ตอนที่แล้วบทที่ 247 – หัวใจที่เจ็บช้ำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 249 – ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง

บทที่ 248 – การเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวโร่ว


ผมเดินเข้าไปในม่านพลังแล้วหยุดอยู่ที่ด้านข้างมู่จือที่กำลังนั่งอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสงบ “องค์หญิง ข้าขอประทานอภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปนั้นด้วย ข้าทำผิดต่อท่านไปแล้ว”

สายตาของมู่จือที่มองมาที่ผมนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน แต่มันมีประกายแปลก ๆ “ฝนหยุดตกแล้ว ปล่อยฉันออกจากม่านพลังนี้เสียทีเถอะ”

ผมก็ไม่อยากจะให้เธอมาอยู่ใกล้ ๆ อยู่แล้ว เพราะว่ามันจะทำให้ผมสงบใจได้ลำบากมากขึ้น แล้วถ้าเกิดเรื่องแบบเมื่อสักครู่นี้ขึ้นอีก มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าผมจะสามารถควบคุมตัวเองได้หรือไม่

นั่นทำให้ผมรีบสลายม่านพลังนั้นออกทันที ขณะที่กำลังมองตามหลังของเธอเดินจากไป เธอก็หยุดเดิน แล้วหันมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวออกมา “ฉันจะใช้ความจริงใจของฉันพิสูจน์ให้นายเห็นเอง” จบแล้ว เธอก็หันหลังกลับ พร้อมเดินออกไปตามทางที่เธอเข้ามาในตอนแรก ทิ้งให้ผมยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เธอจะพิสูจน์อะไรกับผมนะ? หรือว่าจะพิสูจน์ว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อผมนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง?

เมื่อเธอเดินลับหายไปจากมุมของหินก้อนใหญ่แล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์ที่หมองหม่นไม่น้อย ยกมือขึ้นลูบรอยแผลเป็นบริเวณใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น พร่ำตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ทำไมผมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้เลยอย่างนี้นะ?

ผมหยิบคทาเวทย์ซู่เกอลาที่วางอยู่กับพื้นขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปปรากฏอยู่ที่ข้างตัวของพี่ใหญ่จ้านหู่ภายในชั่วพริบตา ตอนนี้เขากำลังจ้องไปที่เค้อหลุนตัวกับมู่จืออย่างไม่วางตา พอเขารู้สึกว่าผมมาอยู่ด้านข้าง ก็หันมากระซิบถามผม “เจ้าน้องชาย นั่นเป็นผู้หญิงคนที่เจ้าเคยบอกใช่มั้ย?”

ผมพยักหน้ายอมรับ

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าสองคนกันแน่? ทำไมข้าเห็นว่าพวกเจ้าทำตัวแปลก ๆ กันเหลือเกิน?”

นั่นทำให้ผมต้องถอนหายใจ ก่อนที่จะตอบเขาออกไปตามความจริง “มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพี่ใหญ่! พี่ลองมองดูผมตอนนี้สิ สภาพของผมในตอนนี้ จะมีหน้าไปอยู่กับเธอได้อย่างไร ผมว่าไม่มีใครในโลกนี้จะน่าเกลียดน่ากลัวได้มากกว่าผมอีกแล้วล่ะ”

และนั่นทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “แล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะ? เจ้ากลัวอะไรอยู่หรือ? ถ้าเธอรักเจ้าจริง ๆ ทำไมจะต้องมาใส่ใจกับเรื่องรูปร่างหน้าตาของเจ้าด้วย และข้าก็ไม่คิดว่าคนอย่างเธอจะมองคนอื่นแค่รูปร่างภายนอกเท่านั้นด้วย”

ผมหันไปมองทางมู่จือ ที่ตอนนี้กำลังนั่งพักอยู่บนก้อนหินใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะกล่าวออกมาอีก “บางที! บางทีเธออาจจะไม่ได้สนใจจริง ๆ แต่ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำร้ายเธอ การรักใครสักคน คือการหวังว่าคนคนนั้นจะมีความสุข ต่อให้เธอต้องการที่จะอยู่กับผม ผมก็ไม่สามารถให้ความเห็นแก่ตัวไปทำลายเธอได้หรอก อนาคตอันสดใสของเธอ ไม่มีทางจะถูกทำลายด้วยมือของผมเด็ดขาด ตอนนี้ผมไม่เหมาะสมกับเธอด้วยประการทั้งปวง พี่ใหญ่! พี่ยังจำที่เค้อหลุนตัวเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่? ที่เขาบอกว่ามู่จือเป็นคู่หมั้นของเขาน่ะ พี่ลองมองดูเขาให้ดี ๆ สิ แม้ว่าจะเป็นตอนที่ผมยังไม่เป็นแบบนี้ หน้าตาของผมก็เทียบกับเขาไม่ได้อยู่แล้ว แถมเขายังมีความแข็งแกร่งไม่น้อย น่าจะเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอที่สุดในอนาคตแล้ว” แม้ว่าผมจะเป็นคนที่กล่าวคำพูดพวกนี้ออกมาด้วยตัวเอง แต่มันก็เหมือนกับมีใครเอามีดมาแทงเข้าที่หัวใจอยู่ดี

เสียงของพี่ใหญ่จ้านหู่เริ่มมีอารมณ์โกรธแล้ว “อะไรนะ? เจ้าหมอนั่นอีกแล้วเหรอ? แค่นี้มันยังทำร้ายเจ้าไม่พอใช่มั้ย? ยังคิดที่จะแย่งผู้หญิงของเจ้าไม่อีก ไม่เอาล่ะ! ข้าไม่ทนต่อไปอีกแล้ว ข้าจะจัดการกับมันตอนนี้เลย” ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยคดี เขาก็เริ่มหยิบดาบที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาไว้ในมือแล้ว ท่าทางของเขาเหมือนกำลังจะพุ่งออกไปได้ทุกขณะ

เป็นผมที่ต้องรีบดึงตัวของเขาเอาไว้ “ไม่เอาน่าพี่ใหญ่ อย่าทำอย่างนี้เลย เป็นผมเองแหละที่หวังว่ามู่จือจะมีความสุขถ้ามันเป็นไปตามที่ผมคิด แล้วอีกอย่าง พวกเรามีความเชื่อ และรับใช้เจ้านายคนละคนกัน พวกเราไม่อาจจะโทษเข้าที่ทำอย่างนั้นได้เต็มที่นักหรอก ผมยอมรับว่าชีวิตที่เหลืออยู่คงจะขมขื่นไม่น้อย ถ้าผมมีชีวิตรอดอยู่ได้หลังจากจบเรื่องพวกนี้แล้ว ผมจะหาที่เงียบ ๆ ไม่มีผู้คน ไปอาศัยอยู่ที่นั่นจนแก่ตายลงไปเองเลย”

พี่ใหญ่จ้านหู่หันมามองหน้าผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินคำพูดของผม เขาไม่คิดเลยว่า ตอนนี้จางกงที่เคยร่าเริง และมีชีวิตชีวาที่เขาเคยรู้จัก จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ นั่นทำให้เขาต้องจับบ่าของผมไว้อย่างเห็นใจ “จางกง! ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหมอเก่งๆ ที่มีมากมายอยู่ในโลกใบนี้ จะไม่มีใครสามารถรักษาเจ้าให้กลับไปมีสภาพเหมือนเดิมได้ ต่อให้ข้าต้องเสาะหาไปทุกแห่งหน ข้าก็จะต้องหาวิธีรักษาเจ้าให้จงได้”

นั่นทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก ความเศร้าถูกปัดเป่าออกไปไม่น้อย ดวงตาทั้งสองข้างของผมเริ่มแดงชื้น และได้แต่กัดปากตัวเองกลั้นอารมณ์เอาไว้

พี่ใหญ่จ้านหู่โอบไหล่ของผมเอาไว้แน่น สายตาของเขามองออกไปยังเมฆที่ลอยไกลอยู่บนท้องฟ้านั่น “เจ้าน้องชาย เงยหน้าขึ้นดูข้างบนนั่นสิ พระอาทิตย์กำลังจะส่องแสงออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะแก้ไขไม่ได้อยู่จริง ๆ หรอก เจ้าต้องสามารถรักษาตัวให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน เหมือนกับตอนที่เมฆดำลอยพ้นหายไป ท้องฟ้าย่อมจะสว่างสดใสขึ้นอีกครั้ง ทำใจให้สบายเถอะ ตกลงมั้ย?”

ผมพยักหน้ารับคำเขา และเงยหน้าขึ้นไปดูแสงอาทิตย์ที่กำลังทอประกายออกมาอย่างช้า ๆ มันช่างเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าตอนแรก ๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของผม โชคดีที่ยังมีมิตรภาพของพี่ใหญ่เป็นเครื่องค้ำจุน พอที่จะช่วยปัดเป่าความโศกเศร้าออกไปจากใจของผมได้บ้าง

“พี่ใหญ่! แล้วพวกตงรื่อกับคนอื่นที่เหลือไปไหนกันหมด?”

“พวกเขาทำสมาธิกันอยู่ที่ตรงนั้น” พี่ใหญ่จ้านหู่ชี้มือไปทางขวาของตัวเอง

“นายท่าน! นายท่าน! ข้าหาอาหารมาได้แล้ว” เสียงของเสี่ยวโร่วดังมาแต่ไกล เธอกำลังวิ่งนำหน้ามาอย่างรวดเร็ว มีปีศาจอสูร 2-3 ตัวถูกลากตามหลังมา ตอนนี้ฝนนั้นเพิ่งหยุดตกลงไป ทำให้ผมของเธอนั้นยังเปียกชื้นอยู่ เสื้อผ้าของเธอนั้นแนบอยู่กับเรือนร่างอันเย้ายวนของเธอ และยังมีหยดน้ำเล็ก ๆ เกาะอยู่บนใบหน้าที่เป็นแดงเรื่อของเธออยู่ แม้ว่าเธอจะอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างจะอ่อนแรง แต่เห็นได้ชัดว่ามันเต็มไปด้วยความยินดี ท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดูของเธอ มันทำให้หัวใจของผมสั่นขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับว่ามันจับอะไรบางอย่างได้

ผมรับซากอาหารเหล่านั้นมาจากเธอ “เสี่ยวโร่ว นี่ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

เสี่ยวโร่วส่ายหน้า “มันไม่เป็นการรบกวนอะไรเลยนายท่าน เจ้าพวกปีศาจอสูรพวกนี้โง่จะตายไป แล้วพลังของข้าก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยแล้วด้วย การจัดการกับปีศาจอสูรพวกนี้ไม่ได้ยากลำบากอะไรเลย แล้วนี่มันจะพอสำหรับพวกเราทุกคนใช่มั้ย?”

ผมยกมือขึ้นลูบหัวของเธอ “นี่มันยิ่งกว่าพอเสียอีก เอาล่ะ! ยืนนิ่ง ๆ ไว้ก่อน ข้าจะช่วยทำให้เจ้าตัวแห้งลงก่อน ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ เจ้าอาจจะล้มป่วยลงได้” แสงสีทองจากมือของผมค่อย ๆ ไหลผ่านเข้าไปในตัวของเสี่ยวโร่ว นั่นทำให้เธอแสดงสีหน้าอันเคลิบเคล้มออกมา พลังศักดิ์สิทธิ์ส่งผลกับเผ่าพันธุ์ของพวกเธอเป็นอย่างมาก ตอนนี้เสื้อผ้าของเธอแห้งลงอย่างรวดเร็ว

ผมยกมือออกจากศีรษะของเธอ ปล่อยให้เธอนั่งลงกับพื้นเพื่อซึมซับพลังที่ผมเพิ่งส่งไปให้ แล้วหันกลับมาถามพี่ใหญ่จ้านหู่ “พี่ใหญ่ เครื่องเทศพิเศษของพี่ยังเหลืออยู่ใช่มั้ย? วันนี้พี่ต้องเป็นพ่อครัวให้พวกเราอีกแล้ว”

เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ต่อให้ของที่ข้าเตรียมมาจะหมดลงไป แต่ช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ข้าได้รวบรวมเครื่องเทศที่อยู่แถวนี้เอาไว้ไม่น้อยเหมือนกัน เรื่องการทำอาหารไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน ตอนนี้มาสนใจเสี่ยวโร่วนี่ก่อนเถอะ เธอมาอยู่กับพวกเรานานเข้า จะทำให้สัญชาตญาณพื้นฐานของเธอเริ่มหายไปในไม่ช้า เธอเคยบอกเอาไว้ใช่หรือไม่? ว่าถ้าเธอกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางแล้ว จะสามารถเปลี่ยนร่างได้ พวกเรามาช่วยให้เธอทำได้สำเร็จกันดีกว่า อย่างไรเสียเธอก็มีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้”

ผมเห็นด้วยกับเขา “เรื่องนี้นั้นแน่นอนอยู่แล้วพี่ใหญ่ ไม่ต้องเป็นกังวลไม่หรอก ผมไม่ปฏิบัติกับเธอไม่ดีแน่”

ตอนนี้ใบหน้าของเสี่ยวโร่วเต็มไปด้วยความรู้สึกสงบนิ่ง ทั่วทั้งร่างกายของเธอมีแสงสีทองจาง ๆ เรืองออกมา ตอนนี้เธอไม่ได้มีกลิ่นอายของความยั่วยวนเจ้าเสน่ห์อีกต่อไปแล้ว แต่มันกลายเป็นกลิ่นอายของพลังศักดิ์สิทธิ์แทน ผมรู้ได้ในทันทีเลยว่า ตอนนี้ระดับพลังของเธอกำลังถึงจุดสำคัญอีกครั้ง มันเป็นไปได้อย่างมากที่เธอจะทะลวงระดับขึ้นไปอีกขึ้น เป็นช่วงที่ไม่อนุญาตให้มีการรบกวนใด ๆ เกิดขึ้นได้ ผมมองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้ว ก่อนที่จะใช้พลังเวทย์ผสานในร่างกายของตัวเอง สร้างเป็นเขตแดนสีทองอันแข็งแกร่งล้อมรอบพวกเราเอาไว้ข้างใน เสี่ยวโร่วดูเหมือนว่าจะจับจุดอะไรบางอย่างได้แล้ว แสงสีทองจากตัวของเธอนั่นเข้มขึ้น สว่างขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมไม่แน่ใจว่าการฝึกฝนของปีศาจอสูรมีหลักการอย่างไร นั่นทำให้เธอต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลักแล้ว ตอนนี้พลังที่เปล่งออกมาจากร่างกายของเธอ เริ่มขยับตัวไปมาจนสร้างเป็นคลื่นพลัง ที่มุ่งตรงขึ้นไปยังด้านหลังศีรษะของเธออย่างต่อเนื่อง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด