุกความคิดในใจ
เฉินเฟยรู้สึกว่าสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
ชักกระบี่ยาวออกมาและเริ่มใช้กระบวนท่ากระบี่ลายเพลิง
เห็นได้ชัดว่าวิชากระบี่ลายเพลิงถึงระดับรู้แจ้งแล้ว แต่เขาไม่เคยรู้สึกละเอียดถี่ถ้วนเท่านี้มาก่อน
เฉินเฟยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และแทงเซียนชี้นำออกไปในทันใด
ครู่ต่อมา แสงกระบี่สามเล่มสว่างวาบและรวมเป็นหนึ่งเดียว มันสั่นไหวในอากาศช่วงก่อนจะสลายไป
เฉินเฟยมองแสงกระบี่อย่างมีความสุข ครั้งนี้เขาใช้เซียนชี้นำได้พร้อมกันสามครั้ง หากเป็นเมื่อก่อนคงทำไม่ได้แน่นอน แต่ตอนนี้สามารถทำได้แล้ว
“กระบี่สามเซียน?”
“วิ้ง!”
เฉินเฟยพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นเฉินเฟยเกิดอาการเวียนจนต้องไปพิงกำแพง
ครู่ต่อมา เฉินเฟยลืมตาขึ้นและพบว่าความรู้สึกที่ควบคุมทุกอย่างได้เลือนหายไปแล้ว