บทที่ 249 – ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่ สิ่งที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกายของมนุษย์ก็คือส่วนสมอง ต่อให้เป็นระดับพลังแบบผม ก็ไม่มีทางที่จะส่งพลังเวทย์ หรือพลังจิตวิญญาณแห่งการต่อสู่เข้าไปที่สมองโดยตรงแน่ ๆ แต่การที่เธอทำอย่างนั้นต้องมีเหตุผลบางอย่าง แม้ว่ามันอาจจะดูเสี่ยงมากไปเหลือเกิน แล้วก็เป็นไปตามที่ผมเป็นกังวล ใบหน้าของเธอเริ่มแสดงอาการว่ารู้สึกเจ็บออกมาแล้ว สีหน้าของเธอเริ่มซีดขาวลงเรื่อย ๆ ควันสีขาวปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเธอ และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น มันมีกลิ่นเหมือนอะไรกำลังไหม้ไฟอยู่
มันคงจะไม่ใช่ว่าหัวของเธอกำลังถูกไฟไหม้อยู่ข้างในใช่มั้ย? ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นหรอกนะ การฝึกฝนของเสี่ยวโร่วเป็นวิธีที่นุ่มนวล และเป็นธรรมชาติ ดังนั้นเธอไม่น่าจะมีพลังอะไรที่รุนแรงมากนักอยู่ในร่างกาย ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังของผมอยู่ข้างในร่างกายของเธอเป็นบางส่วนก็เถอะ แต่มันไม่น่าจะถึงขึ้นที่ทำให้หัวของเธอถูกเผาได้แน่ ๆ
ใบหน้าของเสี่ยวโร่วแสดงอาการเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อเม็ดโตเท่า ๆ กับขนาดเมล็ดถั่วเริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเธอ มันส่งกลิ่นสาบบางอย่างออกมาด้วย ผมรีบใช้พลังเวทย์ปกปิดสัมผัสรับรู้กลิ่นของตัวเองทันที มันเป็นการป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน
เขตแดนที่คลุมอยู่รอบตัวพวกเราเริ่มเต็มไปด้วยควันสีขาวแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงนี้ เริ่มดึงความสนใจจากทุกคน จ้านหู่และคนอื่น ๆ ช่วยกันสร้างเขตแดนป้องกัน ที่มีเขตแดนของผมเป็นศูนย์กลางอยู่ขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณ ส่วนมู่จือกับเค้อหลุนตัวยืนดูพวกเราอยู่ห่าง ๆ
เสียงของมู่จือถามขึ้น “พวกเขากำลังทำอะไรอยู่? ทำไมถึงได้มีควันมากขนาดนั้น?”
ไม่มีใครรู้สึกไม่ดีกับมู่จือเลย พวกเขารู้ดีถึงความสัมพันธ์ของเธอกับจางกงดี ดังนั้นจ้านหู่จึงตอบกลับมา “ดูเหมือนว่าเสี่ยวโร่วกำลังจะทะลวงระดับอยู่ จางกงกำลังช่วยป้องกันเธออยู่ด้านใน พวกเจ้าไปพักผ่อนกันต่อเถอะ เสร็จจากเรื่องนี้แล้ว ข้าจะเรียกมากินอาหาร”
เค้อหลุนตัวที่กำลังจับตาอยู่ที่เขตแดนป้องกัน อุทานออกมา “จางกงปฏิบัติต่อปีศาจจิ้งจอกน้อยไม่เลวเลยจริง ๆ เขาถึงกับใช้พลังศักดิ์สิทธิ์สร้างเขตแดนป้องกันออกมา แสดงว่าปีศาจจิ้งจอกหกหางตัวนี้น่าจะกำลังบรรลุระดับอยู่จริง ๆ”
ตอนที่เขากล่าวคำพูดพวกนั้นจบ เสี่ยวโร่ว! ที่ตอนนี้อยู่ในเขตแดนป้องกัน ได้ส่งเสียงร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดออกมา แขนของเธอกางออกมาข้างตัว ร่างกายของเธอเริ่มลอยขึ้นบนกลางอากาศ ตัวของเธอยังคงติดอยู่ในเขตแดนป้องกัน แต่เสื้อผ้าและเส้นผมทั้งหมดในร่างของเธอเริ่มสลายตัวลงไปแล้ว
นั่นทำให้ผมเริ่มตกใจ รีบใช้พลังเวทย์ของผมไปที่ร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว รั้งตัวของเธอให้ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง แล้วตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่หมุนเวียนอย่างรวดเร็วในร่างกายของเธอ
ในที่สุด เสี่ยวโร่วก็ลืมตาของเธอขึ้นมา แสงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเยือกเย็นพุ่งออกมาจากดวงตาของเธอราวกับสายฟ้า ตอนที่ผมสัมผัสพลังของมันได้ ใจของผมสั่นสะท้านไปไม่น้อย พลังนั่นมันสูงกว่าพลังโดยรวมของเธอก่อนหน้านี้มาก
เสียงของเสี่ยวโร่วดังออกมาอย่างตื่นเต้น “นายท่าน ข้าทำสำเร็จแล้ว!” หลังจากกล่าวจบ เธอก็พุ่งเข้ามาหาผมทันที แต่ก่อนที่จะถึงตัวผมประมาณ 1 เมตร เธอก็หยุดตัวเองลง ก่อนที่จะก้มลงมองร่างกายตัวเองที่เต็มไปด้วยคราบของเหลวสีทอง ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
ผมยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะโบกคทาเวทย์ซู่เกอลาในมืออย่างแผ่วเบา สร้างเป็นลูกบอลน้ำขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาตัวเธอ แล้วกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ปกคลุมร่างกายของเธอเอาไว้ ด้วยวิธีการนี้ ผมสามารถจะขจัดคราบสกปรกออกจากร่างกายของเธอได้ และยังสามารถทดสอบระดับพลังของเธอไปพร้อมกันด้วย
ตอนแรกเสี่ยวโร่วดูเหมือนจะตกใจ แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาเล็กน้อยเท่านั้น เธอตัดสินใจกระโดดเข้าไปในวังวนน้ำด้วยตัวเอง ผมนั้นคาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน เธอไม่ต้องเปลี่ยนร่างกลับไปอยู่ในรูปลักษณ์เดิมของตัวเอง ก็สามารถต้านทานเวทย์น้ำระดับสูงนี้ได้แล้ว ภายใต้การตกตะลึงของผม น้ำในวังวนนั้นก็ได้ชำระล้างร่างกายของเสี่ยวโร่วจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว ปรากฏร่างอันยั่วยวนบริสุทธิ์ ขาวใสและเรียบเนียนออกมา
ผมยังไม่ทันได้สังเกตเธออย่างชัดเจนมากเท่าไรนัก เพราะเสี่ยวโร่วพุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้งหนึ่งแล้ว เธอกอดรัดผมแน่นราวกับเป็นปลาหมึก ไม่ใช่ปีศาจจิ้งจอกเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอ่อนนุ่มของร่างกายเธออย่างเต็มที่ นั่นทำให้ต้องรีบร่ายเวทย์ป้องกันออกมาใส่ตัวเอง และผลักเธอให้ออกห่างไป แล้วรีบหยิบเสื้อคลุมเวทย์ออกมาจากกระเป๋ามิติ คลุมตัวของเธอเอาๆไว้อย่างรวดเร็ว
ที่ภายนอก สีหน้าของมู่จือนั้นซีดลงเล็กน้อย แววตาของเธอนั้นดูเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
เสียงของเสี่ยวโร่วดังขึ้นอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง “นายท่าน ตอนนี้ข้าบรรลุระดับเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางอย่างสมบูรณ์แล้ว นายท่านลองดูนี่สิ” แล้วมันก็มีแสงวาบปรากฏขึ้น เมื่อแสงนั้นจางหายไป เธอก็ปรากฏตัวอยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ ขนอันหนานุ่มนั้นเปลี่ยนไปเป็นสีเงินอันสวยงาม มีหางยาวอยู่รวมทั้งหมดเก้าเส้น ตอนนี้ผมสัมผัสได้เลยว่า เสี่ยวโร่วไม่ได้อ่อนแอกว่าเจ้าปีศาจสามตาที่พวกเราเคยต่อสู้ด้วยก่อนหน้านี้เลย เธอกลายเป็นปีศาจอสูรระดับ A เต็มตัวแล้ว
ผมหยิบชุดเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋ามิติส่งให้เธอเพิ่มอีก “ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย ในที่สุดเจ้าก็สามารถทำได้สำเร็จ!”
เสี่ยวโร่วกลายร่างเป็นหญิงสาวสวยงามใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ เส้นผมที่ยาวสลวยลงมาจนถึงระดับสะโพกของเธอนั้น กลายเป็นสีเทาเหมือนขี้เถ้าที่แกมด้วยสีเงินเป็นประกาย เธอรีบแต่งกายด้วยชุดที่ผมยื่นให้เธออย่างรวดเร็ว ผิวของเธอนั่นเปล่งประกายออกมาอย่างงดงาม มันเนียนเรียบเป็นอย่างมาก ถ้าวัดกันที่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว ตอนนี้เธอนั้นไม่ด้อยไปกว่าไหสุ่ยเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงเทียบกับมู่จือไม่ได้
ผมหันกลับมาเห็นทุกคนกำลังยืนตะลึงอยู่ ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม “พวกคนลามกทั้งหลาย มัวทำอะไรกันอยู่? ไม่เคยเห็นสาวงามกันเลยหรืออย่างไร?”
เจี้ยนซานเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่แทนที่เขาจะหลบออกไป เขากลับพุ่งเข้ามามองสังเกตเสี่ยวโร่วอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เสี่ยวโร่ว เจ้าสวยมากเลยจริง ๆ ตอนนี้ อยากจะมาเป็นคนรักของข้าหรือไม่?”
เสี่ยวโร่วหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็รีบปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่เจี้ยนซาน ท่านคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่? ข้านั้นเป็นปีศาจอสูรนะ ไม่ใช่มนุษย์!”
นั่นทำให้เจี้ยนซานเกาหัวตัวเอง “ไอ้หยา! ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ถ้าอย่างนั้นต้องขอโทษเจ้าด้วยล่ะนะ” คำพูดของเขาทำให้ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะ มันยังมีโอกาสที่เสี่ยวโร่วจะกลายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบได้ เจี้ยนซาน! ถ้าเจ้าคิดอย่างนี้จริง ๆ ข้าสามารถหาวิธีช่วยเจ้าได้” สีหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่กล่าวคำพูดพวกนี้ออกมา
เขาดูตื่นเต้นมาก “จริงหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลยนะสิ แล้วเธอจะสวยเหมือนตอนนี้หรือเปล่า? ตอนที่กลายเป็นมนุษย์จริง ๆ แล้วน่ะ?”
นั่นทำให้ผมกลายเป็นจริงจังขึ้นมา “ถ้าเจ้าเพียงแต่ชอบเสี่ยวโร่วที่รูปโฉมของนาง ข้าไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเจ้าอย่างเด็ดขาด อย่าลืมนะว่าข้าเป็นผู้ดูแลนางอยู่”
เจี้ยนซานรีบกล่าวออกมาอย่างรู้ตัวว่าพูดผิดไปแล้ว “ข้าจะเป็นคนอย่างนั้นไปได้อย่างไร? ข้าชอบตัวตน ชอบนิสัยของนางมากจริง ๆ”
พี่ใหญ่จ้านหู่ที่อยู่ด้านหลังกล่าวขัดความคิดของเขาขึ้นมาอย่างไม่จริงจังนัก “เจ้าไม่ติดใจหรอกหรือที่เธอเป็นปีศาจอสูรมาก่อนน่ะ แล้วเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านเจ้าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่?”
นั่นทำให้เจี้ยนซานมีสีหน้าเจื่อน ๆ เล็กน้อย แล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
แต่ตอนนี้เสี่ยวโร่วเริ่มตาแดง ๆ แล้ว เธอรีบหลบเข้ามายืนอยู่ข้างหลังผม ก้มหน้าลงมองอยู่ที่พื้น ผมรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แต่ต่อให้เป็นปีศาจอสูร ก็ยังต้องการความรักจากใครสักคนอยู่ แล้วยิ่งเป็นเสี่ยวโร่วด้วยแล้ว เธอเป็นปีศาจอสูรที่เปิดสติปัญญาได้แล้ว ผมจึงได้แต่ปลอบโยนเธอออกไป “เสี่ยวโร่ว ข้าจะช่วยเจ้าให้กลายเป็นมนุษย์ให้ได้อย่างแน่นอน และจะช่วยเจ้าหาคนที่มาอยู่เคียงข้างเจ้าอย่างแท้จริงให้อีกด้วย เจ้าคิดว่าแบบนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เธอรีบคล้องแขนตัวเองเข้ากับแขนของผม ก่อนที่จะร้องประท้วงออกมา “ไม่เอา! เสี่ยวโร่วไม่อยากอยู่กับคนอื่น ไม่ได้อยากเปลี่ยนเป็นมนุษย์ด้วย เสี่ยวโร่วแค่อยากจะติดตามรับใช้นายท่านต่อไปเท่านั้น จะติดตามนายท่านไปตลอดชีวิตเลยด้วย” ผมฟังคำพูดของเธอด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ลูบหัวเพื่อเป็นการให้กำลังใจเธอไปแบบนั้น
ตงรื่อเดินเข้ามาทุบเจี้ยนซานเข้าไปอย่างแรงครั้งหนึ่ง “นายทำให้เสี่ยวโร่วไม่สบายใจแล้ว หือม์! วันนี้นายไม่ต้องกินข้าวเลย นี่เป็นการลงโทษที่ทำตัวไม่ดี”
เจี้ยนซานหน้าตาบิดเบี้ยวมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก หันมามองที่ผมอย่างขอโทษ เขารู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าสิ่งที่เขาพูดไปโดยไม่ได้คิดให้ละเอียดก่อนหน้านี้ ส่งผลเสียให้เกิดขึ้นกับเสี่ยวโร่วไม่น้อย ผมช่วยพาพวกเขาออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ ด้วยการกล่าวเปลี่ยนเรื่องออกไป “พอกันแค่นี้เถอะ ทุกคนคงเริ่มหิวกันมากแล้ว ทำอาหารกินกันก่อนดีกว่า พี่ใหญ่จ้านหู่! วันนี้พี่คิดว่าจะทำอะไรให้พวกเราลงชิมกันล่ะ?”
ท่าทางของจ้านหู่ดูหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง “ถ้านับเฉพาะเรื่องการทำอาหารเพียงอย่างเดียว ข้านับว่าเป็นสุดยอดฝีมือคนหนึ่ง รอให้ได้ชิมฝีมือข้าอีกครั้งเถอะ รับรองว่าเจ้าจะต้องกัดลิ้นตัวเองแน่ ๆ”
และฝีมือการทำอาหารของเขานั้นยอดเยี่ยมเหมือนกับที่เขาหยิ่งยโสจริง ๆ แม้ว่าเครื่องเทศ และเครื่องปรุงรสที่เตรียมมาไว้ล่วงหน้าจะถูกใช้หมดไปแล้ว แต่เขาก็สามารถประยุกต์ใช้สิ่งรอบตัวได้เป็นอย่างดี เนื้อของปีศาจอสูรที่เขาปรุงออกมานั้นมีรสชาติที่สุดยอดมาก มันถึงขนาดลดความเย็นชาของมู่จือลงได้เลยเชียวล่ะ ส่วนเสี่ยวโร่วนั้นไม่สนใจอะไรอื่นอีกเลย ตั้งหน้าตั้งตากินเนื้อในส่วนของเธออย่างรวดเร็ว เจี้ยนซานเป็นคนเลือกเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้เธอเป็นพิเศษ หลังจากที่ได้เห็นทุกคนกำลังมีความสุขอยู่แบบนี้ ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ ใครจะไปสนใจว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร? มีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว กินให้อิ่มดีกว่า!