ตอนที่ 314 เปียโนกาแล็กซี
ตอนที่ 314 เปียโนกาแล็กซี
การเต้นรำในเพลงแรกเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่มีความหมายมาก แต่ถึงกระนั้นแอวริลก็ยังรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปเชิญเซี่ยเฟยให้มาเต้นรำกับเธอ มันจึงทำให้แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าหญิงสาวคนนี้กำลังคิดอะไร
การตัดสินใจในครั้งนี้คือการเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเซี่ยเฟยต่อหน้าชนชั้นสูงของพันธมิตรทั้งหมด และตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปข่าวซุบซิบเรื่องแอวริลกับเซี่ยเฟยก็คงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งพันธมิตรอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดสถานะของทั้งสองคนก็แตกต่างกันมากจนเกินไป และมันก็เป็นเรื่องปกติที่เรื่องระหว่างพวกเขาจะได้กลายเป็นเรื่องที่คนเอาไปนินทา
เซี่ยเฟยส่ายหัวและพยายามสลัดความคิดบ้า ๆ ที่กำลังคิดออกไป เพราะท้ายที่สุดแอวริลก็ได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขาจำเป็นจะต้องทำคือการคอยอยู่เคียงข้างเธอ
“ลูกตัดสินใจแบบนี้จริง ๆ เหรอ? อย่าลืมว่าคุณปู่ขอให้ลูกเริ่มเต้นรำกับหลี่โม่นะ” นิวแมนส่งเสียงกระซิบพยายามหยุดแอวริลเอาไว้
แอวริลมองไปที่หลี่โม่ท่ามกลางฝูงชนด้วยใบหน้าที่สดใส จากนั้นเธอก็หันไปมองเซี่ยเฟยที่กำลังส่งรอยยิ้มให้กับเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเธอย่อมเลือกที่จะก้าวเท้าไปหาเซี่ยเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย
แอวริลยื่นมือเรียวเล็กของเธอไปหาเซี่ยเฟยด้วยอาการสั่นเล็กน้อย ซึ่งชายหนุ่มก็ประคองมือของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในเวทีเต้นรำด้วยกันท่ามกลางสายตาของทุกคน
เหตุการณ์นี้ทำให้แขกภายในงานรู้สึกตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่คิดว่าแอวริลจะเลือกคู่เต้นรำเป็นชายหนุ่มที่พวกเขาไม่รู้จัก ซึ่งหลาย ๆ คนก็กระซิบกระซาบกันว่าพวกเขาได้เห็นเซี่ยเฟยเข้าไปพูดคุยกับไทสันในห้องส่วนตัวก่อนหน้านี้ ต่อมาชายหนุ่มยังได้กลายเป็นคู่เต้นรำของแอวริลอีก มันจึงทำให้หลาย ๆ คนอดที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้คืออะไรกันแน่
“นี่มันไม่ยุติธรรมเลย…” นิโคลอุทานขึ้นมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน จากนั้นเธอก็ลดสายตาลงไปจ้องมองที่แผลเป็นบนข้อมือของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ดูเหมือนคู่ค้ารายใหม่ของเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเจี่ยนนะ” ไทสันกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเราไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านี้นายเคยรู้สึกกังวลนิว่าบริษัทของเขาอาจจะไม่สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับทางกองทัพได้ แต่อย่างน้อยในตอนนี้มันก็ดูเหมือนกับว่าเซี่ยเฟยจะพอมีสายสัมพันธ์กับชนชั้นสูงอยู่บ้าง ซึ่งมันก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญสำหรับการพัฒนา”
มาร์ตารู้ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยเฟยกับฉินหมางเป็นอย่างดี และเมื่อเขาได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยเฟยกับแอวริล มันก็ทำให้เขามองไปที่ทั้งสองด้วยแววตาที่ไม่พอใจ
นอกจากนี้บรรดาหนุ่ม ๆ ที่แอบชอบแอวริลก็กำลังจ้องมองไปที่เซี่ยเฟยด้วยแววตาแห่งความริษยา โดยเฉพาะเมื่อความฝันของเขาต้องมาถูกทำลายโดยคนไม่รู้จัก มันก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บใจมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าคนที่รู้สึกเกลียดเซี่ยเฟยในตอนนี้มากที่สุดย่อมเป็นหลี่โม่อย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อชายหนุ่มได้จ้องมองไปยังเซี่ยเฟยที่กำลังเต้นรำอยู่กับแอวริลบนเวทีเต้นรำ มันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธจนแทบจะเป็นลม
ตำแหน่งแชมป์รายการโกลเดนฟิงเกอร์ของเขาได้หายไปนั่นก็เพราะฝีมือของเซี่ยเฟย ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ผู้หญิงที่เขาชอบอย่างแอวริลยังถูกแย่งไปด้วยฝีมือของเซี่ยเฟยอีก มันจึงทำให้หลี่โม่รู้สึกโกรธจนแทบที่จะไม่สามารถเก็บรักษาอาการของตัวเองเอาไว้ได้
ตั้งแต่เด็กหลี่โม่ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาท่ามกลางสังคมชนชั้นสูง ซึ่งไม่ว่าจะมองจากมุมไหนเขาก็มีทุก ๆ สิ่งเหนือกว่าเซี่ยเฟยทั้งหมด แต่จู่ ๆ แอวริลกลับเลือกเซี่ยเฟยซึ่งเป็นเพียงแค่คนธรรมดาตัวเล็ก ๆ แน่นอนว่าหลี่โม่ย่อมไม่สามารถยอมรับความอัปยศที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้จริง ๆ
หลี่โม่พยายามเก็บกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้และต้องการที่จะเดินจากไป แต่พ่อของเขากลับได้จับมือของเขาเอาไว้พร้อมกับจ้องมองมาด้วยแววตาที่เย็นชา
“ลูกจะไปไหน?”
“ผม... ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วครับ” หลี่โม่พูดขึ้นมายังตะกุกตะกัก
“ลูกกำลังกลัวเหรอ? ลูกกำลังจะยอมรับความพ่ายแพ้ใช่หรือเปล่า?” หลี่กวนกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
หลี่โม่ก้มหน้าโดยไม่ตอบอะไรกลับไป เพราะเขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรตอบกลับไปได้อีก
“ไอ้ลูกโง่! เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ทำให้ลูกยอมแพ้ได้ยังไง ถ้าวันหนึ่งลูกต้องเจอปัญหาใหญ่กว่านี้แล้ววันนั้นลูกจะสามารถตั้งสติแก้ปัญหาที่ต้องเจอได้ไหม!!” หลี่กวนคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวทั้ง ๆ ที่โดยปกติเขาไม่เคยดุด่าลูกชายสุดที่รักของเขาคนนี้เลย แต่วันนี้หลี่โม่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากจริง ๆ
“พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าตระกูลหลี่ของเรามีต้นกำเนิดมาจากการเป็นคนขายเนื้อ และมือของบรรพบุรุษของเราก็เปียกโชกไปด้วยเลือด ดังนั้นถ้าหากว่าใครกล้าที่จะมาเหยียบย่ำพวกเรา พวกเราก็จะต้องให้พวกมันชดใช้กลับไปเป็น 10 เท่า!”
หลี่โม่พยักหน้ารับและถึงแม้ว่าสมองของเขาจะเข้าใจ แต่หัวใจของเขากลับปฏิเสธคำสั่งจากบิดา
“ยืนดูให้ดี ๆ วันนี้พ่อจะแสดงให้เห็นเองว่าอำนาจของตระกูลหลี่คืออะไร” หลี่กวนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
เหตุการณ์นี้ทำให้หลี่โม่รู้สึกตกตะลึงในทันที เพราะพ่อของเขาพูดเหมือนกับว่าพ่อจะเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง!
คำพูดนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แล้วมันก็ทำให้เขากลับมารู้สึกมีความหวังอีกครั้ง
“นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น! ใครก็ตามที่กล้าจะมารุกรานตระกูลหลี่ของฉัน พวกมันก็จะไม่มีวันจบชีวิตลงด้วยดี” หลี่กวนกล่าวขึ้นมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดุร้าย
—
แอวริลจับมือกับเซี่ยเฟยเต้นรำบนเวทีอย่างช้า ๆ และถึงแม้ว่าเสียงเพลงจะจบลงไปแล้ว แต่แขกภายในงานก็ยังคงยืนตกตะลึงอยู่อย่างนั้น
แปะ ๆ ๆ ๆ
ทูรามเป็นคนแรกที่เริ่มปรบมือขึ้นมาตามมาด้วย 3 จอมพลจากกรมทหารที่ปรบมือขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นทุกคนก็ได้สติกลับคืนมา พวกเขาจึงส่งเสียงปรบมือซึ่งถือว่าเป็นมารยาทหลังจากคู่เต้นรำคู่แรกได้เต้นรำจบลงไปแล้ว
“เมื่อกี้นายเต้นรำได้ดีมากเลยนะ” แอวริลกล่าว
“ฉันเพิ่งหัดเต้นรำมาได้ไม่กี่วันเองและฉันก็กลัวว่าจะเผลอไปเหยียบเท้าของเธอเข้า แต่โชคดีที่วันนี้ฉันไม่ได้ทำอะไรน่าขายหน้าลงไป” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
แอวริลซบใบหน้าของเธอเข้ากับท่อนแขนของเซี่ยเฟย ซึ่งชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเธอเจตนาทำแบบนี้เพื่อเป็นการเน้นย้ำว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซี่ยเฟยจริง ๆ นอกจากนี้การกระทำของเธอยังเป็นการประท้วงที่ปู่ของเธอคิดจะให้เธอไปหมั้นหมายกับทายาทของตระกูลหลี่อีกด้วย
“นายควรจะต้องไปอยู่ตรงนั้น” แอวริลกล่าว
เมื่อเซี่ยเฟยมองตามแอวริลไปเขาก็ได้พบกับแขกหลายสิบคนที่กำลังล้อมรอบเออเนสผู้ซึ่งเป็นเจ้าของงานวันเกิดในวันนี้อยู่ ซึ่งคนเหล่านั้นย่อมเป็นชนชั้นสูงในหมู่ชนชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแม้กระทั่ง 3 จอมพลและทูรามก็ได้อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นด้วย
“ไม่ต้องห่วงฉันจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเอง” เซี่ยเฟยกล่าว
“วันนี้นายได้เต้นรำกับฉันเป็นคนแรก ซึ่งมันก็หมายความว่านายคือแขกคนสำคัญที่สุดของตระกูลเจี่ยน ดังนั้นตามกฎนายจะต้องคอยอยู่เคียงข้างคุณปู่ ส่วนฉันกับคุณพ่อจะต้องออกไปสนทนากับแขกคนอื่น ๆ” แอวริลกล่าวขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ และถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันจะมีกฎมากมายท่ามกลางชนชั้นสูง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ากฎพวกนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเกินไปอยู่ดี แต่เนื่องมาจากแอวริลได้บอกกฎนี้ให้กับเขาเองเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องทำตามอย่างเชื่อฟัง
จากนั้นแอวริลก็ต้องปล่อยแขนเซี่ยเฟยอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชนและทักทายแขกทุกคนด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มพยายามจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เป็นระเบียบอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงแขกที่โดดเด่นที่สุดภายในงาน
ความจริงแล้วเซี่ยเฟยแทบที่จะไม่รู้จักใครในนี้เลย แต่พวกเขาย่อมเป็นกลุ่มบุคคลที่สำคัญที่สุดในงานเลี้ยงครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย คนอื่น ๆ จึงได้จ้องมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยความอิจฉา เพราะน้อยคนมากที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับแขกระดับนี้
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปแขกที่กำลังรุมล้อมเออเนสอยู่ก็เริ่มหลีกทางให้เขาเดินเข้ามา เพราะท้ายที่สุดชายหนุ่มคนนี้ก็คือคนที่ได้เต้นรำกับแอวริล ดังนั้นตามธรรมเนียมเขาก็คือคนที่ควรจะต้องยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ทูรามโบกมือเป็นสัญญาณให้เซี่ยเฟยมายืนข้าง ๆ เขา ชายหนุ่มจึงถือแก้วแชมเปญเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเริ่มรับฟังเรื่องสวนเอเดนที่กำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจ
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยคอยรับฟังอยู่เฉย ๆ โดยไม่คิดที่จะเข้าไปแทรกบทสนทนาของคนเหล่านี้
นิโคลยกแก้วให้กับเซี่ยเฟยราวกับว่าเธอต้องการจะแสดงความยินดี แต่ชายหนุ่มกลับสังเกตเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของเธอ
“ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าตอนนี้มนุษย์จากสวนเอเดนเดินทางมาถึงพันธมิตรแล้วหรือยัง?” ชายชราผู้ไว้หนวดเคราเริ่มถาม
เซี่ยเฟยเคยเห็นชายชราคนนี้มาก่อน ซึ่งมันก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะเป็นประธานของบริษัทหลักทรัพย์อะไรสักแห่ง
“ผมตอบได้แค่ว่าตอนนี้พวกเขายังเดินทางมาไม่ถึงกลุ่มดาวนครหลวง” ไทสันกล่าวตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
คำตอบนี้ถือว่าเป็นคำตอบที่มีไหวพริบมาก เพราะท้ายที่สุดมันก็อาจจะหมายถึงพวกเขาอยู่นอกเขตพันธมิตรก็ได้ หรือบางทีพวกเขาก็อาจจะอยู่ห่างจากนครหลวงไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
หัวข้อการสนทนายังคงดำเนินต่อไป ซึ่งหลี่กวนก็เฝ้าสังเกตเซี่ยเฟยที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตลอดเวลา จากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันใกล้จะถึงเวลาแล้วเขาจึงขยิบตาให้กับชายชราผู้ไว้หนวดเครา
“ทำไมพวกเราไม่มาเล่นเปียโนกาแล็กซีตามประเพณีกันล่ะ” ชายชราผู้ไว้หนวดเคราพูดเสนอออกไปเสียงดัง
ทุกคนต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่นานมันก็มีคนนำเปียโนหลังใหญ่มาวางไว้บนเวที
หากดูจากภายนอกเปียโนหลังนี้ก็ดูคล้ายกับอุกกาบาตที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล เพียงแต่มันได้ถูกแกะสลักและดัดแปลงจนกลายมาเป็นเปียโน
“นี่มันผลงานชิ้นสุดท้ายของปรมาจารย์โซโลใช่ไหม?” วิลเลียมถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ท่านจอมพลวิลเลียมช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมจริง ๆ ใช่แล้วเปียโนหลังนี้คือผลงานชิ้นสุดท้ายที่ปรมาจารย์โซโลได้ทิ้งเอาไว้ บังเอิญผมได้ไปสะดุดตาเปียโนหลังนี้ในพิพิธภัณฑ์ ผมเลยได้เชิญมันมาที่คฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่า” เออเนสกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ
การที่เออเนสใช้คำว่าเชิญเปียโนหลังนี้เข้ามาในคฤหาสน์ มันก็เป็นการแสดงออกว่าเขาได้ให้ความเคารพเปียโนประหลาดหลังนี้มากแค่ไหน
เซี่ยเฟยเม้มริมฝีปากขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะท้ายที่สุดเขาก็ไม่มีความสามารถทางด้านดนตรีเลย และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงเครื่องดนตรีประหลาดที่อยู่ตรงหน้านี้เลยด้วยซ้ำ แต่รูปลักษณ์ของมันก็สามารถดึงดูดความสนใจเขาได้มากจริง ๆ
“เปียโนกาแล็กซีมันคืออะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย หลังจากที่ได้เห็นอันธกำลังมองไปยังเปียโนตรงหน้าด้วยแววตาแห่งความหลงใหลคล้ายกับว่าเขากำลังได้จ้องมองไปยังสมบัติ
“เซี่ยเฟยนี่คือเปียโนกาแล็กซีของปรมาจารย์โซโลจริง ๆ!” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“แล้วไง?”
“แล้วไง? เปียโนกาแล็กซีคือเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในพันธมิตรของมนุษย์และมันยังเป็นเครื่องดนตรีที่ซับซ้อนและเรียนรู้ได้ยากที่สุด ว่ากันว่าการสร้างเปียโนหลังนี้ขึ้นมาจำเป็นต้องใช้ช่างฝีมือที่มีประสบการณ์สร้างนานกว่า 50 ปี แล้วนายรู้ไหมว่าคนที่ได้รับการยกย่องว่าปรมาจารย์โซโลที่เออเนสกล่าวถึงก็ได้สร้างเปียโนกาแล็กซีขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่หลังเท่านั้น” อันธอธิบายขึ้นมาอย่างโกรธเคืองเล็กน้อยเมื่อได้เห็นความไม่รู้ของชายหนุ่ม
เรื่องนี้เกินกว่าความคาดหมายของเซี่ยเฟยไปเล็กน้อย และถึงแม้ว่าเขาจะพอเดาได้อยู่แล้วว่าเปียโนหลังนี้คงจะสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการสร้างเปียโนสักหลังจำเป็นจะต้องใช้เวลามากถึง 50 ปีขนาดนี้
“โซโลเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักสร้างเปียโนกาแล็กซีที่โด่งดังที่สุด เขาเริ่มเรียนรู้วิธีการสร้างเปียโนกาแล็กซีตั้งแต่เขาอายุ 4 ขวบและสามารถสร้างเปียโนกาแล็กซีหลังแรกได้สำเร็จตั้งแต่อายุ 100 ปี”
“เปียโนกาแล็กซีหลังที่ 2 ที่เขาสร้างขึ้นมามีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการผลิตนานกว่าหลังแรกมาก ซึ่งกว่าที่เขาจะสร้างเปียโนกาแล็กซีหลังที่ 2 ได้สำเร็จเขาก็มีอายุไปถึง 315 ปีแล้ว”
“แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงตามหาวัตถุดิบชั้นยอดเพื่อทำการสร้างเปียโนหลังที่ 3 แต่โชคไม่ดีที่ตอนนั้นเขาติดเชื้อไวรัสจนทำให้ไม่สามารถขยับแขนขาของตัวเองได้ เขาจึงต้องให้ลูกศิษย์คอยอุ้มและใช้แขนข้างเดียวในการสร้างเปียโนหลังสุดท้ายขึ้นมา ซึ่งเปียโนตรงหน้าก็คือผลงานชิ้นสุดท้ายของปรมาจารย์โซโลที่ต้องใช้เวลาสร้างเกือบ 300 ปี แล้วแบบนี้นายจะไม่ให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นได้ยังไง!”
“โอเค ๆ มันถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องที่ปรมาจารย์โซโลทุ่มเทกับการสร้างเปียโนขึ้นมามากขนาดนั้น แต่สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจนั่นก็คือเครื่องดนตรีแปลก ๆ นี่คุ้มค่าที่จะให้คนคนหนึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างมันขึ้นมาเลยงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ
“ว่ากันว่าบรรพบุรุษของมนุษย์คือเมล็ดพืชที่หลับใหลอยู่บนอุกกาบาตที่เดินทางอย่างไร้จุดหมายในจักรวาลมาเป็นเวลานาน แต่หลังจากที่อุกกาบาตได้ชนเข้ากับดาวดวงหนึ่งเมล็ดพืชก็เริ่มเติบโตจนกลายเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน และเปียโนกาแล็กซีก็ถูกเล่าขานว่าคืออุกกาบาตที่ช่วยนำพาบรรพบุรุษของเรามาให้เติบโต” อันธกล่าวอย่างจริงจัง
“โอเคฉันพอจะเข้าใจแล้ว แต่การเรียงตัวของคีย์เปียโนมันกระจัดกระจายกันมาก แล้วแบบนี้คนเล่นจะไม่เล่นเปียโนได้ลำบากเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวขณะพิจารณาเปียโนกาแล็กซีอย่างใกล้ชิด
“ถ้ามันเล่นไม่ยากมันก็คงจะไม่ใช่เปียโนกาแล็กซีน่ะสิ นี่คือเครื่องดนตรีที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นได้ยากที่สุดในจักรวาล แม้แต่ชนชั้นสูงของพันธมิตรก็ยังถือว่าการเล่นเปียโนหลังนี้เป็นประเพณี ซึ่งในบรรดาทุกคนที่นี่ก็อาจจะมีคนเล่นเปียโนหลังนี้เป็นเพียงแค่ไม่กี่คน” อันธกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“แล้วนายเล่นเปียโนนั่นเป็นไหม?” เซี่ยเฟยถาม
“อาจารย์ของฉันก็มีเปียโนกาแล็กซีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่มันไม่ได้ล้ำค่าเหมือนเปียโนหลังนี้ แน่นอนว่าฉันย่อมได้เรียนรู้วิธีการเล่นเปียโนมาจากอาจารย์ และอาจารย์ยังเคยพูดชมฉันว่าฉันมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีอีกด้วย” อันธกล่าวพร้อมกับตบหน้าอกของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
‘คราวที่แล้วนายก็บอกว่าอาจารย์ชมนายว่ามีพรสวรรค์ทางด้านบทกวีไม่ใช่เหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ
เมื่อผู้ชมได้ยินว่าเปียโนหลังนี้คือเปียโนกาแล็กซีหลังสุดท้ายของปรมาจารย์โซโล พวกเขาก็เริ่มให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่ามันจะมีคนอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนที่มีความเข้าใจในเรื่องดนตรี แต่การแสดงออกว่าพวกเขาสนใจก็ยังทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับในสังคมของตัวเอง
ทุกคนต่างก็พูดขึ้นมาว่าเจ้าของงานวันเกิดอย่างเออเนสควรจะเป็นผู้เริ่มบรรเลงเพลงเป็นคนแรก ซึ่งเออเนสก็แกล้งเล่นทำตัวอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะขึ้นไปแสดงความสามารถบนเวที
หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เพื่อทำสมาธินิ้วทั้ง 10 ของเออเนสก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ก่อนที่มันจะมีเสียงแปลก ๆ ถูกปล่อยออกมาจากเปียโนกาแล็กซี ซึ่งเสียงที่เกิดขึ้นมานี้ก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งต้องเงียบเสียงลง
หลังจากจบเพลงฝูงชนต่างก็ปรบมือกันอย่างคับคั่ง เออเนสจึงลุกขึ้นมาโค้งขอบคุณและกล่าวออกมาอย่างถ่อมตัวว่า
“ผมแก่แล้วเลยไม่สามารถเล่นเปียโนได้คล่องแคล่วเหมือนเดิม ทำให้เพลงเมื่อสักครู่นี้เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด พวกคุณทุกคนไม่จำเป็นจะต้องปรบมือให้กับผมก็ได้”
“บทเพลงสรรเสริญอุกกาบาตของคุณช่างไพเราะจริง ๆ ผมรู้สึกเหมือนกับได้เห็นฝนดาวตกพุ่งผ่านท้องฟ้าในระหว่างที่เพลงกำลังบรรเลง ผมว่าคุณไม่จำเป็นจะต้องถ่อมตัวก็ได้มั้งครับ” หลี่กวนกล่าว
หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มพูดจายกย่องเออเนสขึ้นมาทีละคนราวกับว่าเรื่องนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของแขกที่อยู่ในงาน
“เห็นหรือยังล่ะ? นี่แหละคือเครื่องดนตรีที่ดีที่สุดของพันธมิตร” อันธกล่าว
“ในตอนที่เสียงดนตรีกำลังบรรเลงมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าฉันได้อยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกล้อมรอบด้วยดวงดาวเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้จะสามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจของผู้ฟังได้มากขนาดนี้” เซี่ยเฟยกล่าว
“เปียโนกาแล็กซีถูกออกแบบมาเพื่อให้บรรเลงเสียงของจักรวาล บทเพลงที่นายได้ฟังไปในก่อนหน้านี้ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น ถ้าหากว่านายโชคดีมีโอกาสได้ฟังคอนเสิร์ตของนักดนตรีชั้นนำ ฉันกล้ารับประกันได้เลยว่านายจะรู้สึกหลงใหลไปกับเสียงดนตรีมากกว่านี้” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“แต่ฉันยังมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ทำไมมันถึงมีกลิ่นอายของจิตสังหารซ่อนอยู่ในเสียงของเปียโน แล้วมันก็ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับจิตสังหารที่ฉันเคยสัมผัสได้มาก่อน?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เคยมีคนบอกเหมือนกันว่าเสียงของเปียโนกาแล็กซีให้ความรู้สึกที่ลึกลับทำให้มีคนตีความเสียงดนตรีแตกต่างกันออกไป แต่ทำไมนายถึงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารกันนะ? เสียงของเปียโนมันน่าจะให้ความรู้สึกถึงการสร้างมากกว่าทำลายนะ” อันธกล่าวพร้อมกับมองไปที่ชายหนุ่มอย่างสงสัย
“อ๋อฉันรู้แล้ว มันอาจจะเป็นเพราะความกระหายเลือดที่อยู่ภายในใจของนายก็ได้ ที่มันบิดเบือนเสียงดนตรีจนทำให้นายรู้สึกแบบนั้น” อันธพยายามอธิบายการคาดเดาของตัวเองออกมา
“พวกเราไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของจักรวาลคืออะไร เพราะสิ่งนี้อยู่เหนือเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ เสียงของเปียโนกาแล็กซีอาจจะฟังดูเป็นเหมือนการสร้างสรรค์สำหรับนาย แต่มันกลับให้ความรู้สึกถึงการทำลายสำหรับฉัน” เซี่ยเฟยกล่าว
***************