ตอนที่แล้วบทที่ 249 – ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 251 – เสียงเรียกของคทาเวทย์ของเทพมังกร

บทที่ 250 – บันทึกของเทพสงคราม


แล้วซากขนาดมหึมาของปีศาจอสูรทั้งสามตัว ก็ถูกพลังแห่งความหิวของพวกเราทำให้สลายไปจนหมด

เวลานั่นล่วงเลยผ่านมาจนถึงช่วงค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท พวกเราแต่ละคนหาก้อนหินใหญ่เป็นที่นั่งสำหรับทำสมาธิฝึกฝนพลังกันอย่างสงบ เสี่ยวโร่วแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองกลับไปเป็นกระรอกตัวน้อย นอนอยู่ไม่ไกลจากตัวผมมากนัก เหมือนว่าเธอจะหลับลงอยู่บนหางใหญ่ของตัวเองไปแล้ว

ผมเหลือบมองไปทางมู่จือ ที่ตอนนี้นั่งทำสมาธิอยู่ไม่ห่างไปมาก ท่าทางของเธอตอนนี้นั่นดูสง่างามไม่น้อย ทั่วร่างของเธอเปล่งประกายสีดำของธาตุแห่งความมืดออกมาจาง ๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจนมากนัก แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความรู้สึกโหยหาของผมนั้นลดลงไปได้เลย ที่ก้อนหินข้าง ๆ เธอ เค้อหลุนตัวกำลังนั่งฝึกฝนอยู่เช่นกัน รัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวของเขาก็เป็นธาตุแห่งความมืด ผมรู้สึกได้เลยว่า เขาไม่ได้ละเลยการรับรู้สภาวะรอบตัวเลยแม้แต่น้อย

ม่านหมอกในยามราตรีถูกสายลมพัดผ่านมา  มันบดบังแสงสว่างเล็กน้อยของดวงจันทร์และเหล่าดวงดาวไปจนหมดสิ้น นั่นทำให้ระยะการมองเห็นของผมลดน้อยลงอย่างมากในทันที หรือว่าเป็นเพราะสวรรค์ไม่อยากจะให้ผมคอยแต่เฝ้ามองมู่จือต่อไปอีก หึหึ! ผมได้แต่หัวเราะเย้ยหยันตัวเองออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะหลับตาลง มุ่งสมาธิให้อยู่กับการโคจรพลังเวทย์ในร่างกายอีกครั้ง พยายามรวบรวมธาตุแสง และเพิ่มพลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปพร้อม ๆ กัน

หลังจากที่พลังของผมฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าระดับพลังเวทย์ที่ผสานกันอยู่ในร่างกายของตัวเองนั่นเริ่มหยุดนิ่ง ไม่สามารถเพิ่มระดับขึ้นไปได้อีก ย้อนนึกกลับไปถึงตอนที่ร่ายเวทย์ต้องห้ามโดยมีความช่วยเหลือของลุงฟืน เห็นได้ชัดว่าพลังของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าอาจารย์เจิ้นอยู่ไม่น้อย แล้วอีกอย่าง พลังของผมนั้นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากดูดกลืนกระแสวิญญาณเทพเจ้าเข้าไป แต่นั่นยังไม่สามารถทำให้เวทย์ต้องห้ามทรงพลังมากกว่าครั้งที่แล้วได้เลย หรือว่า? บางทีพลังของผมอาจจะลดระดับลงไปจากเมื่อก่อนแล้ว? ไม่สิ! ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นไปได้ ผมรู้ระดับของตัวเองดี ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะความเข้ากันได้ของพลังอย่างนั้นหรือ? แล้วเมื่อผมมาลองคิดดูอย่างละเอียด มันก็มีความเป็นไปได้มากที่สุด ในครั้งแรกที่ผมร่ายเวทย์ต้องห้ามออกมานั้น ได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์เจิ้น ซึ่งเป็นนักเวทย์ และมีความสนิทสนมกับอาจารย์ตี้เป็นอย่างมาก ระหว่างที่ร่วมมือกันนั้น เขาคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของพลังเวทย์ในตัวผมเป็นอย่างดี ทั้งระดับของพลัง และทิศทางในการเคลื่อนที่ นั่นทำให้เขาสามารถสนับสนุนผมได้อย่างเต็มที่ ไม่มีการสูญเปล่าของพลังที่ส่งเข้ามาเลย แต่ไม่ว่าผมจะเคารพลุงฟืนมากแค่ไหน ระหว่างเราก็ยังไม่ได้มีความคุ้นเคยกันมากถึงระดับนั้น และถึงแม้ว่าพลังจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาจะสามารถเปลี่ยนเป็นพลังเวทย์ได้ด้วยความสามารถของผม แต่มันก็เกิดการสูญเสียในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั่นไปไม่น้อย แล้วอีกอย่างหนึ่ง เวทย์ผนึกต้องห้ามนั้นต้องการการควบคุมในหลายรูปแบบมากกว่าเวทย์ฟื้นฟูต้องห้ามในคราวนั้น นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มิติผนึกสรรพสิ่งไม่แข็งแกร่งเท่ากับที่ผมคิดเอาไว้

เส้นทางข้างหน้าของผมนั่นไม่ราบเรียบเลยจริง ๆ มันยังเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามอยู่ไม่น้อย แล้วผมก็ต้องพยายามข้ามมันไปทีละขั้น ต้องทุ่มเทมากกว่าคนอื่นอยู่ไม่น้อย เพราะตอนนี้ผมอยากที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว สิ่งที่ราชาเคอจาทำกับผม มันยังทำให้ผมรู้สึกตัวเย็นทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป แล้วตอนนี้ผมยังต้องเจรจากับทั้งสามอาณาจักรพร้อม ๆ กัน เพื่อให้พวกเขาสงบศึกกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูรกายลงก่อน การใช้คำพูดเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะได้ผลอย่างแน่นอน มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว

คิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ผมไม่ได้รู้สึกท้อแท้แต่อย่างใด เพื่อความสงบสุขของโลกใบนี้ ผมต้องทุ่มเทความพยายามลงไปอย่างให้มากที่สุด ผมต้องตื่นตัวเอาไว้เสมอ แม้ว่าตอนนี้พลังความแข็งแกร่งของผมนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอ แต่ถ้าผมทำอย่างเต็มที่แล้ว แม้ว่ามันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่มีเรื่องให้กลับมาเสียใจในภายหลังอีก แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถ้าผมยอมตายไปพร้อมกับราชามารเลยล่ะ อย่างไงผมก็ไม่มีอนาคตอะไรอยู่แล้วนี่ ด้วยหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ ผมไม่มีทางได้อยู่ร่วมกับมู่จืออยู่แล้ว เมื่อเป็นแบบนั้น ชีวิตนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้หวังอีกแล้ว เช่นเดียวกับไหสุ่ย ผมไม่มีทางเอาตัวเองตอนนี้กลับไปเจอหน้าเธอแน่ ๆ มันคงจะดีกว่า ถ้าผมยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อกำจัดราชามารไปเสียเลย ให้การเสียสละของผมสร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับทุกคนบนโลกใบนี้

เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั่นเริ่มควบคุมดวงเวทย์สีทองในร่างกายของตัวเองไม่ได้แล้ว มันเริ่มแยกตัวออกจากกัน และหยุดหมุนเวียนไปรอบ ๆ ร่างกายของผมลงอย่างสิ้นเชิง  มันต่างมุ่งไปประจำอยู่ที่จุดสะสมพลังต่าง ๆ ดวงหนึ่งขึ้นมาอยู่ที่จุดสะสมพลังที่หว่างคิ้ว อีกดวงลงไปอยู่ที่จุดสะสมพลังตรงท้องน้อย และดวงสุดท้ายไปอยู่กับดาบศักดิ์สิทธิ์ที่บริเวณหน้าอก ดวงเวทย์สีทองทั้งสามตอนนี้เรียงตัวกันเป็นเส้นตรง มันสร้างความประหลาดใจให้กับผมเป็นอย่างมาก พวกมันเริ่มหมุนเวียนด้วยตัวเอง ไม่ฟังคำสั่งของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผมได้แต่พยายามผ่อนคลายตัวเอง ปล่อยให้พวกมันทำตามใจไปอย่างอิสระ แต่ก็เป็นเวลาไม่นานนัก ผมเริ่มรู้สึกว่าดวงเวทย์สีทองแต่ละดวงไม่ได้สร้างขึ้นมาจากพลังเวทย์ผสานอีกต่อไปแล้ว พวกมันเริ่มแบ่งชนิดกันอย่างชัดเจน ที่จุดสะสมพลังตรงหว่างคิ้ว ดวงเวทย์สีทองที่อยู่ในนั้น ตอนนี้มีเพียงพลังเวทย์บริสุทธิ์บรรจุอยู่เท่านั้น ในขณะที่ดวงเวทย์สีทองบริเวณหน้าอกของผมนั้นเหลือแต่พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ส่วนดวงเวทย์สีทองดวงสุดท้ายที่อยู่ตรงท้องน้อย เป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้การพิพากษาแห่งมังกรทะยานที่พี่ใหญ่จ้านหู่เป็นคนถ่ายทอดวิชาให้ผม

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมพวกมันกลับไปเป็นเหมือนกับตอนเริ่มต้นได้ล่ะ? หรือว่าพลังของผมจะลดลงจริง ๆ ผมลองพยายามควบคุมพวกมันอีกครั้ง แล้วก็พบว่าครั้งนี้นั้นได้ผล ผมลืมตาของตัวเองขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นมายืนอยู่บนก้อนหิน ความรู้สึกตอนนี้ไม่มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น มันออกจะสบายมากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ ตอนที่ผมขยับมือของตัวเองขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่ามีพลังรอบ ๆ ตัวกระเพื่อมตามเสียด้วยซ้ำ นี่มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าพลังของผมมันมีมากขึ้นต่างหาก แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันไม่ดีอย่างที่เห็นเลยล่ะ?

ผมลองใช้การเคลื่อยย้ายระยะใกล้ย้ายตัวเองไปที่สุดขอบของช่องเขาเทพสร้างทันที พบว่านอกจากพลังเวทย์ที่ผมเจตนาใช้มันออกไปแล้ว พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ และพลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้จากจุดสะสมพลังอีกทั้งสองจุดก็ถูกใช้ออกมาด้วย จุดสะสมพลังตรงหว่างคิ้วของผมขยายตัวออกมาอีกไม่น้อย ทำให้บริเวณรอบข้างมันต่างเต็มไปด้วยธาตุแห่งแสง และเมื่อผมมองกลับไปยังจุดที่เคยยืนอยู่ พบว่ายังมีภาพติดตาของผมเหลืออยู่ตรงนั้นด้วย

นี่ผมก้าวหน้าขึ้นอีกจริง ๆ หรือนี่? ผมลองยกมือขึ้นแล้วโคจรพลังจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมา เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ คราวนี้ พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์และพลังเวทย์ไหลออกจากจุดสะสมพลังที่ตัวเองอยู่ มุ่งตรงไปยังท้องน้อยของผม ทำให้จุดสะสมพลังที่อยู่ตรงนั้นขยายตัว และพลังของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อย่างการพิพากษาของมังกรทะยานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ระดับพลังของมันตอนนี้ ผมคิดว่าน่าจะบรรลุถึงระดับอัศวินศักดิ์สิทธิ์แล้ว

ผมก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง ได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ด้วยระดับพลังแบบผมตอนนี้ การก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ก่อนหน้านี้ผมต้องใช้กระแสวิญญาณเทพเจ้าถึงได้พัฒนามาถึงตรงนี้ได้ แต่หลังจากที่พลังทั้งสามแยกออกจากกัน ผมสามารถใช้กระบวนท่าต่าง ๆ ด้วยพลังแต่ละชนิดโดยเฉพาะได้ และสามารถสลับพวกมันไปมาได้ตามใจนึก ตอนที่ผมใช้กระบวนท่าของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ผมก็คือนักรบระดับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เมื่อผมใช้พลังเวทย์ ผมก็จะกลับมาเป็นเมธีเวทย์เหมือนเดิม พลังของเวทย์ที่ผมร่าย หรือกระบวนท่าที่ใช้ออก มันดูจะทรงพลังมากกว่าการใช้ออกด้วยพลังเวทย์ผสานไม่น้อยเลยทีเดียว

ความก้าวหน้าอย่างฉับพลันแบบนี้ ทำให้ผมทั้งตื่นเต้นและดีใจมากอย่างอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ หลังจากบินกลับไปยังก้อนหินก้อนเดิมแล้ว ผมเริ่มฝึกฝนให้ตัวเองคุ้นเคยกับการสับเปลี่ยนพลังของตัวเอง แล้วค่อย ๆ จมอยู่กับสภาวะการฝึกฝนนั้นไปในที่สุด

ตอนที่ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันก็เป็นเวลาเช้าตรู่ของวันต่อมาแล้ว ทุกอย่างที่นี่ในตอนนี้ดูจะสดชื่นไปหมด เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ผมสูดลมหายใจลึก ๆ เข้าไปให้เต็มปอด หันหน้าไปมองดูภาพทิวทัศน์ที่มีพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากท้องฟ้าเป็นพื้นหลัง มันสวยงามมากจริง ๆ หลังจากนั้น ผมพาตัวเองลงมาจากหินก้อนใหญ่นั้นด้วยการบิน แม้ว่ามันจะเป็นระยะสั้น ๆ แต่มันก็ช่วยผมพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าความสามารถของผมก้าวหน้าขึ้นมาก

พี่ใหญ่จ้านหู่กำลังเดินมาทางผม เสียงนั้นถูกส่งมาก่อนที่เขาจะถึงตัวผม “จางกง เจ้าตื่นแล้วใช่มั้ย? สีหน้าท่าทางของเจ้าดูดีขึ้นนะ!”

ผมตอบเขากลับไปด้วยรอยยิ้ม “ท่าทางของพี่ก็ดูดีขึ้นกว่า 2-3 วันก่อนไม่น้อยเลยทีเดียว พี่ใหญ่! ผมคิดว่าจะใช้คทาเวทย์ซู่เกอลาช่วยเรียกเสี่ยวจินให้กลับมาเร็วกว่ากำหนดดู ตอนนี้เวลานั้นไม่รอพวกเราเลย จะมามัวเอ้อระเหยอยู่ที่นี่นานไปไม่ได้ พี่ช่วยป้องกันผมเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน”

เขาพยักหน้า “ตอนนี้พวกเราฟื้นฟูพลังกันสมบูรณ์ทุกคนแล้ว ไม่ต้องกังวลให้มากเกินไปนัก ต่อให้มีภูเขาหรือผาสูงขวางอยู่เบื้องหน้า พวกเราก็สามารถทลายมันลงมาให้ราบไปกับพื้นได้แน่”

ผมหยิบเอาสมุดเล่มเล็กที่ลุงฟืนมอบให้ออกมาส่งให้แก่เขา “พี่ใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่ลุงฟืนต้องการให้ผมส่งต่อให้กับพวกพี่ทุกคน มันเป็นประสบการณ์ในการฝึกฝนของเขาตั้งแต่ระดับนักบุญจนบรรลุถึงระดับเทพสงครามเลยทีเดียว น่าจะแทบครอบคลุมเกือบทุกอย่างในชีวิตของเขาแล้ว ถ้าพี่ต้องการเป็นเทพสงครามเหมือนกัน คงต้องศึกษาความรู้จากในนี้ให้ถี่ถ้วนดูก่อน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด