ตอนที่ 40 กินเสร็จก็ทำความสะอาด
[วิชายุทธ์: เคล็ดชำระใจ(รู้แจ้ง)]
“ไม่คิดเลยว่าเมื่อฝึกเคล็ดชำระใจถึงระดับรู้แจ้งจะสามารถกระตุ้นสถานะพิเศษได้”
เฉินเฟยนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ การควบคุมทุกอย่างได้ทำให้เขาเสพติดไปกับมัน แต่เห็นได้ชัดว่าสถานะนี้มีเวลาจำกัด ระยะเวลาสั้นและผลลัพธ์ที่ได้มีไม่น้อย
หลังจากพักครู่หนึ่ง อาการวิงเวียนศีรษะของเฉินเฟยก็ดีขึ้น
สถานะพิเศษของเคล็ดชำระใจมีผลต่อการพัฒนาพลังต่อสู้อย่างชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงกระบี่สามเซียนที่เฉินเฟยใช้เมื่อครู่ก็สามารถเป็นท่าสังหารแบบใหม่ได้
กระบี่สามเซียนเป็นหนึ่งในกระบวนท่ากระบี่ที่บันทึกไว้ในกระบี่เซียนเมฆา แต่สิ่งที่เฉินเฟยได้รับในตอนแรกคือตำราวิชาไม่สมบูรณ์ และคำอธิบายของกระบวนท่ากระบี่มากมายในนั้นแทบเป็นเรื่องไร้สาระ
ดังนั้นกระบี่สามเซียนอันนี้ถือได้ว่าเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่เฉินเฟยสร้าง เมื่อเทียบกับเซียนชี้นำ พลังของกระบี่สามเซียนที่รวมกันเป็นหนึ่งได้รับการปรับปรุงอย่างมาก
บางทีมันอาจเป็นภัยคุกคามเล็กน้อยต่อนักยุทธ์ขัดเกลาไขกระดูก แต่มันเป็นเพียงภัยคุกคามเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วพลังภายในของเฉินเฟยยังต่ำเกินไปซึ่งยากต่อการใช้สู้ข้ามสองระดับ
“น่าตกใจจริงๆ”
เฉินเฟยอดยิ้มไม่ได้ ขณะที่เขาเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูเปียกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากนอกลานบ้าน
“ผู้ดูแลเฉิน ผู้ดูแลเฉินอยู่ด้านในหรือไม่?” หลิวจวินตะโกนอย่างกระวนกระวาย
“มีเรื่องอะไร?”
เฉินเฟยเปิดประตูลานบ้านและเห็นหลิวจวินหอบหนัก เมื่อเห็นเฉินเฟยเปิดประตู หลิวจวินจึงรีบเข้าไปและปิดประตูอย่างระมัดระวัง
เฉินเฟยมองหลิวจวินอย่างแปลกใจแต่ไม่ได้เร่งเร้าให้พูด
“ตระกูลจางหายไปแล้ว!” หลิวจวินมองเฉินเฟยและพูดด้วยเสียงต่ำ
“ว่าไงนะ?” เฉินเฟยตกใจ เขาไม่คิดว่าจะได้รับข่าวแบบนี้จากหลิวจวิน
“ตระกูลจ้าวนำผู้คนไปปิดล้อมตระกูลจาง หัวหน้าตระกูลถูกฆ่าตาย นายน้อยและคุณหนูหลายคนตายเช่นกัน”
เมื่อหลิวจวินพูดเช่นนี้ร่างกายเขาก็สั่นสะท้าน
หลิวจวินทำงานในศูนย์การแพทย์ตั้งแต่ยังเด็กจึงมองตระกูลจางเหมือนครอบครัวตัวเอง แต่จู่ๆเขาก็ได้ยินว่าตระกูลจางถูกทำลาย ความรู้สึกนั้นเหมือนกับท้องฟ้าจะถล่มลงมา
เฉินเฟยถามอย่างละเอียดจึงได้รู้สถานการณ์ของเรื่องนี้
เมื่อวานกองทัพกบฏรวมตัวกับตระกูลจ้าว และด้วยเหตุผลบางอย่างจึงเข้ากวาดล้างตระกูลจางโดยตรง ดูเหมือนว่าจางถิงจะไม่ได้รับโอกาสในการตอบโต้ด้วยซ้ำ จางถิงตายในจุดนั้นพร้อมกับผู้อาวุโสบางคนของตระกูลจาง
ผู้สืบทอดสายตรงทั้งหมดถูกฆ่าตาย มีเพียงผู้สืบทอดสายเลือดบางส่วนเท่านั้นที่เหลือรอด
ทรัพยากรต่างๆของตระกูลจางถูกแบ่งออก สมาชิกหลักทั้งหมดถูกขับออกจากคฤหาสน์และกลายเป็นผู้ลี้ภัย
ไม่ใช่แค่ตระกูลจาง แต่ยังมีอีกสองตระกูลที่เจอเรื่องแบบนี้ ซึ่งกองทัพกบฏที่รวมกับตระกูลอื่นใช้ข้ออ้างมากมายในการลงมือ
“กินเสร็จก็ทำความสะอาดจริงๆ”
เฉินเฟยพึมพำกับตัวเอง หลังจากแต่ละตระกูลส่งมอบทรัพยากรเสร็จกองทัพกบฏก็ลงดาบโดยตรง คาดว่าคงกังวลเรื่องการโดนคืนดังนั้นจึงไปรวมกับตระกูลในอำเภอผิงหยินเพื่อลดการสูญเสีย
ตระกูลในอำเภอล้วนมีความขัดแย้งและความเกลียดชังทุกรูปแบบ เพียงแค่พวกเขายับยั้งมันไว้
แต่ตอนนี้มีกองทัพกบฏที่มีอำนาจมากกว่าเข้าร่วม และก่อนหน้านี้พวกเขายังสูญเสียไปมาก ดังนั้นพวกเขาไม่ยอมปล่อยโอกาสในการเสริมความแข็งแกร่งตัวเองด้วยการสังหารหมู่ตระกูลอื่นแน่นอน
“ผู้ดูแลเฉิน จะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเราหรือไม่?”
หลิวจวินถามด้วยใบหน้าซีดขาว นี่คือสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุด เมื่อตระกูลจางหายไปตระกูลจ้าวจะฆ่าพวกเขาด้วยหรือไม่?
“เราแค่ทำงานในศูนย์การแพทย์ ไม่ใช่ทายาทสายตรงของตระกูลจาง พวกเราน่าจะไม่เป็นไร”
เฉินเฟยคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งแต่ไม่ค่อยมั่นใจเช่นกัน หากตระกูลจ้าวมีสามัญสำนึกก็คงไม่ทำอะไรกับพวกเขา แต่โลกนี้ขาดสามัญสำนึกมากเกินไป
“ปังปังปัง!”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉินเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยและเดินไปเปิดประตู มีคนสามคนยืนอยู่นอกประตู หนึ่งในนั้นถือภาพวาดอยู่ในมือและเปรียบเทียบกับเฉินเฟยตลอดเวลา
“เจ้าคือเฉินเฟย?”
“ใช่ ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
เฉินเฟยมองภาพเหมือนซึ่งแสดงให้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา การเตรียมการนี้พิถีพิถันจริงๆ
“ข้าชื่อจ้าวเซี่ย จากนี้ไปศูนย์การแพทย์เป่ยเฉิงเป็นของตระกูลจ้าว ตอนนี้เจ้าจงตามข้ามา ท่านผู้นำต้องการพบเจ้า”
เฉินเฟยครุ่นคิดอครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ได้ รบกวนท่านทั้งสามแล้ว”
ในเวลานี้อำนาจตระกูลจ้าวอยู่ในจุดสูงสุด เฉินเฟยไม่จำเป็นต้องแตะต้องมัน และเฉินเฟยยังต้องการค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น
“พูดง่ายพูดง่าย!”
เมื่อเห็นเฉินเฟยทำตัวว่าง่ายจ้าวเซี่ยจึงหัวเราะเสียงดัง นักหลอมโอสถเป็นตัวตนมีค่าสำหรับตระกูลจ้าว
เฉินเฟยหันไปบอกหลิวจวินสองสามคำและเดินตามจ้าวเซี่ยกับคนอื่นไปที่คฤหาสน์ตระกูลจ้าว
เมื่อเทียบกับความเงียบเมื่อสองสามวันก่อน ตระกูลจ้าวในวันนี้ค่อนข้างมีชีวิตชีวา เฉินเฟยชำเลืองมองผู้คนรอบตัว หลายคนมาจากศูนย์การแพทย์ทั้งนั้น
“ผู้อาวุโสเจิง!”
เฉินเฟยมาด้านข้างเจิงเต๋อฟางและพูดเสียงต่ำ
“เฉินเฟย เจ้ามาแล้ว”
เจิงเต๋อฟางหันมองเฉินเฟยและอดไม่ได้ที่จะถอนหาย ตบไหล่เฉินเฟยและพูด “ระวังตัวด้วย ช่วงนี้หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้”
“ขอบคุณผู้อาวุโสเจิง!”
เฉินเฟยเงยหน้ามองเจิงเต๋อฟาง เห็นสีหน้าเขาดูเหนื่อยล้า คิดว่าการล่มสลายอย่างกะทันหันของตระกูลจางคงส่งผลร้ายต่อเขาเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วเจิงเต๋อฟางร่วมมือกับตระกูลจางมาหลายปี ตระกูลจางยังปฏิบัติต่อเจิงเต๋อฟางเป็นอย่างดีและทั้งสองฝ่ายยังคงมีความรู้สึกต่อกันบ้าง
ตอนนี้มาถึงคฤหาสน์ตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวไม่ควรปฏิบัติต่อเจิงเต๋อฟางอย่างเย็นชาเพราะเจิงเต๋อฟางหลอมโอสถจิตเบาได้ โอสถนนี้เกือบเป็นโอสถฝึกฝนระดับสูงที่สุดในอำเภอผิงหยินแล้ว ไม่ควรมีตระกูลไหนที่จะเพิกเฉยต่อวัวเงินคนนี้
ผู้อาวุโสตระกูลจ้าวรีบมาที่ห้องโถงและพูดปลอบโยนทำให้ผู้คนจากศูนย์การแพทย์และร้านข้าวมีความมั่นใจ
เฉินเฟยแสร้งทำเป็นตั้งใจฟัง แต่ความสนใจของเขามุ่งไปที่อีกคน หลิงฮั่นจุน หัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาที่ก่อนหน้านี้มาอาละวาดในเมือง
เฉินเฟยไม่คิดว่าจะได้พบเขาที่นี่ และตอนนี้เขายังแขกของตระกูลจ้าวซึ่งทำให้เฉินแฟยประหลาดใจมาก
เฉินเฟยไม่ปิดบังความคิดของตัวเอง ใบหน้าที่เห็นในตอนแรกเป็นของปลอม ตอนนี้เฉินเฟยเป็นเพียงนักหลอมโอสถระดับขัดเกลาผิวหนังที่ไร้ซึ่งพิษภัย
“ได้ยินมาตลอดว่าพี่หลิงกำลังมองหาใครบางคน ข้าไม่รู้ว่าท่านมีเงื่อนงำอะไรหรือไม่ หากมีอะไรที่ตระกูลจ้าวช่วยได้ พี่หลิงโปรดอย่าลังเลที่จะบอก!”
จ้าวเฉิงจี้พูดด้วยรอยยิ้ม ความแข็งแกร่งของกองทัพหลิงฮั่นจุนที่ปิดล้อมและปราบปรามตระกูลจ้าวเมื่อคืนทำให้จ้าวเฉิงจี้ประหลาดใจ อยู่ในระดับหลอมกระดูกสูงสุด ท่าร่างยังลึกซึ้งละเอียดอ่อน แม้แต่ในกองทัพกบฏเขาก็เป็นตัวตนที่โดดเด่น
“ช่วงนี้ข้าพบนักยุทธ์หลอมกระดูกมากมาย ในอำเภอผิงหยินมีผู้เชี่ยวชาญมีชื่อเสียงคนอื่นที่อยู่เหนือระดับหลอมกระดูกหรือไม่?” หลิงฮั่นจุนงมองผู้คนในลานแล้วหันกลับมาด้วยความผิดหวัง
“พี่หลิงกำลังมองหาผู้ฝึกการต่อสู้?”
จ้าวเฉิงจี้คิดว่าหลิงฮั่นจุนต้องการพัฒนาฝีมือเพื่อเตรียมทะลวงระดับขัดเกลาไขกระดูก
“ข้าหาศัตรูที่ฆ่าน้องชายข้า!” สีหน้าหลิงฮั่นจุนกลายเป็นนิ่งเฉย ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“มันช่างกล้าเสียจริง พี่หลิงมีรูปเหมือนคนๆนั้นหรือไม่ ข้าสามารถระดมพลตระกูลจ้าวไปหาตัวสารเลวคนนั้นให้พี่หลิงได้” จ้าวเฉิงจี้พูดเสียงดัง
“ข้าคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เกรงว่ามันจะเรียนรู้วิชาปลอมตัว รูปร่างที่ข้าเห็นในวันนั้นน่าจะเป็นของปลอม”
หลิงฮั่นจุนขมวดคิ้ว นี่เป็นความเป็นไปได้ที่เขานึกถึงเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่มันจะออกจากอำเภอผิงหยินไปแล้วเขาจึงหาตัวไม่พบ