ตอนที่ 35 วนลูป
“แล้วซุนซู่กลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เขายังปรากฏตัวในเมืองและถูกตระกูลจางขัดขวางอยู่เลย ไม่ใช่ว่าที่ว่าการอำเภอมีสมบัติยับยั้งสิ่งแปลกประหลาดหรือ?”
เฉินเฟยยังคงคิดต่อไป แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครบอกคำตอบเรื่องนี้ให้เฉินเฟยได้
“ซุนซู่ยังอยู่หรือไม่?”
“มันยังอยู่ที่นี่และบาดเจ็บจริง แต่เจ้าต้องรีบไปจัดการไม่เช่นนั้นอีกไม่นานคนอื่นที่ได้ข่าวจะตามมา”
“ก็แค่ซุนซู่คนเดียว ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้!”
“ข้าจะกลับไปรอข่าวดีจากเจ้า!”
ทันใดนั้นมีเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหน้า เฉินเฟยที่กำลังดีใจตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมเนื้อหาของการสนทนานี้ช่างคุ้นหูนัก
เมื่อเฉินเฟยมาถึงด้านหน้าจึงได้เห็นคนเหล่านั้นอยู่ไกลๆ หนังศีรษะเฉินเฟยถึงกับชาวาบ
“มารดามันเถอะ!”
เฉินเฟยด่าสาปแช่ง สิ่งที่เห็นคือจางเชียงกับจางเยว่เจินกับกำลังพูดคุยกันอยู่โดยมีกลุ่มผู้คุมกันติดตามอยู่ด้านหลัง และเฉินเฟยยังเห็นตัวเองอยู่ด้านหลังด้วย
“ซุนซู่แสดงตัวแล้ว ฆ่ามัน!”
ทันใดนั้นจางเยว่เจินหันมามองเฉินเฟยและตะโกนเสียงดังด้วยท่าทางตื่นเต้น ไม่ใช่แค่จางเยว่เจินเท่านั้น เหล่าผู้คุ้มกันหรือแม้แต่จางเชียงยังหันมองเฉินเฟยด้วยตาแดงก่ำ
ร่างเฉินเฟยสั่นไหววิ่งอ้อมเป็นเส้นโค้งผ่านกลุ่มสิ่งแปลกประหลาดไป
“ซุนซู่ เจ้าหนีไม่ได้...เจ้าหนีไม่ได้ เฉินเฟย...”
เสียงคลุมเครือของจางเยว่เจินดังขึ้น ตอนแรกเป็นชื่อซุนซู่แต่สุดท้ายกลายเป็นชื่อเฉินเฟย เฉินเฟยหันกลับไปมองและเห็นคนเหล่านั้นตัวชุ่มไปด้วยเลือด
จางเยว่เจินมีบาดแผลจากกระบี่ตรงหน้าอก แต่ไม่รู้ว่าแขนซ้ายนางหายไปไหน ตอนนี้นางกำลังวิ่งไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่ง ความเย็นชาในดวงตาทำให้ต้องขนหัวลุก
วิ่งทะยาน!
ท่าร่างถูกใช้ทันที การเคลื่อนไหวเฉินเฟยเร็วขึ้นเล็กน้อย ลมเย็นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆถูกเฉินเฟยสลัดทิ้ง
“เฉินเฟย...เฉินเฟย ข้าเจ็บเหลือเกิน...ข้าจะ...ฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้า...”
เสียงบ้าคลั่งไร้เหตุผลดังมาจากด้านหลัง เฉินเฟยไม่หันไปมองและวิ่งตรงไปยังอำเภอผิงหยิน
นี่เป็นกลุ่มสิ่งแปลกประหลาด เฉินเฟยรู้ดีว่าเขารับมือกับมันไม่ได้ ดังนั้นมีแต่ต้องกลับไปที่อำเภอผิงหยินเท่านั้นถึงจะรอด
โชคดีที่ท่าร่างของเฉินเฟยยอดเยี่ยม โดยเฉพาะตอนวิ่งทะยานที่มีความเร็วเหนือกว่าระดับหลอมกระดูกและสิ่งแปลกประหลาดเหล่านั้น ครู่ต่อมาเฉินเฟยเห็นกำแพงเมืองผิงหยินอยู่ข้างหน้า ความหนาวเย็นด้านหลังจางหายไป
“ถึงสักที!”
เมื่อเข้าสู่กำแพงเมือง ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏบนร่างทำให้เขาถอนหายใจยาว
“ไปที่คฤหาสน์ตระกูลจาง นี่เป็นเรื่องใหญ่”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่เฉินเฟยก็ถอนหายใจ เหตุการณ์นี้ต้องทำให้ตระกูลจางปวดหัวแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนในห้องโถงศูนย์การแพทย์เห็นเขาตามไปด้วย เฉินเฟยก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ในเวลานั้นมีคนมากมายเห็นเรื่องนี้ หากเฉินเฟยปฏิเสธเขาคงน่าสงสัย
เฉินเฟยพบตรอกว่างเปล่า เขาใช้ฝ่ามือตบหน้าอกและกระอักเลือดออกมา จากนั้นพุ่งลงพื้นสุดแรงทำให้จมูกช้ำหน้าบวม
“ใกล้ถึงแล้ว”
เฉินเฟยลุกขึ้นและยิ้มกว้าง หากไม่มีอาการบาดเจ็บเลยมันคงไร้เหตุผล
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินเฟยมาที่คฤหาสน์ตระกูลและเข้าพบจางซือหนาน
“เจ้าว่าอะไรนะ ทุกคนตายหมด!”
จางซือหนานลุกขึ้นยืนเมื่อได้ฟังคำพูดเฉินเฟย
“ซุนซู่อาจกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดไปแล้ว”
เฉินเฟยเล่าเรื่องส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นยกเว้นความขัดแย้งระหว่างเขากับจางเยว่เจิน
จางซือหนานขมวดคิ้วเดินไปมา แม้จะน่าเสียดายที่ผู้คุ้มกันเหล่านั้นตาย นั่นยังไม่ทำให้ตระกูลจางสูญเสียมากนัก แต่การตายของจางเยว่เจินซึ่งอยู่ในระดับหลอมกระดูกเป็นสิ่งที่ตระกูลจางยอมรับไม่ได้
โดยเฉพาะซุนซู่ หากเขากลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดจริง การแก้ปัญหาเรื่องนี้จะยากขึ้นมาก
“ตามข้ามา!”
จางซือหนานพูดแล้วเดินไปข้างหน้า เฉินเฟยเดินตามหลังนางไป
ครู่ต่อมาทั้งสองมาถึงห้องตำราจางถิง
เฉินเฟยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง จางถิงโกรธทันทีแต่เขาไม่ได้ระบายความโกรธใส่เฉินเฟย
เฉินเฟยเป็นนักหลอมโอสถระดับขัดเกลาผิวหนัง โชคดีแล้วที่เขายังรอดกลับมาได้ ไม่ว่าความรับผิดชอบเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจตำหนิเฉินเฟย
นอกจากนี้นักหลอมโอสถยังเป็นทรัพย์สินที่สำคัญมากสำหรับศูนย์การแพทย์ตระกูลจาง
ในทางกลับกัน จางเยว่เจินสู้เพื่อความดีความชอบ นางพาผู้คุ้มของศูนย์การแพทย์เป่ยเฉิงกันไปหาซุนซู่แต่จบลงด้วยความตาย สิ่งนี้อาจทำให้ซุนซู่ตื่นตัวด้วยซ้ำ
ในมุมมองของจางถิง การตายของจางเยว่เจินไม่ใช่เรื่องเสียหายมาก
“เจ้าทำได้ดีที่นำข้อมูลกลับมาได้ ลงไปรับรางวัลเถอะ”
จางถิงมองเฉินเฟยแล้วโบกมือให้เฉินเฟยออกไป จากนั้นหันไปมองจางซือหนาน “เรียกประชุมผู้อาวุโส!”
“ค่ะ!”
จางซือหนานพยักหน้าแล้วพาเฉินเฟยออกไป
“อยากได้รางวัลอะไร”
จางซือหนานพูดด้วยเสียงต่ำ รางวัลสำหรับการทำความดีความชอบเป็นสิ่งที่ตระกูลจางประกาศด้วยตัวเองมาโดยตลอด
“ตำราท่าร่าง!”
เฉินเฟยคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะได้สูตรโอสถจิตเบา ส่วนวิชากำลังภายในเป็นของสืบทอดตระกูลจางดังนั้นจะไม่ถูกมอบให้ ล่าสุดเฉินเฟยทำให้วิชากระบี่สำเร็จแล้ว ส่วนท่าร่างของเขายังพัฒนาได้อีก
ครั้งนี้เขาเจอกับสิ่งแปลกประหลาด หากไม่ได้มีท่าร่างยอดเยี่ยมเขาคงตายไปแล้ว ดังนั้นการเสริมท่าร่างจึงไม่ใช่เรื่องที่มากเกินไป
“ได้!”
จางซือหนานมองเฉินเฟยโดยคิดว่าเฉินเฟยรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์นี้จึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าขอเลือกเหมือนครั้งก่อนได้หรือไม่?”
“ได้!”
จางซือหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้จะหงุดหงิดแต่ไม่ได้ปฏิเสธ นางเรียกสาวใช้ส่วนตัวให้ไปหยิบตำราท่าร่าง ในขณะเดียวกันจางซือหนานก็ไปตามเหล่าผู้อาวุโส
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในลานบ้านจางซือหนาน
“สามตำราท่าร่าง คุณหนูใหญ่บอกว่าเจ้าต้องเลือกภายในหนึ่งเค่อ”
ตันเซียงมองเฉินเฟยที่ดูสับสน จางเยว่เจินตายแต่เฉินเฟยรอดกลับมาได้ มันไม่มีเหตุผลเลย
“หนึ่งเค่อ?”
เฉินเฟยขมวดคิ้ว เวลาแค่นี้ยังไม่พอที่จะบันทึกท่าร่าง เมื่อมองสีหน้าตันเซียงเฉินเฟยจึงเข้าใจ เขาหยิบเงินห้าตำลึงออกมาจากอกแล้วยัดใส่มือตันเซียง
“เจ้าจะทำอะไร!”
ตันเซียงจ้องเขม็งและพยายามโยนเงินทิ้ง แต่เมื่อรู้ถึงน้ำหนักของเงินจึงเกิดลังเล ด้วยฐานะสาวใช้ของจางซือหนาน ค่าจ้างที่ได้รับนั้นมีไม่มาก และนางต้องประหยัดสองสามเดือนถึงจะได้ห้าตำลึง
“ขอเวลาสามเค่อ หวังว่าคุณหนูใหญ่จะผ่อนปรนให้เล็กน้อย”
เฉินเฟยหยิบเงินอีกสิบตำลึงยัดใส่มือตันเซียง ตันเซียงไม่พูดอะไร หลังเก็บเงินเสร็จก็หันไปมองทางอื่น
เฉินเฟยยิ้มและรีบหยิบตำราขึ้นมาอ่าน
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินเฟยออกจากตระกูลจาง
[วิชายุทธ์: ข้ามใบไม้(ยังไม่เริ่ม), ก้าวเดินเหินเมฆา(ยังไม่เริ่ม), สายลมสามส่วน(ยังไม่เริ่ม)]
เฉินเฟยตื่นเต้นมากเมื่อเห็นข้อมูลท่าร่างบนระบบ หากเทียบกับตำราที่ซื้อในตลาดมืดแล้ว ตำราเหล่านี้ก้าวหน้ามากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อนำมาผสานกับท่าร่างของเฉินเฟยในปัจจุบัน มันต้องพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้นแน่นอน
แม้วันนี้จะอันตราย แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยเปล่า