บทที่ 247 – หัวใจที่เจ็บช้ำ
เค้อหลุนตัวก็ยืนขึ้นและกล่าวออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก “สิ่งที่ข้าได้กระทำต่อพวกเจ้าไปนั้น ข้ารู้ตัวดีว่ามันไม่ถูกต้อง ข้าเพียงแต่หวังว่าทุกคนจะสามารถให้อภัยแก่ข้าได้ ในตอนนี้ พวกเรามีความตั้งใจที่จะเป็นตัวแทนของจักรพรรดิปีศาจในการเจรจาอย่างเต็มกำลัง”
จ้านหู่หันมามองที่ผม เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นแล้วก็ส่ายหน้า “ในเมื่อจางกง! คนที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้มากที่สุด ยังไม่ติดใจเอาความ ข้าจะกล่าวอะไรอย่างอื่นได้อีกล่ะ? แต่จำเอาไว้ให้ดี เค้อหลุนตัว! ความแค้นในครั้งนี้ของเรายังไม่จบสิ้น ถ้ามีโอกาส ข้าจะหาเวลาสั่งสอนเจ้าอย่างตรงไปตรงมาสักครั้ง อย่าให้รู้ว่ายังจะมีเลห์กลอะไรอีกนะ คราวนี้ข้าไม่ไว้หน้าใครอีกแน่”
ตอนนี้เค้อหลุนตัวกลายเป็นคนที่เชื่อฟังไปแล้ว เขามีความอดทนที่สูงมากจริง ๆ นี่อาจจะเป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุดของเขาแล้วก็ได้
อาจเป็นเพราะว่าทุกคนเห็นท่าทางที่จริงจังของผม ไม่มีพวกเขาคนใดกล้ากล่าวอะไรออกมาอีก
เป็นผมที่กล่าวออกมาต่อ “ทุกคน ต้องขอขอบคุณมากที่ยอมเข้าใจในเรื่องนี้ ตอนนี้พวกเรายังต้องพักรออยู่ที่นี่อีกหลายวันก่อน ฉันได้นัดหมายกับเสี่ยวจินเอาไว้ล่วงหน้า ว่าให้มาเจอกับเราที่นี่”
ตงรื่อถามออกมาอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่านายส่งสัตว์เวทย์ของนายกลับบ้านไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมมันถึงได้กลับมาอีกล่ะ?”
“มันเสร็จสิ้นการฝึกพิเศษที่หุบเขามังกรเรียบร้อยแล้ว เป็นธรรมดาที่มันจะกลับมาอยู่กับฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะมันกลับมาทันเวลา การช่วยเหลือพวกนายคงจะไม่มีทางประสบความสำเร็จแน่” เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่ได้พากันกดดันมู่จือกับเค้อหลุนตัวมากเกินไปนัก จิตใจของผมก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
เจี้ยนซานเปลี่ยนเรื่องพูดออกมา “ทุกคนน่าจะหิวกันแล้ว ข้าจะออกไปหาล่าปีศาจอสูรมาสักตัวสองตัวก็แล้วกันนะ”
เสี่ยวโร่วมุดออกมาจากแขนเสื้อของผมทันที แล้วในชั่วพริบตา รูปลักษณ์อันสวยงานเย้ายวนของเธอก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน “ข้าคิดว่าข้าเป็นคนออกไปเองจะดีกว่านะ”
ตอนที่เค้อหลุนตัวกับมู่จือเห็นรูปร่างหน้าตาของเสี่ยวโร่ว พวกเขามองหน้ากันด้วยอาการตกตะลึงไม่น้อย
ส่วนเจี้ยนซานหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ข้านี่ก็ขี้ลืมจริง ๆ ยังมีเจ้าปีศาจตัวน้อยอยู่ด้วยนี่นา จากที่จางกงเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ได้เธอเป็นคนช่วยเหลือเอาไว้ เขาคงจะไม่มีชีวิตรอดอยู่แน่ ต้องขอบคุณเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
จ้านหู่ก็ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มเหมือนกัน “ถูกต้องแล้ว สาวน้อย! ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยน้องชายของข้าเอาไว้!”
ตอนนี่เสี่ยวโร่วไม่ได้หว่านเสน่ห์อะไรออกมาอีกแล้ว เธอเพียงตอบกลับอย่างอาย ๆ “ข้าไม่ใช่สาวน้อยอะไรนั่นหรอก ถ้านับอายุกันจริง ๆ ข้าแก่กว่าพวกเจ้าทุกคนไม่น้อย แล้วเรื่องการช่วยเหลือนั่น มันเป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยเหลือนายท่านอยู่แล้ว อีกอย่าง ข้ามีความสุขเวลาที่ได้อยู่ข้างกายนายท่าน ตอนนี้พวกเจ้าสามารถเรียกชื่อใหม่ของข้าได้แล้ว นายท่านตั้งชื่อให้ข้าว่าเสี่ยวโร่ว เดี๋ยวข้าจะเป็นคนออกไปหาอาหารมาให้พวกเจ้าเอง ฮี่ฮี่!” หลังจากกล่าวจบ เธอก็เคลื่อนตัวจากไปทันที
ผมมองไปทางเค้อหลุนตัวกับมู่จือที่ยังตกตะลึงอยู่ ก่อนจะกล่าวบอกออกไป “เสี่ยวโร่วเป็นปีศาจจิ้งจอกหกหาง ถ้าไม่มีเธอเป็นคนช่วยเหลือเอาไว้ ข้าคงจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว”
เค้อหลุนตัวตอบกลับมา “ข้าแค่คิดอยู่เสมอว่า เธอน่าจะรู้จักแค่การหลอกลวงผู้คนเท่านั้น นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าปีศาจอสูรจะรู้จักการช่วยชีวิตคนด้วย”
เสียงของตงรื่อดังขึ้นมา “ถึงแม้ว่าเสี่ยวโร่วมักจะหลอกลวงผู้คน แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใครมากมายนัก ไม่เหมือนกับใครบางคนที่อยู่แถวนี้หรอกนะ!”
นั่นทำให้เค้อหลุนตัวกลายเป็นพูดไม่ออกขึ้นมาทันที ส่วนมู่จือนั้นมองมาที่ผมแบบแปลก ๆ
ผมพบหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ที่ทุกคนรวมตัวอยู่นัก จึงเดินออกไปนั่งอยู่ที่นั่น เพื่อทำสมาธิฝึกฝนเพิ่มพูนพลังเวทย์ของตัวเองบ้าง
ส่วนเค้อหลุนตัวตอนนี้หยิบเอาเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ออกมาจากกระเป๋าของเขา ก่อนจะส่งมันให้กับมู่จื ก่อนจะกล่าวว่า “บนนี้ลมค่อนข้างจะแรงไม่น้อย เจ้าต้องระวังอย่าให้เจ็บป่วยได้”
มู่จือเหลือบมามองทางผมแวบหนึ่ง ก่อนจะปฏิเสธความหวังดีของเค้อหลุนตัว “พี่ใหญ่หวาเหลิ่ง ข้ายังไม่หนาว เสื้อนี่ท่านสวมเองเถิด” หลังจากที่กล่าวจบ เธอก็ออกเดินมาทางผมทันที แม้ว่าตาของผมจะหลับอยู่ แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอได้อย่างชัดเจน ยิ่งเสียงฝีเท้าเข้ามาอยู่ในระยะใกล้เท่าไหร่ หัวใจของผมก็เต้นแรงมากขึ้นทุกที
ผมรีบตั้งสมาธิหมุนเวียนพลังเวทย์ผสานในร่างกายต่อทันที พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะฝึกฝนต่อไป แต่พลังเวทย์ในร่างกายผมเริ่มปั่นป่วนไปหมดแล้ว
เสียงฝีเท้าของมู่จือหยุดอยู่ห่างจากผมไม่ไกลมากนัก ลมหายใจที่แผ่วเบาของผมยังนำกลิ่นกายที่คุ้นเคยของเธอลอยมาเข้าจมูก นั้นทำให้ผมยิ่งหวั่นไหวมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมต้องลอบใช้นิ้วหยิกตัวเองอย่างแรง พยายามทำให้สติของตัวเองนั่นแจ่มใสที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอหยุดยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นเวลานานไม่น้อย ไม่มีแม้แต่การขยับตัวเลย และสายลมยังคงพัดพากลิ่นหอมของเธอมาหาผมไม่หยุด นั่นทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมายืนอยู่ที่ตรงนี้เพื่ออะไร เมื่อความสงสัยของผมพุ่งจนถึงจุดสูงสุด ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพบว่ามู่จือยืนน้ำตาไหลอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ตอนนี้เธอเปลี่ยนร่างกลับไปอยู่ในรูปลักษณ์แบบเดิมของตัวเองแล้ว แต่ที่เสื้อกับชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ไหลหยดลงมา เธอไม่ได้ส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่นิดเดียวจริง ๆ เพียงแต่ยืนปล่อยให้ตัวเองน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้น
การที่ผมได้เห็นเธออยู่ในสภาพแบบนั้น มันทำให้ร่างกายของผมเริ่มกระตุกเกร็งขึ้นมา โดยเฉพาะตรงที่อกทางด้านซ้าย มันเกร็งจนกลายเป็นความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้เลยจริง ๆ ผมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมเสียงของผมไม่ให้สั่น “มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือองค์หญิง? หรือว่าท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลือเรื่องอันใด?” หลังจากที่กล่าวออกไป มันมีความรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองมันกระตุกแรงขึ้นอีก
เธอก้าวเข้ามายืนอยู่เกือบจะติดตัวผม ยื่นมือออกมาลูบคลำใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นของผมอย่างอ่อนโยน “จางกง นายต้องทนมาอย่างยากลำบากแน่ ๆ” เสียงอันไพเราะอ่อนโยนของเธอ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้สติกลับมาอีกครั้ง ผมจับมือเล็ก ๆ ของเธอให้หยุดเอาไว้ ก่อนจะกล่าวออกไป “องค์หญิง ท่านไม่ควรทำแบบนี้ ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรจะแตะเนื้อต้องตัวกันเด็ดขาด แล้วอีกอย่าง คู่หมั้นขององค์หญิงก็ยังอยู่ตรงนั้น!”
เหมือนว่าเธอจะไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลย พุ่งเข้ามาซบอยู่กับอกของผมก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างหนัก นั่นทำให้ผมที่ไม่ได้ระวังตัวเอาไว้ก่อน ต้องล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น ถึงแม้ว่าความรู้สึกในใจของผมมันอาจจะหนักอึ้ง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด สติของผมนั้นยังแจ่มใสอยู่มาก ผมรีบพยายามผลักเธอออกให้พ้นจากตัวเองทันที แต่ไม่เป็นผล เพราะตอนนี้เธอกอดผมเอาไว้แน่นมาก ร่างของเธอทับอยู่บนตัวของผมอย่างแนบแน่น ร่างกายของเธอนั้นนุ่มนวลไปหมดทุกส่วน และการที่มีเธออยู่ใกล้ชิดมากขนาดนี้ ทำให้ผมระงับความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ผมเริ่มกอดเธอกลับแน่นไม่แพ้กัน ปากของผมก็เริ่มค้นหารสชาติของความหวานที่คุ้นเคยจากริมฝีบางนุ่มบางของเธอ โชคยังดี ก้อนหินที่ผมเลือกมานั่งอยู่นี้เป็นอีกด้านของคนที่เหลือ ทำให้ตอนนี้ไม่น่าจะมีใครเห็นการกระทำของพวกเรา
ผมพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนแล้ว ระดมจูบลงไปที่หน้าผาก ริมฝีปาก เส้นผม และลำคอระหงของเธออย่างบ้าคลั่ง
ไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายหรือโชคดี ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำทมึน ก่อนที่จะมีฝนเทลงมาอย่างไม่มีวี่แววมาก่อนเลย แต่มันช่วยปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง ผมรีบลุกขึ้นก่อนจะปาดน้ำฝนออกจากใบหน้า ในขณะเดียวกันก็ก้มลงไปมองมู่จือที่ตอนนี้สีหน้าแดงกล่ำ ผมรีบหลบออกมายืนอยู่ด้านข้าง ก่อนจะร่ายเวทย์ออกมาเป็นม่านป้องกันไว้รอบตัวของมู่จือ ผมรู้ดีว่าเธอนั้นไม่สามารถสัมผัสกับธาตุแสงได้ เนื่องจากการฝึกเวทย์มนต์แห่งความมืดเป็นพื้นฐาน ม่านป้องกันของผมจึงมีขนาดใหญ่พอที่จะไม่ได้ทำร้ายเธอ
มู่จือลุกขึ้นกลับมายืนอีกครั้งแล้ว เธอพยายามปัดเศษดินที่ติดอยู่ตามตัวออกไป จ้องมองมาที่ผมอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอยู่บนก้อนหินที่อยู่ในม่านพลังนั้น ชันเข่าแล้วใช้มือทั้งสองโอบเอาไว้ เหมือนกับว่ากำลังใช้ความคิดกับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
ส่วนผมได้แต่สะบัดหัวอย่างแรงไม่หยุด พยายามที่จะสลัดอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาออกไปให้หมด ยืนปล่อยตัวให้ฝนสาดซัดลงมาบนตัวอย่างต่อเนื่อง ถ้าเกิดว่าสายฝนสามารถชะล้างรอยแผลเป็น และความทุกข์ทรมานที่มีอยู่ให้หายไปได้ มันจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนกันนะ? แต่แค่ช่วงเวลาไม่นานนัก เมฆฝนสีดำบนทองฟ้าก็เคลื่อนตัวจากไป และสายฝนก็เริ่มเบาบางลงเรื่อย ๆ ท้องฟ้ามืดครึ้มก็เริ่มสว่างกลับมาดังเดิม ผมคิดว่าอีกสักพักพระอาทิตย์ก็คงจะส่องแสงออกมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ แต่โชคร้ายยิ่งนัก ที่ตอนนี้ผมได้แต่ติดอยู่ในเมฆดำอย่างไม่มีวันได้รับแสงสว่าง และสิ่งที่เมฆนั้นปล่อยให้ตกลงมาไม่ใช่สายฝน แต่เป็นสายเลือดแห่งความเจ็บปวดแทน