996 - เขย่าทุ่งดวงดาวโบราณจื่อเว่ย
996 - เขย่าทุ่งดวงดาวโบราณจื่อเว่ย
เปลวเพลิงโหมกระหน่ำท่วมท้องฟ้า และจักรวาลกำลังลุกไหม้เป็นเพลิงสีแดงราวกับหม้อหลอมขนาดใหญ่ ทุกสิ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้ความร้อนแรงนี้
ในขณะเดียวกันต้นไม้โบราณสีทองที่ได้ปรากฏตัวในความว่างเปล่ารากของมันหยั่งลงไปในพื้นโลก พร้อมกับเปล่งประกายด้วยแสงสีทองสดใส
ต้นไม้ขนาดใหญ่นี้มีความสูงกว่าหมื่นวา ความยิ่งใหญ่ของมันราวกับเสาค้ำยันสวรรค์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์พิภพ
“พึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกไม่สามารถทำให้เจ้ารอดชีวิตได้!”
เย่ฟ่านคำราม กระบี่สีทองพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขาและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะกวาดเข้าหาต้นไม้ขนาดใหญ่โดยไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย
“ตาย…”
ลู่หยาตะโกนเสียงดัง พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใช้ออกมาในครั้งนี้มีมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว นั่นเป็นเหตุผลให้ร่างอวตารของเขามีรอยแตกกระจายอยู่ทั่ว
“ถึงเวลาสิ้นสุดแล้ว!”
เย่ฟานตะโกนพร้อมกับกระแทกหมัดสังสารวัฏไปข้างหน้า ประตูที่เชื่อมต่อโลกโบราณทั้งหกแห่งเปิดออกก่อนที่พลังอำนาจเกรงขามจะโหมกระหน่ำมาจากทุกทิศทาง!
ลู่หยากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างกายครึ่งล่างของเขาหายไป เลือกสีทองสาดกระจายไปทั่วท้องฟ้าเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด
ด้วยเสียงคำรามที่ดังก้อง เย่ฟ่านกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ฉีกร่างที่เหลืออยู่ของลู่หยาออกเป็นสองส่วนโดยไม่คิดจะเมตตาฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย
แสงสีทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเหมือนอีกาทองพยายามหลบหนีด้วยความหวาดกลัว
เย่ฟ่านยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าและบีบวิญญาณสีทองตัวนั้นให้แหลกละเอียดอย่างง่ายดาย
ในทะเลเหนือที่ห่างไกล ร่างของลู่หยาตกตะลึง ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังลู่โจวในระยะไกลด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ใครฆ่าร่างอวตารของข้า”
ในมหาสมุทรสีดำ คลื่นกำลังปั่นป่วน และมีสัตว์โบราณที่ทรงพลังทุกชนิดปรากฏขึ้น
“ตั้งแต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หายไป แม้แต่ยาเซียนก็ยังสูญหายไปจากโลก ตอนนี้มียาเซียนเพียงต้นเดียวที่เหลืออยู่ หลังจากข้าได้รับมันแล้วเจ้าจะต้องตายอย่างอนาถ!”
ร่างที่แท้จริงของลู่หยาหายไปในส่วนลึกของทะเลเหนืออย่างไร้ร่องรอย
ในขณะนี้บนเทือกเขาเทียนหลาง ธงทองแปดสิบเอ็ดผืนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าและกระทบพื้นเสียงดังกราว ประกายไฟกระเด็นไปทุกที่ ซึ่งแต่ละธงส่องแสงเจิดจ้าอย่างไม่สิ้นสุด
ร่างอวตารของลู่หยาเสียชีวิตและถูกเย่ฟ่านฉีกเป็นชิ้นๆ แต่ธงสมบัติเหล่านี้คือค่ายกลระดับผู้อมตะ ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้รับความเสียหายอะไร
“ธงอีกาทอง!”
ดวงตาของหลายคนเป็นสีแดงและพวกเขาต้องการที่จะคว้ามันทันที ในอดีตลู่หยาใช้สิ่งนี้เพื่อกวาดล้างโลกทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมือผู้อยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นแน่นอนว่าทุกคนต่างปรารถนาต่อสมบัติชิ้นนี้
ธงขนาดใหญ่แต่ละผืนปักด้วยนกสีทองซึ่งมีสีสันสดใสเหมือนจริง เพียงลวดลายที่แสดงออกมาก็พอจะมองเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของมันแล้ว
อย่างไรก็ตามนี่คือเผือกร้อนที่ไม่มีใครกล้าหยิบ ใครก็ตามที่ยื่นมือไปข้างหน้าไม่เพียงจะเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์อีกาทองทั้งโลก พวกเขายังจะถูกเย่ฟ่านฆ่าทิ้งอย่างโหดร้ายอีกด้วย
ในความเป็นจริงความแข็งแกร่งของเย่ฟ่านที่ยืนอยู่ต่อหน้านั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ เขาสังหารองค์ชายอีกาทองสองคนติดต่อกัน การสร้างศัตรูกับคนแบบนี้นับเป็นความคิดที่โง่เขลาอย่างมาก
บนแท่นมีความเงียบอย่างสมบูรณ์ ผู้คนรู้ว่าเวลานี้ท้องฟ้าถูกเจาะและชายหนุ่มคนนี้ชื่อเย่ฟ่าน เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ในโลกอย่างไม่มีผู้ใดเทียบได้
ในการต่อสู้ครั้งนี้ องค์ชายอีกาทองทั้งสองสู้สุดชีวิตโดยไม่หวั่นเกรงความตาย ปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดของเผ่าพันธุ์อีกาทองก็ลงมืออย่างแข็งขัน แต่สุดท้ายพวกเขายังไม่อาจรอดพ้นความตายได้
เผ่าพันธุ์อีกาทองมีอำนาจมาก องค์ชายเก้าถูกตัดศีรษะพี่น้องของเขาย่อมไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ แน่นอนว่าอีกไม่นานโลกทั้งใบจะตกสู่ความวุ่นวายอย่างถึงที่สุด
แล้วใครคือบรรพชนผู้เฒ่าของเผ่าพันธุ์อีกาทอง ในอดีตเขาคือหนึ่งในยอดฝีมือผู้คิดจะแย่งชิงตัวเทพธิดาในต้นกำเนิดสวรรค์ ว่ากันว่าพลังของเขาได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตผู้อมตะไปแล้ว
“ปรมาจารย์อีกาทองเปรียบเสมือนก้อนเมฆ ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่หากเขายังไม่ตายมันจะเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ของโลกอย่างแน่นอน!”
ในขณะนี้สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เย่ฟ่านซึ่งยืนอยู่บนท้องฟ้า
หญิงสาวหลายคนที่เป็นผู้สืบทอดของมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ในโลกต่างก็จ้องมองเย่ฟ่านอย่างแปลกประหลาด นี่คือบุคคลที่กล้าโจมตีเผ่าพันธุ์อีกาทอง หลังจากนี้โลกทั้งใบคงปั่นป่วนวุ่นวายอย่างแน่นอน
ในการต่อสู้ครั้งนี้เผ่าหมาป่าสวรรค์ถูกสั่นคลอนและผู้บ่มเพาะในลู่โจวก็แตกตื่นตกใจ ชื่อเย่ฟ่านโด่งดังไปทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เทพหมาป่าผู้เฒ่าไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้อีกต่อไป เขาเดินออกจากพระราชวังโบราณ และปรากฏตัวพร้อมกับหมาป่าชราหลายคน
ผู้คนอุทานและจำผู้อาวุโสหลายคนในหมู่พวกเขาได้ หนึ่งในนั้นคือปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีอายุมากกว่าสามร้อยปี
“องค์ชายทั้งสองแห่งเผ่าพันธุ์อีกาทองสิ้นชีวิตแล้ว…”
เทพหมาป่าผู้เฒ่าอยู่ในความงุนงง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องจะวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ ทุกคนรู้ว่าเผ่าพันธุ์อีกาทองจะต้องโกรธมากแน่ๆ
อย่างไรก็ตามบุคคลที่เป็นตัวต้นเรื่องไม่มีความสนใจแม้แต่น้อย เขาร่อนลงบนหลังคาขนาดใหญ่ก่อนจะเก็บธงทองแปดสิบเอ็ด ผืนและสังเกตอย่างระมัดระวัง
ในขณะนี้แสงสีทองระยิบระยับบินออกมา มันส่องสว่างภายในดวงตาของเย่ฟ่าน เมื่อเขาสะบัดธงจะเกิดภาพเงาของอีกาทองมากมายนั้นไม่ถ้วนกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า
เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นสมบัติอันล้ำค่าอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันสามารถดักจับแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเซียนขั้นสูงสุดได้
“สหายเต๋าผู้นี้…”
เทพหมาป่าผู้เฒ่าพยายามทำให้น้ำเสียงของเขาเป็นปกติมากที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รู้จะพูดเย่ฟ่านว่าอย่างไร
การที่เย่ฟ่านแสดงความแข็งแกร่งเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นย่อมไม่ต้องการทำให้เขาขุ่นเคืองและสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
อีกาทองจะลงมืออย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้
ในที่สุดผู้คนก็กลับไปที่หมู่บ้านเทียนหลางและงานเลี้ยงวันเกิดก็เริ่มขึ้น หลายคนมองไปยังเย่ฟ่านเป็นครั้งคราวและคิดว่ามันแปลกๆ แต่ไม่มีใครกล้านั่งสนทนากับเขา
ทุกคนรู้ดีว่าต่อให้เผ่าพันธุ์อีกาทองไม่สามารถล้างแค้นได้ หยินเทียนเต๋อก็ไม่มีทางปล่อยเย่ฟ่านไปแน่ๆ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์กับเย่ฟ่านจึงเป็นความคิดที่ฉลาดที่สุด
“พี่เย่เจ้าทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่แต่เจ้ายังคงมีจิตใจที่สงบนิ่ง เรื่องนี้ทำให้ข้ารู้สึกยกย่องอย่างแท้จริง”
ในที่สุดชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีขาวก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“นั่งกับข้าเจ้าไม่กลัวที่จะถูกเผ่าพันธุ์อีกาทองลงโทษหรือ?” เย่ฟานหัวเราะ
“ต่อให้ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้จริงๆ เผ่าพันธุ์อีกาทองก็ไม่ได้มองข้าดีขึ้นแม้แต่น้อย”
เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาว หล่อเหลาราวกับหยกและมีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์
“โอ้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“เพราะข้าเป็นคนที่สง่างามอย่างยิ่ง ในอดีตข้าได้ท่องเที่ยวไปพร้อมกับองค์หญิงน้อยแห่งเผ่าพันธุ์อีกาทองชั่วระยะเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะถลกหนังของข้าอยู่ตลอดเวลา”
เย่ฟ่านยิ้ม บุคลิกของคนผู้นี้เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริง
“ข้าเอี๋ยนอี้ซี” ชายชุดขาวแนะนำตัวเองและกล่าวว่า “ฟ้าดินจงเป็นพยาน ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่ออีกาทองจริงๆ”
“เขาคือเอี๋ยนอี้ซีผู้โด่งดัง ชายผู้ยืนอยู่ท่ามกลางบุปผานับพันคือคนผู้นี้เอง”
ความแข็งแกร่งของเอี๋ยนอี้ซีงั้นไม่เป็นที่ต้องสงสัย ยอดฝีมือมากมายต่างต้องการฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ
ชายคนนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง ในอดีตเขาเคยต่อสู้กับลู่หยาเป็นระยะทางกว่าแปดหมื่นลี้แต่กลับไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย