บทที่ 246 – ทุกคนรวมตัวกันอีกครั้ง
แต่จักรพรรดิปีศาจกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา “เอาล่ะ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ต่อแล้ว พ่อยังมีของบางอย่างที่จะต้องมอบให้เจ้าติดตัวเอาไว้อีก ตามพ่อไปที่ห้องหนังสือกันก่อนเถอะ”
.............
ผมรออยู่อย่างกระวนกระวายกับลุงฟืนที่ประตูทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เสี่ยวโร่วยังคงอยู่บนบ่าของผมด้วยรูปลักษณ์ของกระรอกตัวน้อย ในตอนแรกผมตั้งใจที่จะให้เธออยู่ในเผ่าปีศาจนี้ต่อไป แต่เธอนั้นดื้อดึงปฏิเสธ เอาแต่จะติดตามผมไปแต่ท่าเดียว นั่นทำให้ผมต้องยอมตามใจให้เธอตามมาด้วย ตอนนี้ ผมมองกลับเข้าไปในเมืองที่กลับมาสงบสุขอีกครั้ง นี่ช่างเป็นภาพที่น่ามองไม่น้อย
เสียงของลุงฟืนดังปลุกผมออกจากอาการเหม่อลอย “เป้าหมายที่เจ้าจะต้องทำให้สำเร็จในคราวนี้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และมันก็ยากเย็นเป็นอย่างมากด้วย จะทำอะไรก็ตาม เจ้าต้องระมัดระวังเอาไว้ให้มากนะ”
ตาเฒ่าคนนี้ ช่างเป็นคนที่อุทิศตัวเองให้กับเผ่าปีศาจอย่างจริงใจ เขานั้นสมควรได้รับความเคารพเป็นอย่างมาก คำเตือนของเขานั้นถูกต้อง ผมจึงพยักหน้ารับคำ และกล่าวขอบคุณเขาออกไป “ลุงฟืน! ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าต้องขอบคุณท่านอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือของท่าน ข้าอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ข้าหวังว่าเมื่อเราได้กลับมาพบกันอีก พวกเราจะได้อยู่ข้างเดียวกัน ร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูอย่างเต็มที่”
ชายชราหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่ม ๆ เล่มหนึ่งออกมาส่งให้ผม “ต้องมีโอกาสนั้นมาถึงอย่างแน่นอน เจ้าตั้งหน้ารอเอาไว้ได้เลย ถึงว่าข้าจะมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่ระยะเวลาอีกแค่ไม่กี่ปี ข้ายังไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก เอ้านี่! นี่เป็นบันทึกความเข้าใจในการฝึกฝนของข้า มันเป็นการจดบันทึกในช่วงระหว่างที่ข้าฝึกฝนจนบรรลุระดับนักบุญ และระดับเทพสงคราม พรสวรรค์ของเพื่อน ๆ เจ้านั้นไม่เลวเลยทีเดียว ช่วยข้าส่งหนังสือเล่มนี้ไปให้พวกเขาด้วยก็แล้วกัน” ในฐานะที่เขาเป็นเผ่าปีศาจตนหนึ่ง การที่เขาส่งต่อประสบการณ์อันมีค่าแบบนี้ใหนกับเผ่ามนุษย์ มันเป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน นี่ช่างเป็นมิตรภาพ และความกรุณาอย่างมากที่ทำให้ผม....
เขาดึงมือของผมไป และยัดหนังสือเล่มนั้นใส่ลงมา ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องมาทำเป็นซาบซึ้งอะไรมาก อีกสักครู่มู่จือน่าจะเดินทางมาถึงแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางเอาไว้ให้ดีเถอะ”
ผมรับหนังสือเล่มนั้นมา ทำราวกับว่ามันเป็นสมบัติอันล้ำค่า อันที่จริง มันก็เป็นสมบัติจริง ๆ นั่นแหละนะ แล้วเก็บมันเข้าไปไว้ในกระเป๋ามิติ แต่ก่อนที่ผมจะได้กล่าวอะไรบางอย่างออกมาอีก ก็เห็นว่าสายตาของลุงฟืนจ้องเขม็งไปทางด้านหลังของตัวผม นั่นทำให้ต้องหันกลับไปมองตามเขาในทันที
ถึงแม้ว่ามู่จือจะเปลี่ยนรูปโฉมจนเป็นเหมือนชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง แต่ผมก็ยังจำเธอได้ในการมองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันเหมือนกับการโดนสายฟ้าฟาดเข้าอย่างจัง ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับตัวได้เลย พยายามซ่อนความขมขื่นของตัวเองจากสายตาของเธอ ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ อย่างเต็มที่ ข้าง ๆ เธอนั้น ติดตามมาด้วยเค้อหลุนตัวตามที่ตกลงกันไว้
ลุงฟืนเป็นคนผลักผมให้ขยับออกไปข้างหน้า “นี่มันก็สายมากแล้ว พวกเจ้าต้องออกเดินทางกันแล้วล่ะ”
ผมหันไปกอดเขาเพื่อเป็นการล่ำลา “ท่านดูแลตัวเองด้วยก็แล้วกันนะ ข้าจะพยายามรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
เขาตบไหล่ของผมเบา ๆ ก่อนจะกล่าวฝาก “ดูแลหลานสาวของข้าให้ดี ๆ ด้วยล่ะ”
หลังจากที่กล่าวกับผมแล้ว เขาก็หันไปทักทายมู่จือ และเค้อหลุนตัว ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ตาแก่คนนี้น่าจะไม่ชอบบรรยากาศของการจากลาเท่าไรนัก
หลังจากที่มองตามหลังลุงฟืนที่เดินลับหายไป ผมได้แต่ภาวนาให้เขานั้นมีสุขภาพที่แข็งแรง และอยู่รอดปลอดภัยจนกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง ตอนนี้เขาถือว่าเป็นบุคคลที่มีบุญคุณกับผมมากคนหนึ่งเลย
เสียงของเค้อหลุนตัวดังขึ้น “จางกง! พวกเราน่าจะออกเดินทางได้แล้ว”
ผมหันหน้ากลับมามองพวกเขาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ก่อนที่จะหันหลังกลับ และออกนำพวกเขามุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงนี้ไป ผมไม่กล้าจะกล่าวอะไรกับมู่จือ ได้แต่พยายามที่จะเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ให้ดีที่สุด
มู่จือก็ไม่ได้พูด หรือทักทายกับผมเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง เธอแค่ตามหลังผมมาเงียบ ๆ พร้อมกันเค้อหลุนตัวเท่านั้น
ตอนที่เรามาถึงช่องเขาเทพสร้าง เค้อหลุนตัวไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาเอ่ยคำพูดออกมา “จางกง ข้าต้องขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จริง ๆ ข้านั้นไม่มีทางเลือกอื่นเลย”
ผมหยุดเดิน หันหลังกลับไปมองหน้าเขา ก่อนจะตอบกลับไปอย่างเรียบ ๆ “เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก พวกเรารับใช้เจ้านายคนละคนกัน เรื่องที่เกิดขึ้นมันได้ผ่านไปแล้ว ไม่มีความหมายอะไรที่ข้าจะยังโทษเจ้าอยู่อีกหรอก”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ผมรู้สึกได้ว่ามู่จือนั้นตัวสั่น แต่ผมก็ไม่กล้าเคลื่อนสายตาของตัวเองให้มองไปที่เธอ ได้แต่หันกลับมาอย่างรวดเร็ว และมุ่งหน้าเดินต่อไป
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุดที่ผมได้นัดหมายกับพวกพี่ใหญ่จ้านหู่เอาไว้ได้ โดยผมเป็นคนแรกที่เดินขึ้นไปถึงจุดบนสุดของหน้าผานั้น
“เจ้าเป็นใคร?” ดาบพลังงานอันเย็นเยียบปรากฏขึ้นตรงหน้า
ผมได้แต่กล่าวออกไปด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม “เจี้ยนซาน นี่เป็นวิธีตอนรับแขกของเจ้าหรืออย่างไร? แต่ดาบมือของเจ้านั้นยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะ”
ร่างกายที่ฝึกมาอย่างดีของเจี้ยนซานปรากฏขึ้นทันที เสียงของเขานั้นดูตื่นเต้นมาก “จางกง ท่านกลับมาแล้วหรือ? ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย?”
ผมพยักหน้าให้เขา “แล้วคนอื่นที่เหลือล่ะ?”
เขาตอบกลับมา “พวกเขายังฝึกฝนกันอยู่ พวกเราทุกคนฟื้นฟูพลังมาได้เกือบสมบูรณ์แล้วในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ข้าเป็นคนที่มีอาการบาดเจ็บน้อยที่สุด จึงได้รับหน้าที่เป็นเวรยามเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ที่นี่”
“จางกง! เจ้ากลับมาแล้ว!” เสียงของพี่ใหญ่จ้านหู่ดังขึ้น ตอนที่ผมกันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นทุกคนพากันเดินออกมาแล้ว ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าเมื่อสองวันก่อนแล้วจริง ๆ
ผมกล่าวตอบเขาออกไป “ผมทำให้ทุกคนเสียสมาธิในการฝึกฝนเสียแล้ว แต่ว่า! ผมสามารถเอาอาวุธของทุกคนกลับมาได้ด้วยนะ” หลังจากพูดจบ ผมหยิบอาวุธประจำตัวของทุกคนออกมาจากกระเป๋ามิติของตัวเอง ก่อนจะโยนพวกมันไปให้กับพวกเขาทันที
แล้วในตอนนั้นเอง สีหน้าของพี่ใหญ่จ้านหู่เกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะพุ่งออกไปทางด้านหลังของผมอย่างรวดเร็ว ผมรับรู้ได้ทันทีว่ามู่จือ และเค้อหลุนตัวน่าจะขึ้นมาถึงยอดผานี่แล้ว แต่จ้านหู่ที่เคลื่อนไหวเป็นคนแรก ปล่อยหมัดออกไปก่อนโดยไม่คิดจะเจรจาอะไรเลย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของเขาทำให้ฝุ่นที่อยู่บนพื้นดินฟุ้งกระจายขึ้นมาทั่วไปหมด ผมรีบตะโกนห้ามเขาทันที “พี่ใหญ่ หยุดก่อน! พวกเขามากับผมเอง”
ส่วนเค้อหลุนตัวก็มีความสามารถสมกับชื่อเสียงของเขาอยู่เหมือนกัน เมื่อเขาเห็นว่าเงาหมัดขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้าหาทันทีที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าผานี้ เขารวบรวมพลังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าปะทะกับหมัดนี้โดยตรง พลังแห่งจิตวิญญาณของทั้งคู่ปะทะกันอย่างรุนแรง หลังจากแรงระเบิดจางหายไป ที่พื้นของบริเวณที่เกิดการปะทะนั้น ปรากฏหลุมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งขึ้น
เค้อหลุนตัวถูกแรงกระแทกทำให้ต้องถอยหลังกลับไป ผลจากการปะทะนั้นชัดเจนว่าเขาเสียเปรียบอยู่เล็กน้อย แต่ผมรู้ดีว่านี่เป็นเพราะเขาตอบโต้อย่างฉุกละหุกเกินไป ไม่ได้มีเวลารวบรวมพลังมากนัก แต่ก็ยังสมกับที่เป็นรุ่นเยาว์ที่ราชาเทพปีศาจชื่นชม ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขานั้นไม่น่าจะด้อยกว่าพี่ใหญ่จ้านหู่เลย ในขณะที่พี่ใหญ่จ้านหู่ไม่ได้โจมตีต่ออีก แต่หันกลับมามองที่ผมอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง
ผมยื่นมือออกไปห้ามคนอื่นที่เหลือเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว ไม่อย่างนั้นทุกคนคงพุ่งเข้าใส่เค้อหลุนตัวไปแล้ว “ทุกคน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่หลอกลวงพวกเราก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาเป็นทูตที่ถูกส่งมาโดยจักรพรรดิปีศาจอย่างเป็นทางการ”
เสียงของตงรื่อถามออกมาอย่างประหลาดใจ “ทูตอย่างนั้นหรือ ทูตสำหรับอะไร?”
ผมเดินออกไปดึงพี่ใหญ่จ้านหู่กลับมารวมกันกับคนอื่นที่เหลือ ก่อนจะเรียกให้เค้อหลุนตัว และมู่จือเข้ามาด้วย สีหน้าของผมนั้นจริงจัง ทำให้ทุกคนไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่จ้องมองผมอย่างรอคอยคำอธิบาย
“นั่งลงกันก่อน แล้วฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดให้ดี ๆ”
มู่จือเป็นคนแรกที่นั่งลง แล้วเธอก็ส่งสัญญาณให้เค้อหลุนตัวนั่งลงด้วยอีกคน
จ้านหู่ที่ยังจ้องเค้อหลุนตัวอยู่อย่างดุร้ายก็นั่งตามลงไป โดยที่สายตายังไม่ละออกจากเขาเลย ส่วนคนที่เหลือก็หาหินก้อนใหญ่เพื่อนั่งลงตามที่ผมบอกแล้ว
ตอนที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่ ผมกล่าวออกไปอย่างจริงจัง “ตอนนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ ฉันได้รับผลที่ดีในการเดินทางกลับเขาไปในเมืองปีศาจ.......สรุปแล้วก็เป็นอย่างที่ได้พูดมาทั้งหมด เค้อหลุนตัวกับเจ้าหญิงของเผ่าปีศาจ เจ้าหญิงมู่จือ! จะเป็นตัวแทนของพวกเขาเดินทางไปยังทวีปตะวันออกกับพวกเรา เพื่อเจรจากับอาณาจักรทั้งสาม ข้าหวังว่าเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ทุกคนจะเก็บเอาความแค้นไว้ก่อน” ผมสรุปเรื่องที่คุยกับจักรพรรดิปีศาจให้พวกเขาฟังรวดเดียวจบ
ตงรื่ออุทานออกมา “มู่จือเหรอ? เจ้าหญิงของเผ่าปีศาจ ไม่ใช่ว่า....”
ผมจ้องไปที่เขาตาเขม็ง ทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
สีหน้าของมู่จือแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะยืนขึ้นโค้งให้กับทุกคน “ข้าขอทักทายเหล่าพี่น้องทุกท่าน หวังว่าการร่วมมือกันของพวกเรา จะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ที่มีมานานนี้ได้เสียที”