ตอนที่ 38 กองทัพกบฏเข้าเมือง
เมื่อรู้ข่าวนี้ผู้คนในอำเภอผิงหยินต่างสับสนกันหมด กองทัพราชสำนักกลับหนีไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้บอกไว้อย่างดีว่าถ้ากองทัพกบฏมาถึงพวกเขาจะรีบไปสู้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลในอำเภอผิงหยินจึงบริจาคทรัพยากรมากมาย เพราะพวกเขากลัวว่ากองทัพกบฏจะมาปล้น ท้ายที่สุดแล้วกองทัพราชสำนักยังสนใจกินเลี้ยง แต่กองทัพกบฏไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้
ผลลัพธ์ตอนนี้คือสิ่งดีๆพังทลาย กองทัพราชสำนักหนีหาย
คนในอำเภอผิงหยินไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าพูดถึงการต่อต้าน การปิดประตูเมืองคงต้านทานได้ระยะหนึ่ง แต่จะทนได้นานแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง
ท้ายที่สุดแล้วในอำเภอผิงหยินไม่มีกองทัพ มีเพียงนักว่าการและมือปราบเท่านั้น และเครื่องมือป้องกันเมืองยังเป็นของเรียบง่าย เป็นเรื่องยากมากที่จะต่อต้านกองทัพกบฏ
ปัญหาอีกอย่างคือหากสู้จนเมืองแตก ทั่วอำเภอผิงหยินจะถูกปล้นสะดม
ตัดสินจากข่าวของเมืองอื่น หากมีการต่อต้านทั้งเมืองจะต้องเผชิญกับการถูกเผาฆ่าปล้น เหล่าผู้ลี้ภัยมากมายเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เช่นกัน
หากไม่ต่อต้านแล้วยอมจำนน บางทีอาจมีจุดจบดีกว่านั้น แต่มันดีกว่าเพียงเล็กน้อย กองทัพกบฏโจมตีเมืองและไม่คิดถึงเรื่องธุรกิจแม้แต่น้อย จุดประสงค์ของพวกมันคือทรัพยากร
คนในอำเภอผิงหยินไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร สองทางเลือกนี้เลือกได้ยากและเหมือนเป็นคำพูดของคนตาย เพียงแค่คนหนึ่งยืนตายส่วนอีกคนคุกเข่า
ห่างออกไปสิบลี้
“กองทัพราชสำนักถอนกำลัง?” ถานเจิ้นอันบนหลังม้ามองสายลับด้านล่างแล้วถาม
“ขอรับ พวกมันถอยไปแล้ว ในช่วงไม่กี่วันนี้พวกมันนำเสบียงจำนวนมากไปจากอำเภอผิงหยินด้วย” สายลับก้มหน้ารายงาน
“ช่างขี้ขลาดนัก ด้วยความกล้าเพียงเท่านี้ยังกล้ามานำทัพอีก!” ฮั่วซือจงเย้ยหยัน
“ถ้าไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้พวกเราจะมีแรงผลักดันได้อย่างไร และหากพวกมันสู้กับเราในอำเภอผิงหยิน แม้พวกเราจะชนะในตอนท้ายแต่ก็ต้องสูญเสียมากมาย”
ถานเจิ้นอันมองเมืองที่อยู่ไกลออกไป เขาโบกมือหนึ่งครั้ง กองทัพทั้งหมดเร่งเท้าไปข้างหน้า
เนื่องจากกองทัพราชสำนักไม่ได้อยู่ที่นี่ อำเภอผิงหยินจึงตกอยู่ในกระเป๋าพวกเขาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอำเภอผิงหยินจะต่อต้านหรือไม่ ในสายตาเขามันไม่ได้มีความต่าง
ตั้งแต่วางแผนปล้นอำเภอผิงหยิน ถานเจิ้นอันได้เตรียมการไว้อย่างสมบูรณ์
คนในอำเภอผิงหยินยังคงวุ่นวาย แต่ประตูเมืองหนานเฉิงถูกเปิดออกแล้ว นักว่าการและมือปราบที่อยู่ในเมืองถูกฆ่าตายจนมากมายและต้องยอมจำนน
ไม่ยอมจำนนคงไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญขัดเกลาไขกระดูกเป็นตัวตนน่าหวาดกลัวสำหรับนักว่าการเหล่านี้ซึ่งอยู่ในระดับขัดเกลากล้ามเนื้อ และแล้วกองทัพกบฏที่แฝงตัวอยู่ในอำเภอผิงหยินก็เริ่มแสดงตัวออกมา
หากที่ว่าการอำเภอตั้งใจป้องกันเมืองคงส่งผู้คุ้มกันไปประจำที่ประตูเมืองแต่ละแห่ง แต่เพราะกังวลมากเกินไปการป้องกันเมืองจึงกลายเป็นเรื่องตลก
เฉินเฟยที่อยู่ในลานบ้านได้ยินเสียงอึกทึกจากข้างนอกจึงรู้สึกกระสับกระส่าย
สองสามวันก่อนยังคิดอยู่เลยว่ากองทัพกบฏคงไม่มา แต่ตอนนี้พวกมันมาอยู่ต่อหน้าแล้ว
ศูนย์แพทย์ปิดลงหลังได้ข่าวการมาถึงของกองทัพกบฏ เฉินเฟยกำลังคิดว่าจะไปซ่อนตัวที่คฤหาสน์ตระกูลจางสักระยะหนึ่ง แต่พอคิดเรื่องนี้แล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ไป
เมื่อกองทัพกบฏเข้ามาในเมือง เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดคือตระกูลเหล่านี้ การไปซ่อนตัวภายในตระกูลอาจทำให้โดนทุบตีได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลจางไม่เรียกเฉินเฟยไปที่คฤหาสน์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการปกป้องเฉินเฟย
ส่วนกองทัพกบฏจะปล้นคนธรรมดาหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านี้มีขีดจำกัดสูงแค่ไหน หากไม่ได้ผลเฉินเฟยคงได้แต่เปลี่ยนที่อยู่
ตอนนี้วิชาปลอมตัวได้แสดงผลลัพธ์ให้เห็นแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีใครจำหน้าได้
“วิชาปลอมตัวนี้ยังมีข้อบกพร่องในสายตาผู้เชี่ยวชาญ หากมีโอกาสข้าควรหาวิชาปลอมตัวที่ดีกว่านี้มาเรียนรู้”
เฉินเฟยคิดอยู่ในใจ เขากลับเข้าห้องหลอมโอสถ ไปที่อ่างล้างหน้าและจุ่มหัวลงในน้ำเย็น
“ความชำนาญเคล็ดชำระใจ+1... ความชำนาญเคล็ดชำระใจ+1...”
การสระผมด้วยน้ำเย็นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การสระผมตลอดเวลาค่อนข้างยุ่งยาก เฉินเฟยต้องกลั้นหายใจแล้วจุ่มหัวลงไปในน้ำเย็น หลังผ่านไประยะหนึ่งค่าความชำนาญจึงเพิ่มขึ้นหนึ่งแต้ม
ตอนนี้เฉินเฟยฝึกเคล็ดชำระใจถึงระดับเชี่ยวชาญและใกล้ถึงระดับสมบูรณ์
ด้วยผลของเคล็ดชำระใจ สภาพจิตใจเฉินเฟยจึงสงบเยือกเย็นมากขึ้นและถตัดสินใจได้เร็วขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ
แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการทำงานหนักในตอนนี้คือหากไม่สามารถอยู่อำเภอผิงหยินได้อีก เฉินเฟยจะเดินทางไปที่สำนักกระบี่เซียนเมฆา
ไม่ว่าจะเข้าร่วมสำนักกระบี่เซียนเมฆาได้หรือไม่ อย่างน้อยสภาพแวดล้อมที่นั่นก็มั่นคง เฉินเฟยสามารถเติบโตต่อไปได้ และเมืองใหญ่เช่นนี้เดาได้เลยว่าระดับของโอสถและตำราวิชาต้องสูงกว่าภายในอำเภอผิงหยินมาก
ในขณะที่เฉินเฟยกำลังบังคับตัวเองให้ฝึกฝนอย่างสงบ นักว่าการและตระกูลในผิงหยินได้มารวมตัวกันลำลังมองถานเจิ้นอันซึ่งอยู่ตรงหน้า
มันต่างจากความสัมพันธ์มีความสุขและกลมกลืนเหมือนตอนที่กองทัพราชสำนักมา คนในอำเภอผิงหยินตึงเครียดและระมัดระวังคำพูดเสมอ
“ทุกคนน่าจะอยู่ที่นี่กันแล้ว เช่นนั้นข้าขอพูดอะไรเล็กน้อย”
ถานเจิ้นอันมองฝูงชนด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนรู้จุดประสงค์ในการมาที่นี่แล้ว”
“คำขอของนายพลถาน พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้เป็นไปตามนั้น” นายอำเภอมองถานเจิ้นอันด้วยรอยยิ้มประจบ
“เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้นข้าก็สบายใจ ไม่อย่างนั้นหากพอถึงเวลาแล้วไม่มีใครทำได้จะได้ไม่พูดว่าพวกเราไม่อธิบายล่วงหน้า”
ถานเจิ้นอันมองนายอำเภอและผู้คนจากตระกูลต่างๆ “ตระกูลจ้าวมอบเงินหนึ่งแสนตำลึงและดาบเหล็กหนึ่งพันเล่ม ตระกูลหลี่มอบเงินแปดหมื่นตำลึงและเกราะหนังหนึ่งพันตัว ตระกูล……”
ขณะที่ถานเจิ้นอันพูดตัวเลข ใบหน้าของผู้คนจากหลายตระกูลก็ซีดเซียว
นี่เหมือนการถอนรากฐานของพวกเขาทั้งหมดโดยไม่เหลือไว้ให้แม้แต่น้อย
“ไม่กี่ปีมานี้ตระกูลโจวของข้าทำงานผิดพลาดจึงไม่สามารถหาเงินมากมายเช่นนั้นให้ได้ หวังว่าท่านนายพลจะช่วยผ่อนปรนสักเล็กน้อย”
“ใช่ขอรับ ตระกูลเจิ้งของข้าเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ...”
“ชึก!”
แสงดาบสว่างวาบขึ้น ทุกคนตัวชุ่มไปด้วยเลือด ก่อนจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นสองคนที่พูดเมื่อกี้ได้หัวหลุดไปแล้ว
“นี่ไม่ใช่การเจรจาแต่เป็นคำสั่ง ใครทำไม่ได้จงพูดมา!”
ฮั่วซือจงใส่ดาบกลับเข้าฝักช้าๆ มองผู้คนจากหลายตระกูลด้วยรอยยิ้ม
“จ่ายเงินภายในสองวัน ส่งเสบียงภายในสิบวัน แยกย้ายได้” ถานเจิ้นอันโบกมือและออกจากห้องโถง การสนทนานี้ย่อมเป็นการออกคำสั่ง
ผู้คนจากหลายตระกูลต่างมองหน้ากัน เมื่อหันไปดูศพบนพื้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
หากขัดแย้งจะชักดาบฆ่าคนทันทีโดยไม่เปลืองคำพูด
ทุกคนกลับไปที่ตระกูลและส่งต่อคำพูด ตอนนี้เงินใช้ซื้อชีวิตได้ หากไม่อยากใช้เงินก็ต้องจบสิ้นอยู่ในอำเภอแห่งนี้