ตอนที่แล้วตอนที่ 37 แค่เห็นศัตรูก็ต้องวิ่งหนี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 39 กระบี่สามเซียน

ตอนที่ 38 กองทัพกบฏเข้าเมือง


เมื่อรู้ข่าวนี้ผู้คนในอำเภอผิงหยินต่างสับสนกันหมด กองทัพราชสำนักกลับหนีไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้บอกไว้อย่างดีว่าถ้ากองทัพกบฏมาถึงพวกเขาจะรีบไปสู้

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลในอำเภอผิงหยินจึงบริจาคทรัพยากรมากมาย เพราะพวกเขากลัวว่ากองทัพกบฏจะมาปล้น ท้ายที่สุดแล้วกองทัพราชสำนักยังสนใจกินเลี้ยง แต่กองทัพกบฏไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้

ผลลัพธ์ตอนนี้คือสิ่งดีๆพังทลาย กองทัพราชสำนักหนีหาย

คนในอำเภอผิงหยินไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าพูดถึงการต่อต้าน การปิดประตูเมืองคงต้านทานได้ระยะหนึ่ง แต่จะทนได้นานแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง

ท้ายที่สุดแล้วในอำเภอผิงหยินไม่มีกองทัพ มีเพียงนักว่าการและมือปราบเท่านั้น และเครื่องมือป้องกันเมืองยังเป็นของเรียบง่าย เป็นเรื่องยากมากที่จะต่อต้านกองทัพกบฏ

ปัญหาอีกอย่างคือหากสู้จนเมืองแตก ทั่วอำเภอผิงหยินจะถูกปล้นสะดม

ตัดสินจากข่าวของเมืองอื่น หากมีการต่อต้านทั้งเมืองจะต้องเผชิญกับการถูกเผาฆ่าปล้น เหล่าผู้ลี้ภัยมากมายเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เช่นกัน

หากไม่ต่อต้านแล้วยอมจำนน บางทีอาจมีจุดจบดีกว่านั้น แต่มันดีกว่าเพียงเล็กน้อย กองทัพกบฏโจมตีเมืองและไม่คิดถึงเรื่องธุรกิจแม้แต่น้อย จุดประสงค์ของพวกมันคือทรัพยากร

คนในอำเภอผิงหยินไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร สองทางเลือกนี้เลือกได้ยากและเหมือนเป็นคำพูดของคนตาย เพียงแค่คนหนึ่งยืนตายส่วนอีกคนคุกเข่า

ห่างออกไปสิบลี้

“กองทัพราชสำนักถอนกำลัง?” ถานเจิ้นอันบนหลังม้ามองสายลับด้านล่างแล้วถาม

“ขอรับ พวกมันถอยไปแล้ว ในช่วงไม่กี่วันนี้พวกมันนำเสบียงจำนวนมากไปจากอำเภอผิงหยินด้วย” สายลับก้มหน้ารายงาน

“ช่างขี้ขลาดนัก ด้วยความกล้าเพียงเท่านี้ยังกล้ามานำทัพอีก!” ฮั่วซือจงเย้ยหยัน

“ถ้าไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้พวกเราจะมีแรงผลักดันได้อย่างไร และหากพวกมันสู้กับเราในอำเภอผิงหยิน แม้พวกเราจะชนะในตอนท้ายแต่ก็ต้องสูญเสียมากมาย”

ถานเจิ้นอันมองเมืองที่อยู่ไกลออกไป เขาโบกมือหนึ่งครั้ง กองทัพทั้งหมดเร่งเท้าไปข้างหน้า

เนื่องจากกองทัพราชสำนักไม่ได้อยู่ที่นี่ อำเภอผิงหยินจึงตกอยู่ในกระเป๋าพวกเขาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอำเภอผิงหยินจะต่อต้านหรือไม่ ในสายตาเขามันไม่ได้มีความต่าง

ตั้งแต่วางแผนปล้นอำเภอผิงหยิน ถานเจิ้นอันได้เตรียมการไว้อย่างสมบูรณ์

คนในอำเภอผิงหยินยังคงวุ่นวาย แต่ประตูเมืองหนานเฉิงถูกเปิดออกแล้ว นักว่าการและมือปราบที่อยู่ในเมืองถูกฆ่าตายจนมากมายและต้องยอมจำนน

ไม่ยอมจำนนคงไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญขัดเกลาไขกระดูกเป็นตัวตนน่าหวาดกลัวสำหรับนักว่าการเหล่านี้ซึ่งอยู่ในระดับขัดเกลากล้ามเนื้อ และแล้วกองทัพกบฏที่แฝงตัวอยู่ในอำเภอผิงหยินก็เริ่มแสดงตัวออกมา

หากที่ว่าการอำเภอตั้งใจป้องกันเมืองคงส่งผู้คุ้มกันไปประจำที่ประตูเมืองแต่ละแห่ง แต่เพราะกังวลมากเกินไปการป้องกันเมืองจึงกลายเป็นเรื่องตลก

เฉินเฟยที่อยู่ในลานบ้านได้ยินเสียงอึกทึกจากข้างนอกจึงรู้สึกกระสับกระส่าย

สองสามวันก่อนยังคิดอยู่เลยว่ากองทัพกบฏคงไม่มา แต่ตอนนี้พวกมันมาอยู่ต่อหน้าแล้ว

ศูนย์แพทย์ปิดลงหลังได้ข่าวการมาถึงของกองทัพกบฏ เฉินเฟยกำลังคิดว่าจะไปซ่อนตัวที่คฤหาสน์ตระกูลจางสักระยะหนึ่ง แต่พอคิดเรื่องนี้แล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ไป

เมื่อกองทัพกบฏเข้ามาในเมือง เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดคือตระกูลเหล่านี้ การไปซ่อนตัวภายในตระกูลอาจทำให้โดนทุบตีได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลจางไม่เรียกเฉินเฟยไปที่คฤหาสน์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการปกป้องเฉินเฟย

ส่วนกองทัพกบฏจะปล้นคนธรรมดาหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านี้มีขีดจำกัดสูงแค่ไหน หากไม่ได้ผลเฉินเฟยคงได้แต่เปลี่ยนที่อยู่

ตอนนี้วิชาปลอมตัวได้แสดงผลลัพธ์ให้เห็นแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีใครจำหน้าได้

“วิชาปลอมตัวนี้ยังมีข้อบกพร่องในสายตาผู้เชี่ยวชาญ หากมีโอกาสข้าควรหาวิชาปลอมตัวที่ดีกว่านี้มาเรียนรู้”

เฉินเฟยคิดอยู่ในใจ เขากลับเข้าห้องหลอมโอสถ ไปที่อ่างล้างหน้าและจุ่มหัวลงในน้ำเย็น

“ความชำนาญเคล็ดชำระใจ+1... ความชำนาญเคล็ดชำระใจ+1...”

การสระผมด้วยน้ำเย็นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การสระผมตลอดเวลาค่อนข้างยุ่งยาก เฉินเฟยต้องกลั้นหายใจแล้วจุ่มหัวลงไปในน้ำเย็น หลังผ่านไประยะหนึ่งค่าความชำนาญจึงเพิ่มขึ้นหนึ่งแต้ม

ตอนนี้เฉินเฟยฝึกเคล็ดชำระใจถึงระดับเชี่ยวชาญและใกล้ถึงระดับสมบูรณ์

ด้วยผลของเคล็ดชำระใจ สภาพจิตใจเฉินเฟยจึงสงบเยือกเย็นมากขึ้นและถตัดสินใจได้เร็วขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ

แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการทำงานหนักในตอนนี้คือหากไม่สามารถอยู่อำเภอผิงหยินได้อีก เฉินเฟยจะเดินทางไปที่สำนักกระบี่เซียนเมฆา

ไม่ว่าจะเข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆาได้หรือไม่ อย่างน้อยสภาพแวดล้อมที่นั่นก็มั่นคง เฉินเฟยสามารถเติบโตต่อไปได้ และเมืองใหญ่เช่นนี้เดาได้เลยว่าระดับของโอสถและตำราวิชาต้องสูงกว่าภายในอำเภอผิงหยินมาก

ในขณะที่เฉินเฟยกำลังบังคับตัวเองให้ฝึกฝนอย่างสงบ นักว่าการและตระกูลในผิงหยินได้มารวมตัวกันลำลังมองถานเจิ้นอันซึ่งอยู่ตรงหน้า

มันต่างจากความสัมพันธ์มีความสุขและกลมกลืนเหมือนตอนที่กองทัพราชสำนักมา คนในอำเภอผิงหยินตึงเครียดและระมัดระวังคำพูดเสมอ

“ทุกคนน่าจะอยู่ที่นี่กันแล้ว เช่นนั้นข้าขอพูดอะไรเล็กน้อย”

ถานเจิ้นอันมองฝูงชนด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนรู้จุดประสงค์ในการมาที่นี่แล้ว”

“คำขอของนายพลถาน พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้เป็นไปตามนั้น” นายอำเภอมองถานเจิ้นอันด้วยรอยยิ้มประจบ

“เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้นข้าก็สบายใจ ไม่อย่างนั้นหากพอถึงเวลาแล้วไม่มีใครทำได้จะได้ไม่พูดว่าพวกเราไม่อธิบายล่วงหน้า”

ถานเจิ้นอันมองนายอำเภอและผู้คนจากตระกูลต่างๆ “ตระกูลจ้าวมอบเงินหนึ่งแสนตำลึงและดาบเหล็กหนึ่งพันเล่ม ตระกูลหลี่มอบเงินแปดหมื่นตำลึงและเกราะหนังหนึ่งพันตัว ตระกูล……”

ขณะที่ถานเจิ้นอันพูดตัวเลข ใบหน้าของผู้คนจากหลายตระกูลก็ซีดเซียว

นี่เหมือนการถอนรากฐานของพวกเขาทั้งหมดโดยไม่เหลือไว้ให้แม้แต่น้อย

“ไม่กี่ปีมานี้ตระกูลโจวของข้าทำงานผิดพลาดจึงไม่สามารถหาเงินมากมายเช่นนั้นให้ได้ หวังว่าท่านนายพลจะช่วยผ่อนปรนสักเล็กน้อย”

“ใช่ขอรับ ตระกูลเจิ้งของข้าเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ...”

“ชึก!”

แสงดาบสว่างวาบขึ้น ทุกคนตัวชุ่มไปด้วยเลือด ก่อนจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นสองคนที่พูดเมื่อกี้ได้หัวหลุดไปแล้ว

“นี่ไม่ใช่การเจรจาแต่เป็นคำสั่ง ใครทำไม่ได้จงพูดมา!”

ฮั่วซือจงใส่ดาบกลับเข้าฝักช้าๆ มองผู้คนจากหลายตระกูลด้วยรอยยิ้ม

“จ่ายเงินภายในสองวัน ส่งเสบียงภายในสิบวัน แยกย้ายได้” ถานเจิ้นอันโบกมือและออกจากห้องโถง การสนทนานี้ย่อมเป็นการออกคำสั่ง

ผู้คนจากหลายตระกูลต่างมองหน้ากัน เมื่อหันไปดูศพบนพื้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

หากขัดแย้งจะชักดาบฆ่าคนทันทีโดยไม่เปลืองคำพูด

ทุกคนกลับไปที่ตระกูลและส่งต่อคำพูด ตอนนี้เงินใช้ซื้อชีวิตได้ หากไม่อยากใช้เงินก็ต้องจบสิ้นอยู่ในอำเภอแห่งนี้