บทที่ 32
บทที่ 32
“ตระกูลสวี่แห่งเมืองหรันเถียน คุณชายสวี่มาถึงแล้ว!”
ณ ขณะนี้ คนรับใช้ที่ประตูประกาศชื่อของสวี่ล่าย
“อะไร!? เขามาได้ยังไงกัน”
“ฮึ่ม นายน้อยไร้ค่าคนนั้นมาได้อย่างไร?”
“อย่าบอกนะว่ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ?”
ในงานเลี้ยง มีนักบู๊รุ่นเยาว์จากตระกูลและนิกายมากมาย ทันทีที่ได้ยินว่าสวี่ล่ายมาที่นี่ ก็เกิดข้อถกเถียงในคราเดียว โดยส่วนใหญ่แสดงความรังเกียจ นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เลือกเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
“น้องเหยา เหตุใดเจ้าถึงเชิญเด็กแซ่สวี่มาที่นี่ด้วย?” หลิวเฟยเยี่ยนซึ่งนั่งข้างเหยาว่านซินเลิกคิ้ว ในใจไม่พอใจอย่างมาก
“พี่สาวหลิวควรรู้ น้องสาวเป็นนักการค้า พวกเราพันธมิตรการค้าว่านตงไม่เคยมีส่วนร่วมในข้อพิพาทใดๆ ระหว่างตระกูล แล้วพี่สาวก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่างานเลี้ยงนี้แท้จริงจัดเตรียมขึ้นเพื่องานประมูลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และคุณชายสวี่ก็เป็นสมาชิกบัตรม่วงทองของกลุ่มพันธมิตรเรา”
“ดังนั้น การเชิญคุณชายสวี่มาในครั้งนี้ ข้าหวังว่าพี่สาวหลิวจะเข้าใจ” เหยาว่านซินกล่าวอย่างสงบ ดึงหลิวเฟยเยี่ยนมาใกล้ๆเพื่ออธิบายอย่างอดทน
“อะไรนะ? สมาชิกบัตรม่วงทอง? น้องเหยาอย่าล้อกันเล่นเลย เท่าที่ข้ารู้ทบัตรสมาชิกสีม่วงทองของพันธมิตรการค้า กระทั่งทั่วทั้งต้าหยานยังหาได้ไม่เกินสิบใบ แล้วนายน้อยไร้ค่าของตระกูลสวี่ผู้นี้ จะครอบครองมันได้อย่างไร?”
หลิวเฟยเยี่ยนสีหน้าเย็นชา ความไม่พอใจทวีความรุนแรงขึ้น
“พี่สาวช่างรอบรู้จริงๆ กระนั้น ตระกูลสวี่มีความสัมพันธ์ระยะยาวกับพันธมิตรทางการค้าของเรา นี่คือเหตุผลที่พวกเขาได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษในฐานะสมาชิกระดับม่วงทอง” เหยาว่านซินฉลาดมาก แน่นอนว่าเธอจะไม่พูดในสิ่งที่เธอคิด เพียงอ้างเหตุผลข้างๆคูๆมาอธิบาย
“เหอ? ตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลสวี่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับพันธมิตรการค้าได้สักแค่ไหนเชียว?” หลิวเฟยเยี่ยนยิ่งฟังและยิ่งงงงวย
“เรื่องนี้ได้แต่ขอโทษพี่สาวแล้ว เพราะข้าไม่สามารถพูดออกมาได้ ยังไงซะ นี่ก็เป็นความลับทางการค้า” เหยาหว่านซินยิ้มลึกลับ หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆ
เวลานี้ เงาร่างหน้าประตูปรากฏขึ้น สวี่ล่ายเผยโฉมต่อหน้าฝูงชนพร้อมกับสวี่หูและสวี่หวู่
“ผู้แซ่สวี่มาช้าไปก้าวหนึ่ง หวังว่าคุณหนูเหยาจะไม่โกรธเคือง” สวี่ล่ายประสานกำปั้นด้วยสองมือ ยิ้มเล็กน้อย
“ฮึ่ม! ตระกูลเล็กจ้อยอย่างตระกูลสวี่ กล้าดียังไงมาทำตัวใหญ่โตให้พวกเราหลายคนต้องรอ!”
สวี่ล่ายมองตามเสียง คนที่พูดไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เคยทะเลาะกับตนในร้านอาหารครั้งก่อน
“เห~ ก็นึกว่าใคร? ที่แท้ก็พี่หลิวเซี่ยงแห่งนิกายเทียนเยว่นี่เอง ครั้งก่อนที่เจอกันในร้านอาหาร พวกเรายังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ข้ายังเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม โชคดีที่อีกไม่นานจะมีงานประลองใหญ่ ข้าหวังว่าจะมีโอกาสได้ประมือกับพี่หลิวเซี่ยงอีกครั้ง ...”
สวี่ล่ายยิ้มบาง จงใจขยายเสียงให้ดัง จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนได้ยิน
“อะไรนะ? นายน้อยขยะผู้นี้สู้เสมอกับหลิวเซียง?”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
“เขาต้องพูดเรื่องไร้สาระแน่ๆ”
หลายคนแสดงสีหน้าไม่เชื่อ แต่ภายในใจของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสวี่ล่ายแล้วโดยเฉพาะตระกูลฉีที่นั่งอยู่แถวหน้ายิ่งมองอีกมุมหนึ่ง
“เจ้า ...... ครั้งก่อนที่ข้าปล่อยเจ้าไปก็เพราะเห็นแก่หน้าคุณหนูเหยา แต่เจ้ากลับป่าวประกาศต่อหน้าผู้คน ช่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี!” หลิวเซี่ยงผุดลุกขึ้น แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาทำได้เพียงถลึงมองสวี่ล่ายอย่างโหดเหี้ยม
“ทุกท่านใจเย็นๆ วันนี้มีชนชั้นสูงมากมายจากทั่วทั้งรัฐมารวมตัวกันที่นี่ นับเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากในรอบร้อยปี แล้วเหตุใดต้องกระทบกระทั่งกันเพราะเรื่องเล็กน้อยด้วยเล่า?” เหยาหว่านซินลุกขึ้นพูดอย่างช้าๆ
“คุณชายสวี่ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านมาตรงเวลานัดหมาย เชิญนั่งเถิด”
“ขอบคุณ”
สวี่ล่ายไม่พูดอะไรมาก หันกลับมา นั่งลงในตำแหน่งสิบที่นั่งในแถวหน้าที่ยังว่างอยู่ พ าพวกสวี่หูนั่งลง
ในงานเลี้ยงจัดวางโต๊ะแบบที่นั่งเดียว โดยมีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดเล็กยาวกว่าหนึ่งหมี่ตั้งข้างหน้าแต่ละคน ข้างบนมีอาหารทุกชนิด ไม่ว่าจะตุ๋น นึ่ง ผัด น้ำแกง หรือของหวาน ครบทั้งสิ้น นอกจากนี้ ข้างๆแต่ละโต๊ะยังมีสาวใช้คอยรินสุราและเติมอาหาร
“เฮ้ย คนเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมานั่งในตำแหน่งแถวหน้า?”
สวี่ล่ายเพิ่งนั่งลง จู่ๆข้างหลังเขาก็มีคนยืนขึ้นชี้จมูกสวี่ล่าย ตะโกนด้วยความโกรธ
“หืม? ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นใคร? ผู้แซ่สวี่ไม่รู้จัก ตามหลักเหตุผลแล้ว เจ้ากับข้าไม่ควรมีความแค้นใดๆ” สวี่ล่ายหันกลับมาดู คนที่พูดคือชายร่างอ้วน ซึ่งตนไม่รู้จักเลย
“ฮึ่ม! ข้าคือหม่าเฉียงแห่งนิกายเฉียนหยู(พันขนนก) ที่ข้าพูดนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบุญคุณความแค้น เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าสมควรได้นั่งโต๊ะแถวหน้า แบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับวีรบุรุษทุกคนในที่นี้”
“คุณชายหม่า......”
ก่อนที่เหยาว่านซินจะทันได้พูดอะไร หลิวเฟยเยี่ยนเป็นคนแรกที่เห็นด้วยและพูดว่า “น้องสาว ข้าคิดว่าสิ่งที่คุณชายหม่าพูดมีเหตุผล”
“พี่สาว นี่ท่าน ......” เหยาว่านซินขมวดคิ้ว ไม่นึกเลยว่า ‘ตัวปัญหา’ ที่อยู่ข้างๆ จะดูคึกคักไม่กลัวเกิดเรื่องใหญ่
สวี่ล่ายได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าคนโง่สองคนนี้ถูกใช้เป็นตัวออกหน้า ด้วยเหตุนี้เขาย่อมลุกขึ้นสู้เป็นธรรมดา
“ก็ได้ ในเมื่อมีคนต่อต้าน เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนตำแหน่ง”
“นายน้อย ท่าน......”
สวี่หู่ตกใจ เพียงแต่แค่พยายามออกมาห้ามก็ถูกสวี่ล่ายยกมือขึ้นขัดจังหวะ
ในโอกาสสำคัญเช่นนี้ การถูกลากออกจากที่นั่งแถวหน้าต่อหน้าสาธารณะ เป็นสิ่งที่น่าขายหน้ามาก และมันไม่ใช่แค่การเสียหน้าตัวเองเท่านั้น แต่ทั้งตระกูลยังถูกหัวเราะเยาะ
เป็นไปตามคาด...
“ฮ่า ๆ ว่ากันว่าตระกูลสวี่มีนายน้อยไร้ค่า วันนี้ข้าได้เห็นกับตาแล้ว”
“ใช่ ใช่ ใช่ ไม่คาดหวังเลยว่าผู้อื่นเอ่ยเพียงคำเดียว เขากลับกลัวจนมุดหัวหนี”
“แบบนี้ข้าว่าจะดีกว่าหากไล่เขาออกจากงานเลี้ยง”
ทั่วทั้งงานเกิดเสียงฮือฮา หลายคนเริ่มต่อแถวโจมตีสวี่ล่าย
เมื่อหม่าเฉียงเห็นว่าเขาดึงดูดพรรคพวกจำนวนมาก ทันใดนั้นทั้งคนทั้งร่างรู้สึกตัวลอยขึ้นเล็กน้อย เกิดความหยิ่งผยองในใจ “ฮึ่ม! ขยะไร้ประโยชน์ยังไม่รีบออกไปให้พ้นทางอีก!”
สวี่ล่ายยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส พูดอย่างไม่เร่งรีบ “เรื่องหลีกทางไม่ใช่ปัญหา แต่ไม่รู้ว่าที่นั่งแถวหน้านี้จะมีผู้ใดมีสิทธิ์มานั่งได้อีก”
ทันทีที่หม่าเฉียงได้ยิน น่าแปลกที่เขาไม่ลังเลเลยที่จะตอบว่า “แน่นอนว่าที่นั่งนี้ต้องเป็นของพี่หลินหยูหลินแห่งนิกายนิกายเทียนเยว่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
สวี่ล่ายหัวเราะเสียงดังอย่างไม่สะทกสะท้าน “ที่แท้คุณชายหม่าก็ถูกคุณชายหลินซื้อตัวมานี่เองฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะบอกอะไรให้นะคุณชายหลิน หากเจ้าอยากนั่งแถวหน้าก็บอกด้วยตัวเอง! ทำไมต้องอ้อมค้อมขนาดนี้ แถมจะหาพรรคพวกทั้งทียังเลือกคนสมองหมู สุดท้ายก็เผยความลับออกมาง่ายดายเช่นนี้”
“ฟัฟ ฟัฟฟฟ!” ณ ขณะนี้ ฉีเจี้ยนหมิงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ
เวลานี้ทุกคนสามารถเข้าใจ พื้นผิวเหมือนหม่าเฉียงเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม ทวงถามแก่ทุกคน แต่ในความเป็นจริงหลินหยูหลินผู้นี้รู้ว่าเขาไม่สามารถนั่งในแถวหน้าได้ จึงอารมณ์เสีย นั่นเป็นเหตุผลที่เข้าพบหม่าเฉียง หยิบยืมปากหม่าเฉียงมาขับไล่สวี่ล่ายจะถูกขับออกจากที่นั่งแถวหน้า
แต่หลินหยูหลินไม่ได้คาดหวัง ว่าคำพูดเรียบง่ายเพียงไม่กี่คำของสวี่ล่าย จะล่อลวงหม่าเฉียงให้เปิดโปงว่ามีเขาอยู่เบื้องหลัง ด้วยวิธีนี้สถานการณ์จะพลิกกลับทันที
“ฮึ่ม ไม่ใช่ผู้แซ่หลินคนเดียวที่อยากนั่งแถวหน้า แต่ผู้แซ่หลินคิดว่าทุกคนที่นี่มีคุณสมบัติมากกว่าเจ้า!” ในขณะนี้ หลินหยูหลินยืนขึ้นอย่างกระทันหัน ชี้นิ้วเพ่งเล็งมาทางสวี่ล่าย
“ฮึ่ม ความแตกแล้วยังเฉไฉ! เจ้าต้องการที่นั่งแถวหน้าใช่หรือไม่? เช่นนั้นมีความสามารถก็จงแสดงออกมา”
ใบหน้าของสวี่ล่ายเย็นชา มือข้างหนึ่งยื่นออกมาและทำท่าทาง ‘เชิญ’
สวี่ล่ายไม่ใช่สุภาพบุรุษ หากเขาถูกทําให้อับอายขายหน้าในที่สาธารณะยังสามารถสงบได้ แต่ขณะเดียวกันสวี่ล่ายก็ไม่ต้องการได้รับการปฏิบัติเหมือนลิง จึงย่อมเค้นหาผู้อยู่เบื้องหลังมาสั่งสอน
“เด็กน้อย อย่าคิดว่าชนะหลี่อวี้ถิงแล้วเจ้าจะไร้เทียมทาน ในสายตาข้า หลี่อวี้ถิงก็แค่อึก้อนหนึ--”
ก่อนที่หลินหยูหลินจะพูดจบ สวี่ล่ายยกนิ้วโป้งขึ้น ร้องชมเชย “ฮ่าฮ่าฮ่า หลินหยูหลิน เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก! คาดไม่ถึงว่าจะมีวาจาโผงผาง กล้าเอ่ยว่าคู่หมั้นขององค์หญิงกลิ่นหอมคืออึ เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าเจ้ากำลังสงสัยว่าสายตาขององค์หญิงกลิ่นหอมแย่ยิ่งกว่าอึใช่หรือไม่?”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ......”
“ฮิฮิฮิฮิฮิ......”
ผู้ชมระเบิดเสียงหัวเราะในคราเดียว แม้แต่เหยาว่านซินก็อดหลุดหัวเราะดัง ‘พรืดดด’ ออกมา แต่เนื่องจากต้องไว้หน้าอันบอบบางของหลิวเฟยเยี่ยน เลยจำใจฝืนกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเอง
กลยุทธ ‘โยกย้ายภัยพิบัติไปบูรพา’ ของสวี่ล่ายนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่เพียงปราบปรามความเย่อหยิ่งของหลินหยูหลิน แต่ยังดึง ‘ตัวปัญหา’ คนนั้นออกมาทําให้อับอายขายหน้าไปพร้อมๆกันได้ การกระทำนี้เท่ากับล้างแค้นสองคนที่คิดสร้างปัญหาให้ตนในทีเดียว
“หลินหยูหลิน! เจ้า ......” หลิวเฟยเยี่ยนโกรธมาก อย่างไรก็ตาม พอลุกขึ้นเธอกลับชี้ไปที่สวี่ล่าย แต่ไม่รู้จะตำหนิอย่างไร
“หลินหยูหลิน ดูสิว่าเจ้าทำให้เจ้าหญิงกลิ่นหอมโกรธแค่ไหน เจ้าจบสิ้นแล้ว กล้าล่วงเกินราชวงศ์ แม้ว่าเจ้าจะมีนิกายเทียนเยว่อยู่เบื้องหลัง แต่เกรงว่าตระกูลหลินของเจ้าจะรับไม่ไหว”
สวี่ล่ายเอ่ยด้วยท่าทีสงสาร ส่ายหัวอย่างเห็นใจแก่หลินหยูหลิน
“สวี่ล่าย เจ้า......ช่างกล้า! กล้าดียังไงมาใส่ร้ายข้า องค์หญิง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น......” หลินหยูหลินพูดตะกุกตะกัก ไม่รู้ว่าต้องอธิบายให้หลิวเฟยเยี่ยนฟังดี หรือกระโดดเข้าไปอัดสวี่ล่ายเลยดี
“เจ้าหุบปากซะ ข้าจะบอกพวกเจ้า ราชวงศ์ของเราถอนงานหมั้นหมายกับตระกูลหลี่ตั้งนานแล้ว ...... และข้าไม่อนุญาตให้พูดถึงมันอีก!” หลิวเฟยเยี่ยนโกรธมากจนร่างเธอสั่น ใบหน้าเริ่มกลายเป็นเขียวคล้ำ
“พี่สาวหลิว โปรดระงับความโกรธของท่าน” ถึงขั้นนี้ เหยาว่านซินเห็นว่าถ้ายังไม่ออกหน้าคงลุกลามจนห้ามปรามอะไรไม่ได้ รีบลุกขึ้นเพื่อกดตัวหลิวเฟยเยี่ยนลง
“สวี่ล่าย! ข้าหลินหยูหลินขอท้าสู้กับเจ้า!” หลินหยูหลินเดือดดาลด้วยความโกรธ เรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้ว เขาอึดอัดเกินกว่าที่จะยอมกล้ำกลืนโทสะอีกต่อไป
“ในตระกลี่สวี่เรา มีคำพูดติดปากว่า ‘หากขยับมือได้ ก็ไม่จำเป็นต้องขยับปาก’” สวี่ล่ายเลิกคิ้ว ไม่ปิดบังเจตนาฆ่า
[ติ๊ง!]
[เปิดภารกิจเสริม : การยั่วยุที่คาดไม่ถึง]
[รางวัลภารกิจ: 500 แต้มสะสม , ค่ากิตติศัพท์ 500 แต้ม , ค่าปราณสังหาร 10แต้ม , อาวุธระดับสมบัติหนึ่งชิ้น]
ณ ขณะนี้ เสียงของระบบดังขึ้น ปลดล็อคภารกิจเสริม
“เฮ้ย เฮ้ย พี่หู ตระกูลสวี่ของเราเคยมีวลีนี้ด้วยหรือ ?” สวี่หวู่ด้านข้างกระพริบตา หันศีรษะและถามสวี่หูอย่างจริงจัง
“เอ่อ ไม่มี แต่จากนี้ไปมีแล้ว” สวี่หูพยักหน้ากระอักกระอ่วน ยิ้มขมขื่น
“สวี่ล่าย! นี่เจ้าอยากตาย!” ในที่สุดหลินหยูหลินก็อดกลั้นไม่อยู่ ปราณบริสุทธิ์ในร่างกายพุ่งสูง
บรึ้ม!
ผู้คนโดยรอบได้รับความเดือดร้อนทันที 7-8 โต๊ะพลิกคว่ําในทันใด
“ฮึ่ม! แน่จริงเจ้าก็ไล่จับข้าให้ทันก่อน!” สวี่ล่ายตะคอกเย็นชา ย้ำเท้าหนักๆ ถีบร่างถอยออกมาจากในงาน
“เจ้าจะไปไหน?!” หลินหยูหลินคิดว่าสวี่ล่ายกำลังจะหนี ลุกขึ้นไล่ตาม
“เฮ้ย เฮ้ย มีการต่อสู้ให้ชม พวกเราไปดูกัน”
“ไปกันเถอะ ไปดูว่าสวี่ล่ายผู้นี้มีความสามารถแค่ไหน”
“ไปกัน ไปรับชมความคึกคัก”
นักบู๊ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเป็นรุ่นเยาว์ที่มาจากนิกายไม่ก็ตระกูลใหญ่ พวกเขาอายุน้อยและมีชีวิตชีวา ชอบร่วมสนุกเป็นที่สุด ตอนนี้เมื่อมีคนกำลังจะสู้กัน ย่อมติดตามไปรับชม กระทืบเท้าเสียง ‘โครมคราม’ ลุกขึ้นเพื่อไล่ตามไป
“ทุกท่านรอก่อน...” เหยาหว่านซินห้ามไม่ได้ งานเลี้ยงสิ้นสุดลงทันที
ขณะนี้ ฉีเจี้ยนหมิงยิ้มเล็กน้อย เขาลุกขึ้นและพูดว่า “เหอ เหอ คุณหนูเหยา พวกเราก็ไปด้วยเถิด”