บทที่ 245 – การเดินทางของมู่จือ
หลังจากได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิปีศาจกล่าวออกมาทั้งหมด ลุงฟืนไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมาอีก รวมทั้งผมด้วย เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ผมก็เอ่ยถามเขา “ถ้าในกรณีนั้น ท่านไม่สามารถถอยกำลังพลบางส่วนจากแนวหน้ากลับมาได้เลยหรือ?”
และนั่นทำให้สายตาที่เขามองมาที่ผมแฝงไปด้วยความสมเพช “เจ้านี่ช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเผ่ามนุษย์เป็นพวกรักความสงบ ถ้าพวกนั้นเห็นว่ากำลังพลบางส่วนของพวกเราเคลื่อนทัพจากมา จะต้องอาศัยโอกาสนั้นโจมตีเข้ามาอย่างแน่นอน และอาจถึงขึ้นรุกเข้ามาในดินแดนของพวกเราอย่างต่อเนื่องเสียด้วยซ้ำ อย่างไรเสียความเป็นปรปักษ์ต่อกันระหว่างเผ่าพันธุ์นั้นมีมาอย่างยาวนาน” อันที่จริง เรื่องพวกนี้ผมเข้าใจได้ดี ราชาเคอจาปฏิบัติต่อผมอย่างเลยร้าย ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นผู้มีพระคุณของเขา เพียงเพราะเข้าใจว่าผมย้ายมาเข้ากับเผ่าปีศาจ ผลของการกระทำของเขายังทำให้ผมจำอยู่ด้วยความหวาดหวั่นจนถึงทุกวันนี้เลย
เขาหยุดพูดไปสักพัก ก่อนจะกล่าวออกมาอีก “แต่อันที่จริง มันยังพอจะมีวิธีที่จะซื้อเวลาให้กับเจ้าได้เล็กน้อย”
ผมถามออกไปอย่างตื่นเต้น “วิธีการอะไร?”
จักรพรรดิปีศาจจ้องมองมาที่ผมอย่างเคร่งขรึม คำพูดของเขานั้นจริงจังเป็นอย่างมาก “ทั้งสองฝ่ายต้องถอยทัพออกไปพร้อมกัน และมีการทำสัญญาสงบศึกรับรองว่าจะไม่มีการโจมตีต่อเนื่องโดยผู้มีอำนาจ นี่เป็นสิ่งที่ข้ายอมให้ได้มากที่สุดแล้ว”
นั่นทำให้ผมต้องคิดหนัก อย่างแรกเลย ความน่าจะเป็นไปได้ที่วิธีการนี้จะสำเร็จมีมากน้อยเพียงใด? ในฐานะของผู้ทรยศจากอาณาจักรอ้ายเซี่ย ผมจะสามารถโน้มน้าวอาณาจักรใหญ่ทั้งสามได้อย่างไรกัน? อย่างที่สอง! การที่เขาเสนอออกมาอย่างนี้ มีเจตนาซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังหรือไม่? ถ้าเขาวางแผนที่จะฉีกสัญญาเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และเริ่มการโจมตีอย่างรุนแรงทันทีที่ฝ่ายมนุษย์ถอนกำลังออกไป ผมจะกลายเป็นคนทรยศของเผ่าพันธุ์มนุษย์จริง ๆ แล้ว!
สีหน้าของจักรพรรดิปีศาจยังคงเคร่งเครียด คิ้วของเขาขมวดจนแทบจะติดกันอยู่แล้ว ตอนที่ถามผมขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้มันทำให้สำเร็จได้ยากอย่างนั้นหรือ?”
ผมพยักหน้า “ท่านสัญญาอย่างแน่นอนใช่หรือไม่ว่า ทั้งสองเผ่าพันธุ์จะถอยทัพออกมาพร้อมกัน?”
รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเขา “เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเผ่าของข้าเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับเผ่าอสูรกาย แค่ความแข็งแกร่งของข้าเพียงอย่างเดียว มันก็สามารถรับประกันได้แล้วว่าจะสามารถโน้มน้าวจักรพรรดิอสูรให้ถอยทัพออกมาพร้อมกันได้ นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เจ้ากำลังวิตกอยู่มากที่สุดใช่หรือไม่? กังวลว่าพวกเราจะถือโอกาสบุกโจมตีเผ่ามนุษย์ ไม่ทำตามสัญญาสงบศึก ทันทีที่พวกเจ้าถอยทัพกลับไป?”
ผมกระแอมออกมาเพื่อทำให้ตัวเองไม่ดูตื่นตระหนกจนเกินไป “ข้าเป็นห่วงในเรื่องนั้นอยู่ไม่น้อยจริง ๆ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้นำของเผ่าปีศาจ แต่ท่านก็ยังต้องรับฟังคำแนะนำของสภาขุนนางอยู่ไม่ใช่หรือ ข้ายังสงสัยอยู่ว่า พวกเขาจะคิดแบบเดียวกันท่านหรือไม่? พวกเขาจะปล่อยโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปหรือ?”
จักรพรรดิปีศาจใช้มือปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามเสื้อคลุมของตัวเอง “นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรต้องกังวลเลย การปกครองของเผ่าปีศาจนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนจะฟังคำสั่งของข้าอย่างแน่นอน และเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของข้าในครั้งนี้ ข้าได้ส่งให้ลูกสาวคนเดียวของตัวเอง มู่จือ! ให้เดินทางไปที่เผ่ามนุษย์กับเจ้าด้วย นี่น่าจะเป็นเครื่องรับประกันชั้นดีให้แก่เจ้าแล้ว ต่อให้พวกเราอยากจะกำจัดพวกเจ้ามากแค่ไหน แต่พวกเราก็เลือกที่จะใช้วิธีที่มีเกียรติ ไม่ผิดสัญญาของตัวเองแน่ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด มู่จือมีตำแหน่งเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของเผ่าปีศาจ จะอยู่ในสายตาของเจ้าตลอด เจ้าจะต้องกังวลอะไรอีกอย่างนั้นหรือ? อันที่จริงแล้ว สภาขุนนางไม่น้อยที่คัดค้านการส่งกองทัพออกไปในครั้งนี้ตั้งแต่แรก เกินครึ่งหนึ่งของพวกเขาไม่สนับสนุนให้ก่อสงคราม ดังนั้นไม่ว่าข้าจะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะเป็นฝ่ายที่กุมอำนาจในสภาขุนนางอยู่ดี ตอนนี้! เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว ที่จะให้คำตอบกับข้ามาว่าจะสามารถโน้มน้าวอาณาจักรมนุษย์ทั้งสามได้หรือไม่?”
เหตุผลที่เขายกขึ้นมานั้น ทำให้ผมรู้สึกสบายใจได้มากขึ้น ในส่วนลึกของผมจริง ๆ แล้ว ผมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นมาเลย ในเมื่อจักรพรรดิปีศาจแสดงความจริงใจของเขาออกมาแบบนี้ ต่อให้มันจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ผมคงต้องพยายามให้ถึงที่สุด
ผมเงยหน้าขึ้นจากการครุ่นคิด ก่อนจะมองไปที่จักรพรรดิปีศาจอย่างแน่วแน่ “ถ้าท่านรักษาสัญญาที่ให้ไว้ ต่อให้ข้าต้องเสียสละชีวิตนี้ออกไป ข้าจะพยายามโน้มน้าวพวกเขาอย่างถึงที่สุด แต่ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จจริง ๆ ข้าจะไม่นำตัวเองเข้าไปร่วมกับสงคราม ในกรณีที่ท่านตัดสินใจจะโจมตีป้อมปราการเต๋อหลุน และยังจะส่งข้อมูลเรื่องที่เกี่ยวกับราชามารให้ท่านต่อไป”
เสียงหัวเราะของราชาเทพปีศาจระเบิดขึ้นทันที “ดี! ดี! ดีมาก! ข้าไม่ได้ตัดสินเจ้าผิดไปจริง ๆ เจ้านั้นมีความกล้าไม่น้อย สมแล้วที่มู่จือประทับใจในตัวของเจ้า เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ จะเป็นความลับสุดยอดของเผ่าพันธุ์ของเราทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ดี ข้าขอบอกกับเจ้าเอาไว้ล่วงหน้าก่อนเลย ว่าการถอยทัพครั้งนี้นั้นเป็นเพียงการถอยทัพชั่วคราว เจ้าจะมีเวลาทั้งหมดสองปี หาหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับราชามารออกมาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าจะออกคำสั่งให้ยกทัพไปแนวหน้าอีกครั้ง และนั่นจะเป็นสงครามที่ไม่มีวันหยุด จนกว่าจะกำจัดเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าได้”
ลุงฟืนยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของผม ก่อนจะกล่าวออกมา “นี่น่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว”
ผมเห็นด้วย “ระยะเวลาสองปีน่าจะเพียงพอสำหรับเรื่องนี้ สิ่งที่ข้าต้องทำคือการกลับไปโน้มน้าวผู้มีอำนาจของทั้งสามอาณาจักร ให้พวกเขาถอยทัพกลับไปก่อน องค์จักรพรรดิ! ถ้าข้าประสบความสำเร็จในการเจรจากับพวกเขา ข้าจะสามารถติดต่อกับท่านได้อย่างไร?”
เขาถอนหายใจออกมายาว “สิ่งที่ทำให้ข้าตัดสินใจแบบนี้ เหตุผลหลักคือการที่มู่จือนั้นดื้อดึงเกี่ยวกับเรื่องของเจ้า ประกอบกับการสนับสนุนของท่านอา ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดิมพันกับเรื่องในครั้งนี้ เฮ้อ! ข้าจะให้ป้ายคำสั่งทหารไว้กับมู่จือ ทำให้เธอมีสิทธิในออกคำสั่งเคลื่อนกองทัพทั้งหมด ถ้าการเจรจาของเจ้าประสบความสำเร็จ มู่จือจะเป็นคนออกคำสั่งแก่กองทัพได้ทันที แล้วข้าก็จะส่งคำเตือนไปยังเผ่าอสูรกายเป็นการล่วงหน้า ให้พวกเขาถอยทัพกลับออกมาพร้อมกัน ตอนนี้ข้าต้องฝากมู่จือเอาไว้ให้เจ้าดูแลแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ข้าจะตามหาเจ้าแล้วจับตัวมาฉีกให้เป็นชิ้น ๆ ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้ก็ตาม” หลังจากกล่าวจบ รังสีแห่งการฆ่าฟันที่รุนแรงก็ปรากฏขึ้นมาบนตัวของเขา ปีศาจมังกรทมิฬส่งเสียงคำรามออกมาเบา ๆ น่าจะเป็นการสื่อสารที่ส่งถึงจักรพรรดิปีศาจนั่นเอง
การที่เขาอ้างถึงมู่จือนั้นทำให้หัวใจของผมเจ็บปวดขึ้นมาอีก ผมกล่าวกับเขาอย่างหมองหม่น “ถึงแม้ว่าชะตากรรมจะทำให้ข้ากับมู่จือไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่เธอก็ยังเป็นคนที่ข้ารักมากที่สุดอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้ามันผู้นั้นต้องการจะทำร้ายเธอ ก็ต้องผ่านศพของข้าไปก่อนเท่านั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับมู่จือจริง ๆ ท่านไม่ต้องเสียเวลาตามหาข้าหรอก ข้าจะมาหาท่านเพื่อรับโทษด้วยตัวเอง”
นั่นทำให้สีหน้าของราชาเทพปีศาจเต็มไปด้วยความพอใจ “เอาล่ะ! ตอนนี้เจ้ากลับออกไปได้แล้ว ข้าจะจัดการให้มู่จือกับเค้อหลุนตัวไปพบกับเจ้าตอนเช้าวันพรุ่งนี้ สถานที่ก็จะเป็นประตูทางทิศตะวันตกของเมือง ท่านอา! ท่านยังจะกลับไปอยู่ที่ห้องเก็บฟืนนั่นใช่หรือไม่? นั่นน่าจะลำบากไม่น้อย”
ลุงฟืนหัวเราะออกมาเบา ๆ “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ข้ากำลังยินดีที่สุดในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาแล้ว องค์จักรพรรดิ! ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ระหว่างที่ข้าอยู่ในเขตวังหลวงนี้ ไม่ต้องรบกวนท่านจะเป็นการดีกว่า ข้านั้นคุ้นเคยกับที่นั้นไปเสียแล้ว ถ้าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร ก็แค่ส่งคนไปบอกเท่านั้นก็พอ”
ตอนนี้ผมหยิบถุงผ้าออกมาจากกระเป๋ามิติออกมาปกปิดคทาเวทย์ซู่เกอลาเองไว้เรียบร้อยแล้ว หันหน้าไปเผชิญกับราชาเทพปีศาจ ก่อนจะกล่าวลาเขา “องค์จักรพรรดิ ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
เขาพยักหน้ารับรู้
ผมหันหน้าไปมองลุงฟืน ก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ผมไม่รู้ก็คือ จักรพรรดิปีศาจหลังจากเห็นพวกเราจากไปแล้ว เขาสั่นศีรษะพร้อมกับถอนหายใจอย่างหนักหน่วงออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นลอย ๆ “เป็นอย่างนี้ เจ้าน่าจะพอใจแล้วใช่หรือไม่?”
จากในมุมมืด ร่างของมู่จือปรากฎออกมาด้วยน้ำตาที่เต็มใบหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่าลงต่อหน้าของจักรพรรดิปีศาจ “ท่านพ่อ ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านจริง ๆ”
ราชาเทพปีศาจประคองตัวของลูกสาวตัวเองให้ลุกขึ้น มือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธอ สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเมตตา “เป็นเด็กดี เลิกร้องให้ได้แล้ว ตอนนี้พ่อทำอย่างที่เจ้าต้องการ ส่วนการที่เรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าทั้งคู่เอง จางกงนั้นถือว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์สูงมาก ถ้าพวกเราสามารถดึงเขาเข้ามาเป็นพวกกับเผ่าปีศาจของเราได้ นั่นจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก การมีเขาอยู่ และนับรวมกับเค้อหลุนตัว มันจะเป็นตัวช่วยที่ดีมาก การจะยึดครองโลกใบนี้ ก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น”
เสียงของมู่จือดังขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “ท่านพ่อ!”